17 ก.ย. 2568 | 12:31 น.
KEY
POINTS
‘แอนนา ฟรอยด์’ (Anna Freud) มักถูกจดจำในฐานะ ‘บุตรสาวของซิกมุนด์ ฟรอยด์’ เจ้าของทฤษฎีจิตวิเคราะห์สมัยใหม่ แต่ชีวิตและผลงานของเธอไม่ได้หยุดเพียงการเป็นเงาสะท้อนของบิดา หากแต่เป็นการสร้างเส้นทางใหม่ที่ทำให้โลกเข้าใจเด็ก ความบอบบางของจิตใจ และกลไกที่มนุษย์ใช้เพื่อปกป้องตนเองจากความเจ็บปวด
แอนนาเกิดเมื่อปี 1895 ที่เวียนนา เป็นบุตรคนเล็กในครอบครัวฟรอยด์ เธอเติบโตขึ้นท่ามกลางการถกเถียงทางวิชาการ การพบปะเพื่อนร่วมวงการของบิดา และบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลังความคิดทางจิตวิทยา ขณะที่ความสัมพันธ์กับบิดานั้น เธอได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวที่ใกล้ชิดกับบิดามากที่สุด ทว่าสายใยนั้นก็เป็นทั้งแรงกดดันและแรงบันดาลใจในคราเดียว
ชีวิตของแอนนากับบิดาไม่อาจเล่าข้ามไปโดยไม่พูดถึงทัศนคติที่ซิกมุนด์ ฟรอยด์ มีต่อเรื่อง ‘เพศวิถี’ ฟรอยด์ในฐานะผู้บุกเบิกการศึกษาด้านเพศสมัยใหม่ กลับมีมุมมองที่เข้มงวดและบางครั้งก็แข็งกระด้างต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ เขาเคยมองว่าการรักเพศเดียวกันคือ ‘ทางหลวงสู่ความเจ็บป่วยทางจิต’ และสามารถบำบัดได้ด้วยการวิเคราะห์ทางจิต
ในบทความ ‘The Psychogenesis of a Case of Female Homosexuality’ (1920) ฟรอยด์บันทึกกรณีหญิงสาววัย 18 ปีที่พ่อแม่พามาเพื่อ ‘รักษา’ ความรักเพศเดียวกัน เขาตั้งเป้าที่จะเปลี่ยน ‘การผกผันทางเพศ’ ให้กลับไปสู่เพศตรงข้าม หรืออย่างน้อยก็ไม่ให้เป็นรักเพศเดียวกันโดยสมบูรณ์ ความเชื่อเหล่านี้ไม่เพียงเป็นรากฐานของการบำบัดเปลี่ยนรสนิยมทางเพศ (conversion therapy) ในเวลาต่อมา แต่ยังสะท้อนความกังวลของฟรอยด์ต่อชีวิตส่วนตัวของลูกสาวด้วย
แอนนาเริ่มต้นการวิเคราะห์ทางจิตกับบิดาในปี 1918 เมื่อเธออายุ 23 ปี การตัดสินใจครั้งนี้เกิดจากความไม่แน่ใจในเส้นทางอาชีพระหว่างการเป็นครูกับการเป็นนักจิตวิเคราะห์ แต่เบื้องหลังยังมีความซับซ้อนกว่านั้น ซิกมุนด์ ฟรอยด์ เคยประกาศไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์สมาชิกในครอบครัว เพราะเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างนักวิเคราะห์กับผู้ถูกวิเคราะห์มีมิติที่ “เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศโดยเนื้อแท้” ทว่าเขากลับทำลายกฎนี้ด้วยตัวเอง
การวิเคราะห์กินเวลาหลายปี บางช่วงถึงหกคืนต่อสัปดาห์ ซิกมุนด์ซักถามลูกสาวทั้งเรื่องชีวิตเพศ ความฝัน และแฟนตาซี โดยเฉพาะ ‘จินตนาการเกี่ยวกับการถูกตี’ (beating fantasies) ซึ่งกลายเป็นหัวข้อหลักในการวิเคราะห์ ฟรอยด์เชื่อว่าอันนามี ‘ความฉลาดแบบผู้ชาย’ และมองการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองและความรักเพศเดียวกันเป็นอาการฮิสทีเรีย
นักเขียนอย่าง ‘รีเบคกา คอฟฟีย์’ มองว่าฟรอยด์อาจพยายาม ‘ลงโทษ’ ลูกสาวจากการรักเพศเดียวกันผ่านกระบวนการบำบัด การอ่านบทความ ‘A Child is Being Beaten’ ของฟรอยด์ต่อสาธารณะถูกเชื่อมโยงว่าเป็นผลจากการวิเคราะห์แอนนา แม้เขาไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ก็ระบุว่ากรณีนี้ไม่น่าจะบรรลุ ‘ภาวะปกติทางเพศ’ ได้
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์อันนา รวมถึงจดหมายที่เธอเขียนถึงหญิงคนรักถูกเก็บไว้เป็นความลับใน ‘Freud Archives’ แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะควบคุมเรื่องราวส่วนตัวไม่ให้กระทบชื่อเสียงของบิดาและวงการ
แต่ชีวิตจริงของแอนนากลับบอกเล่าอีกด้านหนึ่ง เธอใช้ชีวิตคู่กับ ‘โดโรธี เบอร์ลิงแฮม’ (Dorothy Burlingham) นักจิตวิเคราะห์ชาวอเมริกันกว่า 54 ปี โดโรธีเป็นทายาทตระกูลผู้ก่อตั้งแบรนด์ ‘Tiffany & Co.’ จากสหรัฐอเมริกา ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แม้ไม่ถูกประกาศชัดเจนในยุคนั้น แต่ก็เป็นพันธมิตรชีวิตและวิชาการที่แข็งแกร่งที่สุดในเส้นทางของแอนนา
อย่างไรก็ตาม ในสายอาชีพ แอนนาเองก็มีส่วนร่วมในการบำบัดเปลี่ยนรสนิยมทางเพศ เธอเคยกล่าวในปี 1956 ว่าสามารถ ‘รักษา’ ผู้รักเพศเดียวกันได้มากขึ้น นักวิชาการบางคนมองว่าการที่แอนนายอมรับและแม้กระทั่งมีส่วนร่วมกับการบำบัดเปลี่ยนรสนิยมทางเพศอาจสะท้อนปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า ‘การระบุตัวตนกับผู้กดขี่’ (identification with the oppressor) ซึ่งหมายถึงกลไกทางจิตที่บุคคลซึ่งถูกกดดันหรืออยู่ในความหวาดกลัว เริ่มยอมรับหรือทำตามความคาดหวังของผู้ที่มีอำนาจเหนือตนเอง
สำหรับแอนนา ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากแรงกดดันมหาศาลที่เธอเผชิญตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งจากบิดาผู้เข้มงวดและสังคมยุคนั้นที่ไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ การยอมรับและปฏิบัติตามแนวทางที่บิดากำหนด อาจเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เธออยู่รอดทั้งในความสัมพันธ์ส่วนตัวและในแวดวงวิชาการ
แต่เมื่อหันกลับมาที่งานด้านเด็ก เส้นทางของแอนนาก็เผยแสงสว่างที่ต่างออกไป ประสบการณ์ของเธอในฐานะครูทำให้เห็นว่าเด็กต้องการการทำความเข้าใจที่ต่างจากผู้ใหญ่ เธอหันมาเน้น ‘การเล่น’ เป็นสื่อกลางในการสำรวจโลกในใจของเด็ก
ทว่าแนวคิดนี้ก็พาเธอเข้าสู่ข้อถกเถียงกับ ‘เมลานี ไคลน์’ (Melanie Klein) ผู้ซึ่งมองว่าการเล่นคือภาษาลึกซึ้งที่เผยความขัดแย้งในใจเด็กได้ ไคลน์เชื่อว่าแม้เด็กเล็กก็มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความคิดฝังลึก’ และสามารถตีความได้เหมือนผู้ใหญ่ ขณะที่แอนนามองว่าความเข้าใจเช่นนั้นอาจเร่งรัดเกินไปสำหรับพัฒนาการของเด็ก
การถกเถียงที่เรียกว่า ‘Controversial Discussions’ ระหว่างสองสำนักนี้ สั่นสะเทือนวงการจิตวิเคราะห์อังกฤษในทศวรรษ 1940 และเป็นหมุดหมายสำคัญที่ช่วยกำหนดทิศทางการวิเคราะห์เด็กในยุคต่อมา
ผลงานสำคัญที่สุดของแอนนาเล่มหนึ่งคือ ‘The Ego and the Mechanisms of Defence’ (1936) เธออธิบายกลไกที่อีโก้ใช้เพื่อต่อสู้กับความวิตกกังวล ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธ (denial), การกดเก็บ (repression), การถ่ายโอน (projection), หรือการถอยกลับ (regression) หนังสือเล่มนี้กลายเป็นเสาหลักที่ทำให้โลกเข้าใจจิตใจมนุษย์อย่างเป็นระบบ และเป็นรากฐานของงานด้านจิตบำบัดและจิตวิทยาคลินิกในเวลาต่อมา
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น ครอบครัวฟรอยด์ถูกบีบให้ลี้ภัยจากนาซีเยอรมัน พวกเขาย้ายไปลอนดอน ที่ซึ่งแอนนาได้เริ่มต้นภารกิจครั้งใหม่ นั่นคือการก่อตั้ง ‘Hampstead War Nurseries’ เพื่อดูแลเด็กที่พลัดพรากจากครอบครัวในสงคราม
การทำงานในสถานดูแลนี้ทำให้เธอเข้าใจผลของการพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักต่อสุขภาพจิตของเด็ก การสังเกตอย่างละเอียดและบันทึกเชิงวิชาการของเธอช่วยวางรากฐานแนวคิดเรื่อง ‘attachment’ และ ‘trauma studies’ ในเวลาต่อมา
หนึ่งในผลงานที่สะเทือนใจที่สุดคือการทำงานกับเด็ก 6 คนที่รอดชีวิตจากค่าย ‘Theresienstadt’ เด็กเหล่านี้ผ่านประสบการณ์โหดร้ายเกินจะบรรยาย การศึกษาของแอนนาเผยให้เห็นกลไกการอยู่รอด การแยกตัวทางอารมณ์ และการปรับตัวของเด็กต่อบาดแผลทางจิตใจ งานวิจัยนี้กลายเป็นหลักฐานสำคัญของความเสียหายที่โครงสร้างครอบครัวและสงครามสร้างขึ้นต่อวิญญาณมนุษย์
การทุ่มเทของแอนนาไม่เพียงช่วยชีวิตเด็ก ๆ หากยังปูทางไปสู่การก่อตั้ง ‘Hampstead Child Therapy Course and Clinic’ ซึ่งกลายเป็นสถาบันชั้นนำด้านการวิเคราะห์เด็ก
ด้วยผลงานที่ต่อเนื่องและลึกซึ้ง แอนนาได้รับเกียรติปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยระดับโลก ทั้งฮาร์วาร์ด เยล และออกซ์ฟอร์ด เกียรติเหล่านี้สะท้อนว่าชื่อของเธอไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงคำว่า ‘ลูกสาวฟรอยด์’ อีกต่อไป
เมื่อซิกมุนด์ ฟรอยด์ เสียชีวิตในปี 1939 แอนนากลายเป็นทั้งผู้สืบทอดและผู้สร้างสิ่งใหม่ เธอเลือกที่จะไม่เป็นเพียงเงาของบิดา แต่ใช้แสงสว่างจากความเข้าใจและความเมตตาส่องไปยังชีวิตเด็กที่โลกทอดทิ้ง
แม้ทัศนคติของบิดาและสังคมในยุคนั้นจะสร้างแรงกดดันมหาศาลต่ออัตลักษณ์ของเธอ แต่แอนนาก็สามารถเปลี่ยนพลังนั้นให้กลายเป็นงานวิชาการที่ช่วยให้โลกเข้าใจความเปราะบางของมนุษย์มากขึ้น
ในช่วงบั้นปลายชีวิต แอนนายังคงทำงานและเขียนหนังสืออย่างต่อเนื่องจนถึงวาระสุดท้ายในปี 1982 มรดกของเธอยังคงปรากฏในทุกห้องเรียนจิตวิทยาและทุกห้องบำบัด
เรื่องราวของแอนนา ฟรอยด์ จึงเป็นมากกว่าประวัติของลูกสาวนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ หากแต่คือเรื่องราวของผู้หญิงที่ก้าวออกจากเงาของบิดาและสร้างแสงสว่างใหม่ในการบำบัดเด็กที่เคยถูกทอดทิ้งไว้ในความมืด
เรียบเรียง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง:
“Anna Freud | Child Psychologist, Psychoanalyst, Educator.” Britannica, The Editors of Encyclopaedia Britannica, Encyclopaedia Britannica, https://www.britannica.com/biography/Anna-Freud. Accessed 17 Sept. 2025. Encyclopedia Britannica
“The Windermere Children: the remarkable stories of 300 child survivors of the Holocaust.” HistoryExtra, Published 6 Apr. 2020, BBC History Magazine/Immediate Media Company Limited, https://www.historyextra.com/period/second-world-war/orphans-holocaust-children-stories-survivors-lake-district-uk/. Accessed 17 Sept. 2025. HistoryExtra
“The beginnings of child analysis.” Melanie Klein Trust, https://melanie-klein-trust.org.uk/child-analysis/the-beginnings-of-child-analysis/. Accessed 17 Sept. 2025. melanie-klein-trust.org.uk