08 ส.ค. 2568 | 18:21 น.
KEY
POINTS
“ณ โอกาสต่อจากนี้ไป ถึงเวลาแล้วครับ
ที่ท่านจะได้พบศิลปินที่ท่านรัก และนั่งรอ
นักร้องผู้นี้อยู่คู่แฟนเพลงมานาน คำโบราณเขาเคยว่าไว้
ความดังไม่คงที่ แต่ความดีซิคงทน เขาผู้นี้ยึดปฏิบัติมาโดยตลอด
ปีแล้วปีเล่า ปีเก่าปีใหม่ งานวิกงานวัด บ้านนอกในกรุงบ้านทุ่งแดนไกล
ที่เขาสัญญาไว้ ต้องไปพบกับแฟนเพลงทั่วทุกสถานที่
ท่านผู้ชม ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพรัก
ณ โอกาส บัดนี้ ท่านจะได้พบกับ ศิลปินที่ท่านรัก และนั่งรอตั้งแต่ต้นรายการ
เขาคือ พระเอกลูกทุ่ง... ยอดรัก สลักใจ”
เสียงประกาศเปิดตัวจากสุดยอดอเนาเซอร์โฆษกประจำวงดนตรีลูกทุ่งเมืองไทย แสนรัก เมืองโคราช เรียกเสียงปรบมือจากมิตรรักแฟนเพลงลูกทุ่งต้อนรับศิลปินที่รักและเฝ้ารอ พระเอกลูกทุ่ง ยอดรักนักร้อง ผู้ซึ่งจากไปแต่เสียงเพลงของเขายังอยู่ในหัวใจแฟนเพลงตลอดกาล
“ยอดรัก สลักใจ”
ยอดรัก สลักใจ หรือในชื่อสกุลจริง นายนิพนธ์ ไพรวัลย์ ชื่อเล่น “แอ๊ว” เกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2499 พื้นเพเป็นคนอำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดหาดแตงโมจันทรประเสริฐ ตำบลงิ้นราย อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร
ในวัยเด็ก ยอดรัก มีความฝันอยากเป็น หมอ แต่ทางบ้านฐานะยากจนไม่มีเงินส่งค่าเล่าเรียนจึงจบเพียงชั้น ป.4 แล้วออกมาช่วยที่บ้านทำนา จากนั้นชีวิตของ ยอดรัก ก็ท่องไปบนถนนสายดนตรี ในยุคที่ สุรพล สมบัติเจริญ และกระแสดนตรีรำวงสามช่าครองเมือง อันเนื่องมาจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขนาดนั้น ไม่ชอบดนตรีร็อกแอนด์โรล
วันหนึ่ง มีคณะรำวง “เกตุน้อยวัฒนา” มาเล่นที่จังหวัดพิจิตร ยอดรัก จึงไปสมัครเป็นนักร้องประจำคณะ เริ่มต้นชีวิตบนถนนแห่งเสียงเพลงจากการเป็นนักร้องเชียร์รำวงออกเดินทางไปหลายจังหวัด โดยไม่เคยลืมทางบ้านส่งเงินกลับมาให้แม่เป็นประจำทุกเดือน
ยุคทองรำวงพ้นผ่าน เข้าสู่ทศวรรษ 2510 ในยุค “อเมริกันครองเมือง” ยอดรัก ออกเดินทางมุ่งสู่อำเภอตาลี จังหวัดนครสรรค์ ที่ในขณะนั้นเต็มไปด้วยทหารอเมริกันเพราะเป็นที่ตั้งของ “ฐานทัพตาคลี” จากนักร้องเชียร์รำวง ยอดรัก กลายเป็นนักดนตรี “มือกีต้าร์” สวมบทบาทเป็นมือกีต้าร์สามช่าระดับตำนาน “คาร์ลอส ซานตาน่า” โซโล่ถูกใจบรรดาทหารจีไอจนถึงขนาดซื้อกีต้าร์ไฟฟ้ายี่ห้อดังให้เป็นรางวัลตอบแทน
หากชีวิตไม่พลิกผัน นอกจากมือกีต้าร์ยุคแคมป์ทหารจีไออย่าง “แหลม มอริสัน” บางทีเมืองไทยอาจจะมี “ยอดรัก ซานตาน่า” บ้าง ใครจะไปรู้!
แต่เมื่อนโยบายการเมืองระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงในช่วงสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (พ.ศ.2516 – 2517) ทหารอเมริกันเริ่มถอยฐานทัพกลับมาตุภูมิ ขณะนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่วงการเพลงลูกทุ่งไทยกำลังเข้าสู่ยุคทอง ยอดรัก ที่มีพื้นฐานมาจากนักร้องเพลงเชียร์รำวงจึงผันตัวเองไปเป็น “นักร้องลูกทุ่ง” ห้องอาหาร ประจำการที่ร้าน “บ้านไร่รจนา” อำเภอตาคลี โดยร้องในสำเนียงและเงาเสียงแบบ ไพรวัลย์ ลูกเพชร
ค่ำคืนหนึ่ง เด็ดดวง ดอกรัก นักจัดรายการวิทยุชื่อดังแห่งสถานีวิทยุกระจายเสียงทหารอากาศ 4 (ท.อ.04) จังหวัดนครสรรค์ มานั่งฟังเพลงที่ห้องอาหาร “บ้านไร่รจนา” เมื่อได้ยินเสียงนักร้องบนเวทีขับร้อง ก็นึกว่า ไพรวัลย์ ลูกเพชร เดินทางมาร้องเพลงที่จังหวัดนครสวรรค์ จึงถามเพื่อน ๆ ที่มาด้วยกันว่า “เอ๊ะ ไพรวัลย์เคยมา แล้วมาหาผมนะทุกครั้ง แล้วครั้งนี้ทำไมไม่มาหาผม ใครเชิญไปร้องเพลงอยู่บนเวทีเนี่ย”
เพื่อน ๆ ที่มาด้วยจึงตอบว่า
“พี่เด็ดดวง ไปอยู่ไหนมาเนี่ย ไอ้คนที่ร้องเพลงนะ ไม่ใช่ไพรวัลย์ ไอ้แอ๋ว ไอ้แอ๋ว ที่เล่นกีต้าร์ดนตรีอยู่ที่นี่แหละ”
เด็ดดวง ดอกรัก ชอบน้ำเสียงยอดรักเป็นอย่างมากและตั้งใจจะปั้นให้เป็นนักร้องดัง จึงนึกถึง “ชลธี ธารทอง” ครูเพลงเจ้าของฉายา “เทวดาเพลง” ผู้ซึ่งปั้น สายัณห์ สัญญา ให้โด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทยอยู่ในขณะนั้น แต่ทว่า เด็ดดวง ไม่รู้จักบ้านชลธี จึงโทรไปถาม “ดาร์กี้ ขี้เมา” (ไพฑูรย์ ขันทอง) ดาวตลกประจำคณะวงดนตรีลูกทุ่งไพรวัลย์
ไพฑูรย์ ขันทอง เล่าว่าวันหนึ่ง เด็ดดวง ดอกรัก มาบอกว่าไปเจอเด็กคนหนึ่งร้องเพลงประจำอยู่ห้องอาหารที่ตาคลี นครสวรรค์ ร้องเพลง “ใต้เงาโศก” เหมือนไพรวัลย์จริง ๆ ฟังแล้วขนลุก จึงชักชวนให้เดินทางไปจังหวัดนครสวรรค์ ไพฑูรย์ เล่าว่า เมื่อยอดรักขึ้นร้องเพลง “ใต้เงาโศก” ของ ไพรวัลย์ ลูกเพชร และเพลง “จำปาลืมต้น” ของ สายัณห์ สัญญา ได้เพียงสองเพลงเท่านั้น
“พาเข้ากรุงเทพฯ คืนนั้นเลย”
และจุดหมายปลายทางการเดินทางคืนนั้น คือบ้าน “เทวดาเพลง” ชลธี ธารทอง
ถึงบ้านชลธี ธารทอง เวลาประมาณตีสองตีสาม เมื่อได้พบกัน ยอดรัก จึงเข้าไปกราบขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ชลธี ธารทอง ที่นุ่งเพียงกางเกงตัวเดียวเสื้อไม่ใส่ นั่งสูบบุหรี่ยี่ห้อเกล็ดทอง ได้ฟัง ยอดรัก ร้องเพลง “ใต้เงาโศก” และ “จำปาลืมต้น” เพียงสองเพลง ก็ดับบุหรี่ลงแล้วบอกว่า
“เอ็งดัง!!!”
ทว่า ผลงานบันทึกแผ่นเสียง 6 เพลงแรกในชื่อ “ยอดรัก ลูกพิจิตร” กลับไม่ประสบความสำเร็จดังตั้งใจ เพราะคนฟังนึกว่า ยอดรัก ลูกพิจิตร เป็นชื่อนักมวย กระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างทีมงานไปนั่งกินอาหาร ชวนชัย ฉิมพะวงศ์ (นักแต่งเพลง) ได้พูดออกมาว่า
“ยอดรัก ลูกพิจิตร มันยังไม่รู้ มันเหมือนลิเก มันเหมือนนักมวย มันไม่เหมือนนักร้อง เอาคำไหนมาใส่นามสกุลที่คนฟังแล้วมัน สลักใจ”
นั่น จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ “ยอดรัก สลักใจ”
นักร้องนาม “ยอดรัก สลักใจ” เปิดตัวด้วยผลงาน “จดหมายจากแนวหน้า” ในปี พ.ศ. 2518 ที่ ครูชลธี ธารทอง แต่งขึ้นเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ทหารไทยสู้กับขบวนการคอมมิวนิสต์ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยมีเอกลักษณ์คือ เพลงเริ่มต้นด้วยเสียงยิงลูกระเบิดในสมรภูมิรบ จากนั้นตามมาด้วยเสียงดนตรีและเสียงร้องของ ยอดรัก สลักใจ อันไพเราะว่า “กลางดงควันปืน พี่เฝ้ายืนสู้เหล่าร้าย ได้รับจดหมาย น้องโฉมฉายเจ้าส่งถึง...”
เพลง “จดหมายจากแนวหน้า” ส่งยอดรัก สลักใจ โด่งดังเป็นพลุแตกในช่วงปลาย พ.ศ. 2518 – 2519 ทำให้ เด็ดดวง ดอกรัก ผู้ปลุกปั้นตั้งวงดนตรี “ยอดรัก สลักใจ” ในวันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2519 พายอดรัก สลักใจ ออกเดินทางไปบนถนนสายดนตรีทั่วฟ้าเมืองไทย
พร้อมกันนั้น ด้วยเป็นยุคที่รัฐไทยกำลังต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ ครูเพลงหลายท่านจึงสวมภาพลักษณ์การเป็นนักร้องในคราบนักรบผ่านสงครามเพลง แต่งเพลงลูกทุ่งทหารให้ ยอดรัก สลักใจ สวมชุดลายพรางสาด “ลูกคอกระสุน” เพลงลูกทุ่งทหารขับร้องโด่งดังหลายเพลง เช่น
เพลง “ทหารใหม่ไปกอง” (“โบกมือหยอย ๆ บอกน้อยจะไปชายแดน...”)
เพลง “ทหารเรือมาแล้ว” (“แม่สาวแก้มเรื่อ ทหารเรือมาแล้ว...”)
และอื่น ๆ อีกเช่น “ทหารเอกแม่ย่า” “พลทหารแฟนหาย” “ทหารสั่งเมีย” และ “ห่มธงนอนตาย” ดังนั้น เมื่อนึกถึงยุคสู้คอมมิวนิสต์ มิตรรักนักเพลงคงจะย่อมนึกถึง “พลทหาร ยอดรัก สลักใจ”
ทั้งนี้ในช่วงปี พ.ศ. 2520 – 2523 นับเป็นปีทองของ ยอดรัก สลักใจ เมื่อสามารถคว้ารางวัลเกียรติยศได้มากถึง 5 รางวัลใหญ่ ได้แก่
ปี พ.ศ. 2520 ได้รับรางวัลพระราชทานเสาอากาศทองคำ ประเภทนักร้องลูกทุ่งยอดเยี่ยม จากเพลง “ทหารเรือมาแล้ว”
ปี พ.ศ. 2522 ได้รับรางวัลพระราชทานแผ่นเสียงทองคำ ประเภทนักร้องยอดนิยมลูกทุ่งชาย
ปี พ.ศ. 2523 ได้รับรางวัลพระราชทานแผ่นเสียงทองคำ เพลง “กำนันกำใน” ในฐานะเป็นผู้มีความสามารถใช้ภาษาไทยได้ถูกต้อง
ปี พ.ศ. 2523 ได้รับรางวัลทีวีตุ๊กตาทองมหาชน นักร้องยอดนิยม ประเภทลูกทุ่งชาย จากเพลง “ไอ้หนุ่มตู้เพลง”
ปี พ.ศ. 2523 ได้รับรางวัลทีวีตุ๊กตาทองมหาชน นักร้องยอดนิยม ประเภทลูกทุ่งชาย จากเพลง “รักแม่ม่าย”
นอกจากนี้ ในช่วงทศวรรษ 2520 ยอดรัก สลักใจ ยังมีผลงานการแสดงภาพยนตร์ทั้งในฐานะ “พระเอก” และนักแสดงหลัก เช่น ภาพยนตร์เรื่อง “เรือเพลง” (พ.ศ.2523) สงครามเพลง (พ.ศ.2526), สาวนาสั่งแฟน (พ.ศ. 2527) “สาลิกาลิ้นทอง” (พ.ศ.2527) “ทหารเกณฑ์เจอผี” (พ.ศ.2527) และอื่น ๆ อีกมากมาย จนได้รับฉายาในวงการว่า “พระเอกลูกทุ่ง ยอดรัก สลักใจ”
อย่างไรก็ตาม ปลายทศวรรษ 2520 – 2530 กระแสวงการเพลงลูกทุ่งเริ่มเข้าสู่ช่วงซบเซา จากภาพลักณ์นักร้องเพลงลูกทุ่งทหารในยุคสู้คอมมิวนิสต์ ยอดรัก สลักใจ จึงเปลี่ยนแนวมาร้องเพลงให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น แนวลิเก แนวเพลงแหล่ แนวกึ่งลูกกรุงกึ่งลูกทุ่ง รวมไปถึงแนวสตริง (มีชุดหนึ่งใช้ชื่อว่า “นิพนธ์ แกเล็กซี่”) จน ยิ่งยง สะเด็ดยาด คอลัมนิสต์ชื่อดังของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ตั้งฉายาให้ว่า “นักร้องสารพัดชนิด”
ภาพลักษณ์และเอกลักษณ์ของ ยอดรัก สลักใจ ในช่วงทศวรรษ 2520 – 2530 จึงปรับเปลี่ยนจากนักร้องเพลงลูกทุ่งทหารกลายมาเป็น นักร้องลูกทุ่ง “ลูกคอมหาเสน่ห์” อ้อนสาว ๆ และบรรดาแม่ยกสาวแก่แม่หม้าย มีผลงานเพลงที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้อย่าง เพลง “รักแม่หม้าย” “อยากมีเมีย” “รักน้องเมีย” “เอาแน่” “สามสิบยังแจ๋ว” “เด็กเอ๊าะ ๆ” “เด็กมันยั่ว” “ไม่มีเวลาไปหาเมียน้อย’ และ “คาถามหานิยม” โดยได้ “ดาร์กี้ ขี้เมา” หรือ ไพฑูรย์ ขันทอง เป็นนักแต่งเพลงและดาวตลกประจำวงยืนเคียงข้างคู่ใจ
ทั้งนี้ ในปี พ.ศ.2533 ยอดรัก สลักใจ มีผลงานละครทีวีสร้างชื่อเป็นอย่างมากจากเรื่อง “ล่องเรือหารัก” ที่ ยอดรัก ทั้งนำแสดงและร้องเพลงประกอบ เดิมทีเพลง “ล่องเรือหารัก” จากผลงานการแต่งของ ครูชลธี ธารทอง ต้นฉบับขับร้องโดย สุริยัน ส่องแสง ทว่าต้นฉบับไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ผลปรากฏว่า เพลง “ล่องเรือหารัก” ฉบับ ยอดรัก สลักใจ โด่งดังเป็นอย่างมาก และจนกลายมาเป็นหนึ่งใน “เพลงชาติ” และ “เพลงครู” ของวงการประกวดเพลงลูกทุ่งไทยในปัจจุบัน (ยอดรัก เคยบอกว่า เพลงที่ร้องยากที่สุดในชีวิตคือเพลง ล่องเรือหารัก)
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2534 ได้มีโอกาสเข้าเรียนที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขน บรรจุเป็นพลสำรองพิเศษ ทำงานอยู่ฝ่ายมวลชนสัมพันธ์ กรมตำรวจ ต่อมาได้รับเลื่อนยศเป็น สิบตำรวจเอก นิพนธ์ ไพรวัลย์ โดยได้รับการสนบสนุนจาก พลตำรวจเอก พจน์ บุณยะจินดา (บิดา ดัง - พันกร บุณยะจินดา) และสำเร็จการศึกษาปริญญาครุศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ศศ.บ.) สาขาศิลปศาสตร์ สายดนตรีและศิลปะ การแสดง วิทยาลัยครูธนบุรี ในปี พ.ศ. 2537
ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 ยอดรัก สลักใจ ได้รับโอกาสแสดงละครทีวีในฐานะนักแสดงรับเชิญและขับร้องเพลงลูกทุ่งระดับตำนานอย่างเพลง “มนต์รักลูกทุ่ง” ผลงานการประพันธ์ของ ครูไพบูลย์ บุตรขัน ผลปรากฏว่า ละคร “มนต์รักลูกทุ่ง” ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ ได้รับความนิยมทั่วบ้านทั่วเมืองครองเรตติ้งสูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 3 ของเมืองไทย และเพลง “มนต์รักลูกทุ่ง” เวอร์ชั่น ยอดรัก สลักใจ ก็ได้รับการยอมรับว่าคือหนึ่งในเพลงลูกทุ่งไทยที่ดีที่สุดตลอดกาล
อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นทศวรรษ 2540 ยอดรัก สลักใจ ค่อยๆ หายไปจากถนนสายดนตรี เนื่องจากประกอบกิจการค่ายเพลงขาดทุนไปราว 30 ล้าน จำต้องเดินทางไปรับจ้างร้องเพลงต่างประเทศ และเป็นพ่อครัวร้านอาหารทำงานหาเงินใช้หนี้
แม้ในช่วงทศวรรษ 2540 ยอดรัก สลักใจ ต้องประสบกับปัญหาชีวิตหลายอย่าง จนทำให้เพลงดังอย่างเพลง “รักน้องพร” และ “มีเมียเด็ก” ที่ครูเพลงตั้งใจแต่งให้ ยอดรัก ขับร้องโดยเฉพาะ ต้องพลาดหลุดมือตกเป็นของนักร้องท่านอื่น (“รักน้องพร” ตกเป็นของ สดใส รุ่งโพธิ์ทอง และ “มีเมียเด็ก” ตกเป็นของ พรศักดิ์ ส่องแสง) แต่ ยอดรัก ก็ยังมีผลงานเพลง ละคร และภาพยนตร์อยู่บ้างประปราย เช่น ภาพยนตร์เรื่อง “เสือ โจรพันธุ์เสือ” (พ.ศ.2541) ภาพยนตร์เรื่อง “มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม.” (พ.ศ.2545) ละครทีวี เรื่อง “สวรรค์บ้านทุ่ง” (พ.ศ.2541) “อะเมซซิ่งโคกเจริญ” (พ.ศ. 2544) และ “มนต์รักแม่น้ำมูล” (พ.ศ. 2545)
ทว่า ผลงานที่กลับมาสร้างชื่อและเรียกเสียงปรบมือศรัทธาจากแฟนเพลงได้อย่างยิ่งใหญ่คือ ภาพยนตร์เรื่อง “อีส้ม สมหวัง” (พ.ศ.2550) ผลงานการกำกับของดาวตลก โน๊ต เชิญยิ้ม ที่เนื้อหาภาพยนตร์ใช้ฉากหลักเล่าเรื่องชีวิตอันแสนบันเทิงของบรรดานักร้อง หางเครื่อง นักดนตรี ผู้จัดการวง และหัวหน้าวงดนตรี “วงยอดรัก สลักใจ” ภาพยนตร์ “อีส้ม สมหวัง” ประสบความสำเร็จทำรายได้รวมไปราวเกือบ 40 ล้านบาท และส่งผลทำให้เพลง “คาถามหานิยม” ของ ยอดรัก กลับมาโด่งดังในวงการเพลงลูกทุ่งอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่อง “อีส้ม สมหวัง” กลับเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในชีวิต เพราะต้นปี พ.ศ. 2551 ยอดรัก ได้ออกมาเปิดเผยว่าตนเองกำลังป่วยเป็นโรคมะเร็ง สร้างความตกใจให้แก่มิตรรักแฟนเพลงเป็นอย่างมาก
กระนั้น ด้วยคุณงานความดีและผลงานที่เคยสร้างความสุขให้แก่แฟนเพลง ทำให้ธารน้ำใจทั้งจากเพื่อนพี่น้องนักร้อง แฟนเพลง นักการเมือง นักธุรกิจ ไปจนถึงบุคคลในระดับราชวงศ์ ต่างหลั่งไหลให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือ ยอดรัก สลักใจ ทั้งการสนับสนุนออกผลงานเพลงอัลบั้มชุดสุดท้ายคือ “มะเร็งไม่มายิง” โดย ยอดรัก ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน 570,000 บาท เพื่อนพี่น้องศิลปินนักร้อง (โดยเฉพาะ เสรี รุ่งสว่าง) เพื่อนนักแสดง และเพื่อนตลก ร่วมใจกันจัดคอนเสิร์ตช่วยเหลือ เช่น คอนเสิร์ตเพื่อนช่วยเพื่อน ยอดรัก สลักใจ (เวทีไท) วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งผลปรากฏว่า ผู้คนจากทั่วสารทิศต่างไหลมารับชมกันจนล้นหลาม ทำให้เก้าอี้ภายในงานที่เตรียมไว้ไม่พอนั่ง และ “คอนเสิร์ตเพื่อนรักสลักใจ” ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2551 ก็เต็มไปด้วยมิตรรักแฟนเพลงจากทั่วสารทิศหลั่งไหลมาให้กำลังใจเช่นกัน
และเพลงที่ ยอดรัก สลักใจ จะนำมาร้องปิดท้ายคอนเสิร์ตในทุกเวที ก็คือเพลง “ขอบคุณแฟนเพลง”
“ขอกราบขอบคุณ
ที่ได้รับไออุ่นการุณจากแฟนเพลง
ผมแสนชื่นใจหายวังเวง
เมื่อแฟนเพลงให้กำลังใจ...”
ในท้ายสุดท้าย ยอดรัก สลักใจ ได้จากไปอย่างสงบ ในวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2551 (รวมอายุ 52 ปี) ทิ้งไว้ซึ่งคุณความดีและผลงานเพลงบันทึกเสียงรวมกว่า 4,000 เพลง พร้อมกับภาพลักษณ์สุดท้ายตลอดชีวิตการเดินทางบนนถนนสายดนตรีลูกทุ่งไทย
“พระเอกลูกทุ่งตลอดกาล” ยอดรักนักร้องขวัญใจแฟนเพลง
ยอดรัก สลักใจ
อ้างอิง
จันทรา กุลนันทคุณ, ยอดรัก สลักใจ (นายนิพนธ์ ไพรวัลย์), แบบจัดเก็บองค์ความรู้ด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมจากการสัมภาษณ์/ภูมิปัญญาท้องถิ่น, สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร, 2564.
ทัวร์ลูกทุ่ง คุยกับ เด็ดดวง ดอกรัก | ไพฑูรย์ ขันทอง Part1/3 เข้าถึงข้อมูลใน https://www.youtube.com/watch?v=gNU4PKHc6pQ
ไพฑูรย์ ขันทอง | รายการตามรอยเพลง | ประวัติชีวิต อดีต-ปัจุบัน, เข้าถึงข้อมูลใน https://www.youtube.com/watch?v=jr8Q1xuG-Vs