10 ส.ค. 2568 | 15:00 น.
KEY
POINTS
แม้ในพงศาวดารฉบับเพลงลูกทุ่งไทย จะมีหลายบทเพลงด้วยกันที่บันทึกไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันไม่ราบรื่นระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา เช่น เพลง ‘เขาพระวิหารเป็นของไทย’ ผลงานการประพันธ์ของบรมครูเพลง ไพบูลย์ บุตรขัน ขับร้องโดย คำรณ สัมบุญณานนท์, เพลง ‘เขาพระวิหาร’ ของ ‘ราชาเพลงลูกทุ่ง’ สุรพล สมบัติเจริญ, เพลง ‘เขาพระวิหารต้องเป็นของไทย’ ของ ก้าน แก้วสุพรรณ หรือเพลง ‘ยอมตายที่ตาพระยา’ ของ สายัณห์ สัญญา
กระนั้น ก็มีเพลงลูกทุ่งดังบทเพลงหนึ่ง ที่อาจจะได้กล่าวได้ว่าเป็นเพลงรักมิตรภาพระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา ที่สะท้อนให้ถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองอันดีระหว่างสองประเทศ ทั้งการค้า การเดินทาง รวมถึงมิติการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในช่วงกลางทศวรรษ 2510 ที่น่าสนใจคือ บทเพลงรักสันติภาพเพลงนี้ ประพันธ์โดยครูเพลงลูกทุ่งชาวไทยเจ้าของฉายา ‘ราชาเพลงต่อว่าต่อขานผู้หญิง’
ครูฉลอง ภู่สว่าง
นาย ‘ฉลอง ภู่สว่าง’ เกิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2481 ที่ตำบลบางโทรัด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ในวัยเด็กเป็นคนเรียนเก่งแต่มีฐานะยากจน จึงทำให้ต้องออกจากโรงเรียนมารับจ้างเดินเรือขนส่งเกลือ ไป – กลับ กรุงเทพฯ แต่ด้วยเป็นคนรักในการเรียนจึงไปสอบเทียบวุฒิการศึกษาจนได้วุฒิมัธยมศึกษา 3 (ม.ศ.3) ที่โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริยาราม
เมื่อตอนครูฉลองอายุประมาณ 14 ปี เรือเกลือได้จอดค้างคืนที่ท่าน้ำวัดแหลมสุวรรณาราม ตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร คืนนั้นมีงานวัดและมีวงดนตรี ‘คณะบางกอกแมมโบ’ มาเปิดทำการแสดง โดยขนทัพนักร้องที่ชื่อเสียงในยุคนั้นอย่าง เอมอร วิเศษสุข, สมศรี ม่วงศรเขียว, สุรพล สมบัติเจริญ และสมยศ ทัศนพันธ์ มาสร้างความบันเทิงให้แก่ชาวบ้านมิตรรักนักเพลง ผลปรากฏว่า ครูฉลอง ภู่สว่าง ซึ่งได้ดูการแสดงของวงดนตรีคณะบางกอกแมมโบในค่ำคืนนั้น เกิดตกหลุมรักสำเนียงหวานของเครื่องดนตรีอย่าง ‘แซกโซโฟน’ จึงเกิดแรงบัลดาลใจและความใฝ่ฝันในการเป็นนักร้อง นักดนตรี บนแม่น้ำสายตัวโน้ตดนตรี
ต่อมาเมื่ออายุเข้าวัยเกณฑ์ทหาร ครูฉลอง ภู่สว่าง ไปเป็นทหารรับใช้ชาติอยู่ 2 ปี ด้วยความรักในเสียงดนตรีจึงทำให้ได้เข้าสังกัดกองดุริยางค์ทหารเรือ และเป็นจุดเริ่มต้นในการได้อุ้มกอดแซกโซโฟนและเรียนโน้ตเพลงตามหลักวิชาจนมีความสามารถในการร้องเพลง เล่นดนตรี และแต่งเพลงตามสมควร เล่ากันว่าในช่วงเวลานี้ ครูฉลองได้มีโอกาสเรียนรู้วิชาดนตรีจาก ‘ราชาแอคคอร์เดียนเมืองไทย’ ครูชาญชัย บัวบังศร เจ้าของเสียงแอคคอร์เดียนแห่งรัตติกาล ‘โปรดเถิดดวงใจ’
หลังปลดเกณฑ์ทหาร ครูฉลอง ภู่สว่าง ไม่ยอมเก็บฝันไว้ใต้หมอน จากนักเดินทางบนเรือเกลือกลางแม่น้ำ ครูฉลองตัดสินใจออกเดินทางบนแม่น้ำสายดนตรีไปสมัครเป็นนักร้องและนักดนตรีอยู่กับรำวง ‘คณะดาราน้อย’ จังหวัดชลบุรี ที่มีนักร้องดังในคณะร่วมรุ่นในยุคนั้น เช่น เรียม ดาราน้อย, บุปผา สายชล, บรรจบ เจริญพร และ พนม นพพร ต่อจากนั้นก็ออกเดินทางไปต่อกับวงดนตรีของเพื่อนอย่างวงดนตรี พนม นพพร และวงดนตรีของ บุปผา สายชล
ทว่า เมื่อครูฉลอง ภู่สว่าง แต่งงานและมีลูก 2 คน ก็จำเป็นต้อง ‘เก็บฝัน’ เพื่อทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว เปลี่ยนอาชีพไปพายเรือค้าขายและเป็นพ่อค้าเรือทราย โดยลงทุนซื้อเรือบรรทุกทรายล่องขายไปมาระหว่างกรุงเทพ-จังหวัดราชบุรี ยึดเป็นอาชีพอยู่ประมาณ 2 ปี กระนั้น กิจการเรือทรายกลับไม่ประสบความสำเร็จ มีหนี้สินมากมาย จึงตัดสินใจขายเรือได้เงินมาประมาณหมื่นกว่าบาท
เล่ากันว่าเงินที่ได้จากการขายเรือ ครูฉลองแบ่งไปซื้อแซกโซโฟนเครื่องดนตรีอันแสนรัก 1 ตัว ในราคา 2,000 บาท เพื่อซุ่มเขียนเพลง แต่งดนตรี พร้อมซ้อมขับเป่าแซกโซโฟนเสียงหวานจนคนบ้านใกล้เรือนเคียงอยู่ในอาการไม่ได้หลับไม่ได้นอน มากไปกว่านั้นคือ โดยเมียบ่นว่า
“เขียนไปทำไม? เขียนแล้วจะเอาไปให้ใคร?”
แต่ความฝันไม่ใช่เม็ดทรายที่จะต้องจมอยู่ใต้แม่น้ำไปตลอดกาล ครูฉลองเชื่อว่าสักวันหนึ่งความฝันในการเป็นนักดนตรี นักประพันธ์ จะเกิดขึ้นได้ จึงทิ้งเรือทรายออกเดินทางบนแม่น้ำสายดนตรีอีกครั้งไปกับวงดนตรีหลาย ๆ วง เช่น วงดนตรีจุฬารัตน์ วงศรีไพร ใจพระ วงบุปผา สายชล วงชาตรี ศรีชล และ วงบรรจบ เจริญพร
และที่วงบรรจบ เจริญพร นี่เองที่ทำให้ครูฉลอง ภู่สว่าง ได้รู้จักและมีโอกาสนำเพลงที่ตัวเองแต่งไว้จำนวน 3 เพลง ได้แก่เพลง ลาก่อนความโกหก คำสั่งคุณหมอ และปีวอกหลอกพี่ มอบให้นักร้องประจำวงอดีตคนขับสามล้อ นาม ‘ยอดเพชร ราชสีมา’ โดยได้ นายห้างประกิจ ศุภวิทยาโภคี (นายห้างประกิจซิมสัน วิทยุนครปฐม) เข้ามาสนับสนุนเป็นนายทุนออกแผ่นเสียง พร้อมเปลี่ยนชื่อนักร้องเสียใหม่ให้ใช้นามว่า ‘ระพิน ภูไท’
เพียง 3 เพลงแรกเท่านั้น ระพิน ภูไท ก็กลายเป็นนักร้องลูกทุ่งดาวดวงใหม่ในช่วงราวปี พ.ศ. 2514 และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของครูเพลงลูกไทยแห่งยุคนาม ฉลอง ภู่สว่าง เพราะหลังจากนั้น ครูฉลองทั้งเขียนเพลงดังและสร้างนักร้องประดับวงการเพลงลูกทุ่งมากมาย เช่น
รวมไปถึงมีเพลงต้นฉบับที่ถูกนำมาขับร้องใหม่ภายหลังจนเป็นที่โด่งดังอีกหลายเพลง เช่นเพลง หน้าไม่ทันสมัย ต้นฉบับ ชายธง ทรงพล ขับร้องใหม่โดย ‘ปลาคาร์ฟ เชิญยิ้ม’ และเพลง จูบไม่หวาน ต้นฉบับ ศรชัย เมฆวิเชียร ขับร้องใหม่โดย ‘สันติ ดวงสว่าง’ (ชวนสังเกตว่าหลายเพลงดังของ สันติ ดวงสว่าง มาจากต้นฉบับผลงานการประพันธ์ของครูฉลอง ภู่สว่าง ภายใต้การกำกับดูแลของครูเพลงอารมณ์ดี ‘มนต์ เมืองเหนือ’)
ด้วยพื้นฐานที่มาจากครอบครัวยากจน และประสบการณ์ชีวิตทั้งบนบกและบนผืนแม่น้ำในการเป็นลูกจ้างเรือเกลือและพ่อค้าเรือทรายที่ต้องพบเจอกับคนยากดีมีจน น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญทำให้เนื้อหาในเพลงส่วนใหญ่ของครูฉลอง ภู่สว่าง กล่าวถึงคนจน คนรวย และความแตกต่างทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อความรักของชายหญิงในสังคม ที่น่าสนใจคือ น้ำเสียงความผิดหวังในเพลงลูกทุ่งของครูฉลอง ภู่สว่าง มิได้เป็นไปอย่างเศร้าสร้อยหงอยเหงา หรือจำยอมร้องไห้โฮ แต่มีลักษณะแบบกล่าวประชดประชันและต่อว่าต่อขานผู้หญิง เช่นเพลง คุณนายโรงแรม คนจนเป็นไง ไก่นาตาฟาง ปู่ไข่ไก่หลง และ ผู้หญิงหน้าเงิน
ทำให้ ครูฉลอง ภู่สว่าง ได้รับฉายาในวงการเพลงลูกทุ่งว่า ‘ราชาเพลงต่อว่าต่อขานผู้หญิง’
แม้ครูฉลอง ภู่สว่าง จะได้รับฉายาว่า ‘ราชาเพลงต่อว่าต่อขานผู้หญิง’ แต่มีบทเพลงดังเพลงหนึ่ง ซึ่งเป็นเพลงรักที่ครูฉลอง ภู่สว่าง ประพันธ์ไว้ และที่น่าสนใจคือ บทเพลงนี้มิได้เป็นเพลงรักหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ยังสะท้อนบริบทมิตรภาพความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาในช่วงราวปี พ.ศ.2515 ดังชื่อเพลงที่ว่า
‘กัมพูชาที่รัก’
เพลง ‘กัมพูชาที่รัก’ มีจุดเริ่มต้นมาจากในช่วงปี พ.ศ. 2514 ระพิน ภูไท ที่กำลังเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังจากผลงานเพลงของ ครูฉลอง ภู่สว่าง ภายใต้การสนับสนุนของนายห้างประกิจ ศุภวิทยาโภคี มีเงื่อนไขสัญญาว่าจะต้องร้องประจำอยู่กับวงดนตรี ‘พิณศรีวิชัย’ ของนายห้างประกิจ แต่ทว่าผ่านไปไม่นาน ระพิน ภูไท เกิดมีปัญหาขอลาออกจากวงดนตรี ครูฉลอง ภู่สว่าง เลยจำเป็นต้องปั้นน้องร้องใหม่ขึ้นมาแทน นามว่า ‘ภูษิต ภู่สว่าง’
ครูฉลอง ภู่สว่าง เขียนเพลงชุดแรกให้ ภูษิต ภู่สว่าง ในปี พ.ศ.2515 จำนวน 4 เพลง ดังสนั่นหวั่นไหวทันทีสองเพลง คือ หยุดก่อนคนจน กับ กัมพูชาที่รัก โดยเฉพาะเพลง ‘กัมพูชาที่รัก’ ถือเป็นเพลงที่สร้างชื่อให้แก่ ภูษิต ภู่สว่าง เป็นอย่างมาก และเป็นเพลงที่มีเนื้อหาแตกต่างไปจากขนบการแต่งเพลงของ ครูฉลอง ภู่สว่าง ที่นิยมเล่าถึงความรักของชายคนจนกับหญิงคนรวย เพราะเป็น ‘ความรักในระดับชาติ’ ดังเนื้อหาเพลงว่า
บ่องสลันโอนแม่คุณ
เหมือนมีบุญที่พี่มาเห็น
งามเหลือเกินหนอเจ้า
แม่สาวเมืองเขมร
สาวพนมเปญ ละออละออ
บ่องสลันโอน บ่องสลันโอน
เห็นใจคนเมืองไทยเถิดหนอ
ความรักยังฝังแน่น
ข้ามแดนมายืนเฝ้ารอ
ละออละออ สาวกัมพูชา
พี่พบงามงอนที่นครธม
ใต้ร่มทองกวาว
คืนฟ้าสกาวมีดาวเด่นฟ้า
พี่หลงเสน่ห์
สาวงามแห่งกัมพูชา
จึงย้อนรอนแรมกลับมา
ที่รักจ๋าน้องจงอย่างชัง
บ่องสลันโอน บ่องสลันโอน
แม้นไม่เจอคนที่พี่หวัง
หากไม่เจอขวัญอ่อน
ไม่ย้อนหวนคืนกลับหลัง
จะฝังร่างกายไว้ที่เขมร
ด้วยผู้เขียน (อิทธิเดช พระเพ็ชร - นักเพลงบ้านนา) ยังไม่ทราบข้อมูลว่าเบื้องหลังที่มาของเพลง ‘กัมพูชาที่รัก’ ครูฉลอง ภู่สว่าง ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากสิ่งใด จึงขอเดาว่า ครูฉลอง ภู่สว่าง คงมีโอกาสได้เดินทางไปกับคณะวงดนตรีเปิดทำการแสดงในจังหวัดแถบชายแดนไทย – กัมพูชา หรือไม่ ครูฉลอง ภู่สว่าง ก็คงมีโอกาสข้ามแดนไปเยือนกัมพูชาจึงเกิดแรงบัลดาลใจแต่งเพลง ‘กัมพูชาที่รัก’
ประเด็นสำคัญคือ ปรากฏการณ์ความดังของเพลง ‘กัมพูชาที่รัก’ ในปี พ.ศ.2515 มิใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่ขึ้นในบริบททางการเมืองที่ประเทศไทยและกัมพูชาเริ่มรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูต หลังประเทศกัมพูชาเกิดการรัฐประหารของนายพล ลอน นอล ล้มอำนาจรัฐบาลเจ้านโรดม สีหนุ ในราวปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970)
รัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของนายพล ลอน นอล ในช่วงราวปี พ.ศ. 2513 – 2518 แสดงท่าทีเป็นมิตรกับประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด แตกต่างไปจากรัฐบาลเจ้านโรดม สีหนุ ที่มีทัศนคติและปัญหาความขัดแย้งกับรัฐบาลไทยบ่อยครั้ง โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์กรณีพิพาทปราสาทเขาพระวิหารตั้งแต่ปี พ.ศ.2502 ดังปรากฏว่า ในกลางปี พ.ศ. 2513 รัฐบาลกัมพูชาได้ปล่อยตัวชาวประมงไทยและทหารไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวและพิพากษาโทษจำนวนรวมประมาณ 100 คน และที่สำคัญคือ กัมพูชาและไทยต่างผ่อนผันให้ราษฎรตามแนวชายแดนไปมาหาสู่กันได้ รวมทั้งในปลายปี พ.ศ.2513 สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชาก็กลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังจากถูกปิดมานานถึง 9 ปี
“บ่องสลันโอน บ่องสลันโอน
เห็นใจคนเมืองไทยเถิดหนอ
ความรักยังฝังแน่น
ข้ามแดนมายืนเฝ้ารอ”
ความรักของชายไทยกับหญิงสาวกัมพูชาในคำร้องเพลง ‘กัมพูชาที่รัก’ ของ ครูฉลอง ภู่สว่าง ในปี พ.ศ.2515 จึงเกิดขึ้นได้เพราะมิตรภาพทางการเมืองอันดีระหว่างไทยกับกัมพูชา พูดอีกแบบหนึ่งคือ ความรักของชายหญิงมิได้เป็นเพียงเรื่องของคนสองคน เพราะในบางครั้งความรักก็เป็นเรื่องการเมืองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การที่หนุ่มไทยจะข้ามแดนไปพบรักกับสาวพนมเปญที่นครธม จนถึงขนาดที่ว่า “จะฝังร่างกายไว้ที่เขมร” ได้นั้น เกี่ยวข้องโดยตรงกับมิตรภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา
มิตรภาพความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาในช่วงราวปี พ.ศ. 2513 – 2515 ไม่เพียงแต่ทำให้เกิด ‘เพลงรัก’ ในวัฒนธรรมเพลงลูกทุ่งไทย แต่ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมภาพยนตร์และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสองประเทศด้วยเช่นดัง ดังปรากฏว่าในปี พ.ศ. 2513 ภาพยนตร์กัมพูชาเรื่อง ‘งูเก็งกอง’ ที่นำแสดงโดย นางเอกสาว ‘ดี เศวต’ และพระเอก ‘เจีย ยุทธร’ ประสบความสำเร็จอย่างมากในประเทศกัมพูชาและประเทศไทย ทำให้ในปีต่อมา ทั้งนางเอกสาว ‘ดี เศวต’ และพระเอก ‘เจีย ยุทธร’ ข้ามแดนมาแสดงภาพยนตร์ไทยเรื่อง ‘รักข้ามขอบฟ้า’ (พ.ศ.2514) ประกบคู่กับพระนางคู่ขวัญคนไทยในขณะนั้นอย่าง ‘สมบัติ เมทะนี’ และ ‘อรัญญา นามวงษ์’
และต่อมา นางเอกสาว ‘ดี เศวต’ ก็ไปประกบคู่เพื่อแจ้งเกิดพระเอกใหม่แห่งวงการภาพยนตร์ไทย ‘ยอดชาย เมฆสุวรรณ’ ในเรื่อง ‘น้ำใจพ่อค้า’ (พ.ศ.2514) ในขณะเดียวกัน นางเอกสาวของไทย ‘อรัญญา นามวงษ์’ ก็ข้ามฟ้าข้ามแดนไปแสดงภาพยนตร์เรื่อง ‘งูเก็งกอง ภาค 2’ นำแสดงคู่กับพระเอก เจียร ยุทธร เช่นกัน
จะเห็นได้ว่า มิตรภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเพียงเรื่องทางการเมืองหรือการทหารเท่านั้น หากแต่ยังเกี่ยวข้องสัมพันธ์โดยตรงกับ ‘ความรัก’ ของผู้คนที่ข้ามชายแดนไปมา รวมถึงยังเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระหว่างสองประเทศด้วย
ความรัก ย่อมดีกว่าความเกลียดชัง ดังปรากฏไว้ในพงศาวดารฉบับเพลงลูกทุ่งไทย ว่าในครั้งหนึ่งเคยมีเพลงรักมิตรภาพไทย – กัมพูชา จาก ‘ราชาเพลงต่อว่าต่อขานผู้หญิง’ ครูฉลอง ภู่สว่าง
‘กัมพูชาที่รัก’