24 ธ.ค. 2568 | 13:40 น.

KEY
POINTS
เมื่อเกิด ‘สงคราม’ คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ‘ประชาชน’ มันเป็นแบบนั้นเสมอมา
เช่นเดียวกับ ชาวคริสตชนที่หมู่บ้านสองคอน จังหวัดนครพนมในช่วงสงครามอินโดจีน ที่แม้จะถูกรัฐห้ามนับถือศาสนาคริสต์ เพราะเป็นศาสนาของศัตรูจนถูกมรณสักขี พวกเขาก็ไม่เคยละทิ้งศรัทธา
เมื่อความเชื่อที่เคยหล่อเลี้ยงชีวิต ถูกทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้าม ชาวบ้านสองคอนจึงต้องเผชิญคำถามที่ไม่มีคำตอบง่าย ๆ ว่าควรเลือกอยู่รอด หรือยืนหยัดในสิ่งที่เชื่อ
เรื่องราวของหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมโขงแห่งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงประวัติศาสตร์ศาสนา หากเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่เผยให้เห็นราคาของความเป็นไทยแบบหนึ่งเดียว และบาดแผลที่ยังคงสะท้อนมาถึงสังคมไทยในปัจจุบัน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือหนึ่งในภูมิภาคที่โลกจับตามอง ทั้งในฐานะแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอย่างพารา ดีบุก และของป่า และในฐานะศูนย์กลางการค้าสำคัญของโลกยุคอาณานิคม
ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมในอินโดจีน กลับพ่ายแพ้ต่อเยอรมนีในยุโรป อำนาจของฝรั่งเศสในลาว กัมพูชา และเวียดนามจึงอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด อาณานิคมถูกตัดขาดจากการสนับสนุน ทั้งกำลัง เสบียง และการปกครองจากศูนย์กลาง
ความเปลี่ยนแปลงนี้เปิดโอกาสให้รัฐบาลสยามภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม พยายามเจรจาขอปรับปรุงเขตแดน และทวงคืนดินแดนฝั่งลาวและกัมพูชาที่ไทยเคยสูญเสียไปในอดีต เมื่อการเจรจาไม่เป็นผล ความตึงเครียดจึงพัฒนาไปสู่สงครามอินโดจีนในปี 2483
ภายในประเทศเอง ประเทศไทยกำลังอยู่ท่ามกลางความเปราะบางทางเสรีภาพทางการเมือง รัฐบาลในยุคนั้นพยายามสร้างภาพจำใหม่ของชาติให้ดูทันสมัย เป็นหนึ่งเดียว และเข้มแข็ง ผ่านวาทกรรมความเป็นไทยที่ถูกต้อง และหนึ่งในแกนสำคัญของวาทกรรมนี้ คือ การผูกความเป็นไทยเข้ากับศาสนา
ในบริบทของความขัดแย้งกับฝรั่งเศส ศาสนาคริสต์จึงถูกมองว่าเป็นศาสนาของศัตรู รัฐบาลออกนโยบายปิดโบสถ์ ขับไล่บาทหลวงชาวฝรั่งเศส และกดดันให้คริสตชนละทิ้งความเชื่อ เพื่อพิสูจน์ความจงรักภักดีต่อชาติ
แรงกดดันเหล่านี้ทวีความรุนแรงขึ้นในพื้นที่ชายแดนริมแม่น้ำโขง หนึ่งในชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ หมู่บ้านสองคอน ในจังหวัดนครพนม หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
หมู่บ้านเล็ก ๆ ริมแม่น้ำโขงแห่งนี้ จึงกลายเป็นพื้นที่ที่ศรัทธา ความหวาดกลัว และอำนาจรัฐตัดกันอย่างเข้มข้นจนนำไปสู่เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ไทย
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลต่อชาวบ้านสองคอนอย่างมาก เกิดขึ้นจากสภาพชีวิตของชุมชนในช่วงเวลานั้น เมื่อชาวบ้านจำนวนมากล้มป่วยด้วยโรคห่า หรือโรคอหิวาตกโรค ขณะที่องค์ความรู้และระบบการแพทย์ของไทยในเวลานั้นยังไม่สามารถรักษาโรคดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ป่วยจำนวนมากจึงถูกมองว่าเป็น 'ผีปอบ' ถูกสังคมรอบข้างหวาดกลัวและตีตรา ทั้งที่แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่เจ็บป่วยจากโรคระบาด แต่ในช่วงเวลานั้นเอง คุณพ่อฟรังซัวร์ มารีย์ ซาเวร์ เกย์โก มิชชันนารีชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนา ได้นำความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่เข้ามารักษาชาวบ้านจนหายจากโรคร้าย
การรักษานี้ไม่เพียงช่วยชีวิตผู้คน แต่ยังเป็นการปลดเปลื้องคำสาปเรื่องผีปอบ พิสูจน์ให้เห็นว่าชาวบ้านสองคอนไม่ใช่ผีหรือสิ่งชั่วร้ายอย่างที่ถูกกล่าวหา หากแต่เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากเริ่มหันมานับถือศาสนาคริสต์
นอกจากนี้ ภายในหมู่บ้านยังมี ‘วัดสองคอน’ ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งศูนย์กลางทางศาสนาและศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มีคุณพ่อเปาโล ฟีเกต์เป็นเจ้าอาวาส อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนประชาบาล โดยมีครูฟิลิป สีฟอง อ่อนพิทักษ์ ทำหน้าที่เป็นทั้งครูใหญ่และครูคำสอน ชุมชนสองคอนจึงมีระบบการศึกษาและกิจกรรมทางศาสนาที่ทันสมัยกว่าพื้นที่โดยรอบ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนด้านวิทยาการและการศึกษาจากคณะมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น เมื่อรัฐบาลมีนโยบายความเป็นไทยแท้และอยากให้คนไทยนับถือศาสนาพุทธ คุณพ่อเปาโล ฟีเกต์ที่เป็นเจ้าอาวาสวัดสองคอนจึงถูกสั่งออกนอกประเทศ เหลือเพียงครูฟิลิปที่เป็นผู้นำและศูนย์กลางจิตใจของชาวบ้าน
ศาสนาคริสต์ซึ่งเคยเป็นที่พึ่งยามเจ็บป่วย และเป็นศูนย์กลางของการศึกษาและชีวิตชุมชน กลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกจับตามอง ในวันที่ศรัทธากำลังถูกท้าทายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ช่วงต้นเดือนธันวาคม ปี 2483 ชาวบ้านถูกกดดันให้ชาวบ้านเปลี่ยนศาสนา มีการเรียกประชุมและข่มขู่ว่าจะลงโทษผู้ที่ยังไปสวดมนต์ที่โบสถ์ แต่วันนั้นครูฟิลิปยังเขียนจดหมายและให้กำลังใจชาวบ้านให้ยืนหยัดในศรัทธาของตัวเอง
ผ่านไปไม่กี่วัน คุณพ่อฟิลิปถูกตำรวจหลอกว่า นายอำเภอต้องการพบตัวที่อำเภอมุกดาหาร แต่ระหว่างทางกลับถูกลอบสังหารด้วยอาวุธปืนจนเสียชีวิต
แล้วเมื่อวันคริสต์มาสมาถึง ช่วงเวลาแห่งความสุข แต่ชาวบ้านที่สองคอนกลับอยู่ท่ามกลางความกลัว เพราะเจ้าหน้าที่สั่งห้ามประกอบพิธีกรรม ถึงอย่างนั้น ซิสเตอร์อักแนส พิลา ทิพย์สุข และซิสเตอร์ลูซีอา คำบาง ตัดสินใจสวมชุดนักบวชอย่างเปิดเผยเพื่อยืนยันอัตลักษณ์และความศรัทธาของตน
รวมถึงซิสเตอร์อักแนสก็เขียนจดหมายถึงตำรวจลือ เมืองโคตร หัวหน้าชุดตำรวจ ส่วนหนึ่งเขียนว่า “จงคอยดูเถิด ท่านถือตามรับสั่งของรัฐบาล ฉันก็ถือตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า ขอเป็นพยานให้แก่พระองค์เถิดพระเข้าค่ะ”
กระทั่งวันที่ 26 ธันวาคม 2483 ตำรวจเดินทางมาพบซิสเตอร์จำนวน 8 คนเพื่อถามว่า พวกเขาได้ตัดสินใจเปลี่ยนศาสนาหรือละทิ้งพระเจ้าแล้วหรือยัง แต่พวกเขายังคงยืนยันในศรัทธา ทำให้ชาวคริสตชนทั้งแปดต้องเดินทางไปยังป่าศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะถูกสังหารหมู่ หรือเรียกว่า ‘มรณสักขี’
คำที่ปรากฎในป้ายประชาสัมพันธ์ที่สร้างสักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี ประเทศไทย อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ระหว่างเดินทางทุกคนสวดภาวนาและร้องเพลง มีคนหนึ่งรอด ทำให้เหลือเพียง 7 คน แล้วเมื่อถึงป่าอันศักดิ์สิทธิ์ มีการยิงกระสุนหลายนัด และบางคนก็ถูกยิงต่อหน้าชาวบ้านคนธรรมดา
“เสียงปืนดังลั่นประมาณ 20 นัด พวกตำรวจเข้าใจว่า ทุกคนตายแล้วจึงเดินกลับ… มี 2 คนยังไม่ตาย คือ ซิสเตอร์อักแนส พิลา ทิพย์สุข และเด็กหญิงพร ชาวบ้านจึงมาแจ้งตำรวจ ขณะนั้น ชาวบ้านทยอยมาป่าศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น พวกตำรวจจึงกลับมายิงซ้ำอีก…”
ศพของพวกเขาถูกฝังไว้ที่ป่าศักดิ์สิทธิ์ มากกว่านั้นมีข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ระบุว่า เด็กหญิงสอน ว่องไว กลับไม่ถูกกระสุนปืน เธอเลยเป็นพยานปากเอก บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นครูคำสอนในพื้นที่ในช่วงเวลาต่อมา
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นโยบายรัฐนิยมที่เข้มงวดของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เริ่มผ่อนปรน บรรยากาศความขัดแย้งกับฝรั่งเศสยุติลงด้วยการเจรจาทางการทูต
คริสตจักรคาทอลิกเริ่มกลับมาฟื้นฟูชุมชนและศาสนสถานอีกครั้ง ปี 2496 บาทหลวงชาวต่างชาติเริ่มได้รับอนุญาตให้กลับเข้ามาดูแลคริสตชนในพื้นที่อีสาน รวมถึงการย้ายอัฐิของมรณสักขีมาบรรจุอย่างสมเกียรติที่วัดสองคอน
ซึ่งระหว่างนั้น ตลอด 40 ปี คริสตจักรคาทอลิกในประเทศไทยได้พยายามรวบรวมหลักฐานเพื่อเสนอเรื่องราวของมรณสักขีทั้ง 7 ท่านต่อสำนักวาติกัน จนในที่สุด ปี 2532 สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงสถาปนาให้มรณสักขีทุกท่านเป็น ‘บุญราศี’ (การยกย่องบุคคลที่ทำงามความดีและเสียชีวิตในศาสนาคริสต์)
ไม่เพียงเท่านั้นยังทำให้คริสตจักรคาทอลิกทั่วโลก เริ่มนโยบาย ‘การปรับตัวเชิงวัฒนธรรม’ หมายถึง การรวมศาสนากับท้องถิ่นเข้าเป็นหนึ่งเดียว ตัวอย่างที่เห็นชัดสุด คือ การสร้างสักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขีที่วัดสองคอนจนได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่นในปี 2539
มรณสักขีแห่งสองคอนจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของศาสนาคริสต์ หากคือเรื่องของมนุษย์ธรรมดาที่ต้องเผชิญกับการตัดสินใจภายใต้ความกลัวและความรุนแรง เป็นเรื่องของการปกป้องศรัทธา ศักดิ์ศรี และเสรีภาพในการเลือกเชื่อ แม้ต้องแลกด้วยชีวิต
เรื่องราวนี้ยังคงถูกเล่าต่อในความทรงจำของชุมชน ไม่ใช่เพื่อรื้อฟื้นความเจ็บปวด แต่เพื่อย้ำเตือนว่า เมื่อใดก็ตามที่อำนาจพยายามกำหนดความเชื่อให้เหลือเพียงรูปแบบเดียว เมื่อนั้นความสูญเสียย่อมเกิดขึ้นกับมนุษย์จริง ๆ ที่มีเลือดเนื้อ มีความหวัง และมีศรัทธาในแบบของตนเอง
และนั่นคือเหตุผลที่เหตุการณ์มรณสักขีแห่งสองคอน ไม่ได้จบลงเพียงในปี 2483 หากยังคงตั้งคำถามต่อสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน ว่าเราจะอยู่ร่วมกับความแตกต่างทางความเชื่ออย่างไร โดยไม่ต้องมีใครต้องสูญเสียชีวิตเพื่อพิสูจน์ความศรัทธาของตนอีก
อ้างอิง
ตรียะประเสริฐ, ชวลิต. (2016). การสร้างจินตกรรมความเป็นพลเมืองของคาทอลิกในสังคมไทย. วารสารสังคมศาสตร์, 46(1), 27–49.
https://digital.car.chula.ac.th/cujss/vol46/iss1/3
สุเทพ สุนทรเภสัช. (2548). นโยบายชาตินิยมและนโยบายการผสมกลมกลืนสมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475. ใน วารสารสังคมศาสตร์บูรณาการ.
ข้อมูลจากป้ายประชาสัมพันธ์ที่สร้างสักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี ประเทศไทย
82 ปีมรณสักขีโบสถ์สองคอน : เมื่อผู้นับถือคริสต์กลายเป็นผีปอบในสายตารัฐสยาม / เดอะอีสานเรคคอร์ด
มรณสักขีสองคอน : แค่นับถือ “คริสต์” ทำไมต้อง “ตาย” / THE ISAANDER
กรณีพิพาทอินโดจีน-ฝรั่งเศส (พ.ศ.2483 -2484) / องค์กรสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์
บรรณสารฯ ติดเล่า PODCAST EP.19 มรณสักขีแห่งสองคอน ความศรัทธาที่ความตายไม่อาจพราก / STOU Library
มรณสักขีแห่งสองคอน / หอจดหมายเหตุ อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
‘มรณสักขีแห่งสองคอน’ กับความหวาดระแวงของรัฐไทย / The 101.World