10 ก.ย. 2568 | 17:00 น.
KEY
POINTS
วันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1976 กรุงสต็อกโฮล์มกำลังถูกปกคลุมด้วยความหนาวเหน็บ ลมหายใจของผู้คนกลายเป็นไอขาวเมื่อก้าวเดินผ่านตรอกแคบ ๆ ในย่าน กัมลา สตาน (Gamla Stan) ย่านเมืองเก่าของเมืองหลวงสวีเดน ที่นี่เต็มไปด้วยร้านกาแฟเล็ก ๆ และบาร์ที่แออัดด้วยนักท่องราตรี
หนึ่งในนั้น คือคลับชื่อ ‘Stampen’ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นโรงรับจำนำ ก่อนถูกแปลงโฉมเป็นบาร์แจ๊สที่ใช้คำโปรยว่า ‘Happy Jazz’ เพื่อประกาศชัดว่า ที่นี่คือแหล่งหลบภัยของเพลงแบบ ‘สวิง’ (Swing) ที่ยังคงหายใจท่ามกลางยุคสมัยที่ดนตรีไฟฟ้าและฟิวชันกำลังครองเมือง
บรรยากาศในคลับเล็กแห่งนั้นไม่หรูหรา โต๊ะไม้เล็ก ๆ ถูกจัดวางอย่างเบียดเสียด เสียงพูดคุยและหัวเราะคลอไปกับการเสิร์ฟเบียร์และไวน์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีไม้แคบ ๆ ในคืนนั้น กลับเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด นักดนตรีห้าคนซึ่งเป็นเสาหลักของวงการแจ๊สสวีเดนมารวมตัวกัน นับจากนั้นความมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น
เสียงอัลโตแซ็กโซโฟนอันนุ่มลึกของ ‘อาร์เน ดอมเนรุส’ (Arne Domnérus) พาดผ่านโทนอบอุ่นจากเปียโนของ ‘เบ็งท์ ฮัลล์เบิร์ย’ (Bengt Hallberg ) ไวบราโฟนกังวานใสของ ‘ลาร์ช แอร์สตรานด์’ (Lars Erstrand) เติมประกายให้ทุกท่อนโซโล ขณะที่เบสของ ‘เยออร์ก รีเดล’ (Georg Riedel) ยังคงมั่นคงหนักแน่น และกลองของ ‘เอกิล โยฮันเซน’ (Egil Johansen) คอยเสริมสีสันอย่างเบิกบาน ทุกเสียงประสานกลายเป็นภาพสะท้อนของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนนักดนตรีที่เป็นไปเฉกเช่นทุกค่ำคืน
แต่ค่ำคืนนี้ ยังมีใครอีกคนหนึ่งที่เฝ้ามองจากมุมห้อง ‘แยร์ท พาล์มครานซ์’ (Gert Palmcrantz) วิศวกรเสียง ที่มาพร้อมอุปกรณ์น้อยนิด ด้วยเครื่องบันทึกเทป Nagra IV-S สองเครื่อง ไมโครโฟน Neumann ไม่กี่ตัว และสายไฟที่โยงไปมาท่ามกลางผู้ชมที่นั่งกันอุ่นหนาฝาคั่งแน่น พาล์มครานซ์ เลือกเก็บทุกอย่างลงในเทป ทั้งเสียงพูดคุย เสียงแก้ว หรือแม้แต่เสียงเก้าอี้ขูดพื้น สำหรับเขา... เสียงเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของดนตรี คือหลักฐานของค่ำคืนที่มีชีวิต
ดนตรีเริ่มต้นด้วย ‘Limehouse Blues’ เสียงเปียโนวางทางเดินคอร์ดบาง ๆ ก่อนจะเงียบลง จากนั้นกลองนำเข้าให้วงเปิดตัวด้วยไลน์ของคลาริเน็ทตามมาพร้อมกับไวบราโฟน ภาคริธึ่มสนับสนุนอย่างแข็งขัน ราวกับบทสนทนาที่ต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เสียงกลองประคองจังหวะอย่างพอดี เสียงเบสวางรากลึกแน่นหนา จากนั้นผู้ชมในห้องต่างปรบมือ เสียงหัวเราะแทรกมาเป็นระยะ และทั้งหมดนี้ถูก ‘หยุดเวลา’ ลงบนม้วนเทปที่กำลังหมุนอยู่หลังห้อง
ไม่มีใครรู้เลยว่า สิ่งที่ดูเหมือนค่ำคืนธรรมดาในคลับแจ๊สเล็ก ๆ แห่งนั้น จะกลายเป็นหนึ่งในผลงานบันทึกเสียงที่ผู้คนทั่วโลกยกย่องว่า ‘สมจริงที่สุด’ ในประวัติศาสตร์
ปกอัลบั้ม Jazz at the Pawnshop
เบื้องหลังความสำเร็จของอัลบั้ม ‘Jazz at the Pawnshop’ ไม่ได้อยู่ที่เวที Stampen เพียงอย่างเดียว หากยังมาจากการตัดสินใจอันกล้าหาญของค่ายอิสระเล็ก ๆ ชื่อว่า ‘โพรพรีอุส’ (Proprius) ที่ก่อตั้งโดย ‘ยาค็อบ เบอเตียส’ (Jacob Boëthius) เมื่อปี 1969 ที่เมืองเออเรบรู ประเทศสวีเดน แนวคิดของเขาชัดเจนและเด็ดขาด “ค่ายเล็กไม่มีสิทธิ์ทำงานห่วย” ทุกอัลบั้มที่ออกวางขาย ต้องยืนหยัดด้วยคุณภาพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ช่วงนั้น โพรพรีอุส กำลังสร้างชื่อเสียงจากอัลบั้ม Cantate Domino (1976) ที่ถ่ายทอดเสียงประสานคอรัสกับออร์แกนในโบสถ์อันกว้างใหญ่ได้อย่างสมจริง จนกลายเป็นแผ่นทดสอบระบบเสียงของนักเล่นเครื่องเสียงทั่วโลก แต่แทนที่จะหยุดอยู่แค่ความสำเร็จนั้น เบอเตียส กลับมองหาความท้าทายใหม่ และหันไปยังดนตรีแจ๊สที่กำลังขับขานอยู่ในคลับเล็ก ๆ กลางเมืองสต็อกโฮล์ม
เขาเรียกหา แยร์ท พาล์มครานซ์ วิศวกรเสียงผู้เชื่อมั่นว่า การบันทึกเสียงต้องซื่อสัตย์กับ ‘ห้อง’ และ ‘บรรยากาศ’ พาล์มครานซ์ ไม่ใช่ช่างเทคนิคธรรมดา เขาเป็นศิลปินที่ใช้เครื่องบันทึกเสียงแทนพู่กัน และสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ทั้งหมด ถูกถ่ายทอดลงบนเทป โดยไม่ตัด ไม่เติม และไม่ปรุงแต่ง
การจับมือกันระหว่าง โพรพรีอุส และ พาล์มครานซ์ เป็นการรวมพลังระหว่างความกล้าของค่ายเล็กที่ไม่ประนีประนอมกับคุณภาพ และความเชื่อมั่นของวิศวกรผู้เลือกจะยืนข้างความจริง เมื่อสองคุณสมบัตินี้มาพบกับดนตรีแจ๊สของ ดอมเนรุส และผองเพื่อน จึงกลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ค่ำคืนธรรมดาที่ Stampen กลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานไม่รู้จบ
ค่ำคืนวันที่ 6 และ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1976 คลับเล็ก ๆ Stampen เต็มแน่นไปด้วยผู้คน เสียงพูดคุยเบา ๆ กับควันบุหรี่ที่ลอยอ้อยอิ่งเหนือหัว เมื่อวงของ อาร์เน ดอมเนรุส เริ่มบรรเลงโน้ตแรก ทุกอย่างในห้องเปิดทางให้ดนตรีทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราว ด้วยรายชื่อเพลงที่เลือกบรรเลง สะท้อนถึงเจตนาชัดเจน วงไม่ได้นำเสนอความล้ำสมัย หากย้อนหันกลับไปหามาตรฐานที่ผู้ฟังคุ้นเคย
‘Limehouse Blues’ เปิดการแสดงด้วยพลังสวิงอันสดใส ก่อนจะผ่อนอารมณ์ลงกับ ‘I’m Confessin’’ ตามด้วยบทเพลงของ ‘ดุค เอลลิงตัน’ (Duke Ellington) อย่าง ‘Jeep’s Blues’ เข้มข้นลึกซึ้ง แต่เป็นกันเอง เสมือนการพูดคุยระหว่างเพื่อนเก่า ขณะเดียวกัน วงยังใส่สีสันใหม่ ๆ ลงไป เช่น ‘High Life’ ที่มีกลิ่นอายแอฟริกัน และ ‘Take Five’ ที่หยิบความเป็นโมเดิร์นแจ๊สมาตีความใหม่ ด้วยโทนสวิงที่อ่อนโยนกว่าเดิม
สิ่งที่ทำให้สองค่ำคืนนี้โดดเด่น คือบรรยากาศการเล่นที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีสัญญาณบังคับ ไม่มีการซ้อมซ้ำ ทุกคนโต้ตอบกันด้วยสัญชาตญาณ เหมือนบทสนทนาที่เกิดขึ้นตรงหน้า และพร้อมจะมลายหายไปทันที หากไม่ถูกบันทึกไว้ เสียงหัวเราะจากผู้ชมดังแทรกหลังโซโล เสียงแก้วไวน์กระทบกัน ทุกสิ่งถูกถักทอเป็นเนื้อเดียวกับเสียงดนตรี
ตลอดสองค่ำคืน พาล์มครานซ์ เฝ้าดูเครื่องบันทึกเทป Nagra ที่หมุนอย่างต่อเนื่อง เขาแทบไม่แตะต้องอุปกรณ์มากนักนอกจากตรวจสอบระดับเสียง เพราะสิ่งสำคัญที่สุด คือการปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อม้วนเทปสิ้นสุดลงในคืนที่สอง เขาแทบไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ปรากฏอยู่ในนั้นจะกลายเป็นหลักฐานทางเสียงที่ก้องกังวานไปไกลกว่าสวีเดน และยืนหยัดผ่านกาลเวลาข้ามทศวรรษ
เมื่อเปิด Jazz at the Pawnshop ฟัง สิ่งแรกที่หลายคนสะดุดใจไม่ใช่เสียงแซ็กโซโฟนหรือเสียงไวบราโฟน แต่คือ ‘บรรยากาศ’ ที่คุณได้หลุดเข้ามาในอีกโลกหนึ่ง เสียงพูดคุยเบา ๆ ของผู้ชม เสียงแก้ว และเสียงหัวเราะที่ลอยมาตามจังหวะของดนตรี รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ทำให้อัลบั้มมีชีวิตอย่างน่าประหลาด พาล์มครานซ์ ได้นิยามคำว่า live recording ใหม่ จากปรัชญาที่ว่า ‘ห้องคือเครื่องดนตรีอีกชิ้นหนึ่ง’ ผู้ฟังที่เปิดแผ่นนี้ เสมือน ‘นั่งอยู่ท่ามกลางผู้ชม’ ในสต็อกโฮล์มค่ำคืนนั้นจริง ๆ
ปลายทศวรรษ 1970s โลกดนตรีแจ๊สกำลังเคลื่อนไปในทิศทางใหม่ ฝั่งอเมริกาเสียงกีตาร์ไฟฟ้าและซินธิไซเซอร์จากวงอย่าง Weather Report หรือ Return to Forever กำลังครองเวที คำว่า ‘fusion’ กลายเป็นคำที่หมายถึงอนาคต ขณะเดียวกันฝั่งยุโรป สร้างเอกลักษณ์เฉพาะผ่านค่ายเพลง อย่าง ECM Records ที่มอบความงามแบบ ‘Nordic Aesthetic’ เสียงที่โปร่ง เงียบ และเต็มไปด้วยบรรยากาศว่างเปล่า
แต่ที่ สต็อกโฮล์ม กลับเกิดปรากฏการณ์สวนกระแสขึ้น คลับ Stampen ใช้คำว่า ‘Happy Jazz’ เพื่อตอกย้ำว่าดนตรีที่นี่ยังคงยึดโยงกับ swing และ mainstream ไม่ใช่เพื่อโหยหาอดีต แต่เพื่อยืนยันว่าดนตรีที่ทำให้คนยิ้มและขยับเท้าได้ยังคงมีชีวิต ในบรรยากาศเช่นนี้ Jazz at the Pawnshop ได้ถือกำเนิดขึ้นพอดี ไม่ใช่ซาวด์แบบ fusion ไม่ใช่ ECM หากแต่คือการรักษาหัวใจของ ‘คลาสสิก แจ๊ส’ ในยุคสมัยที่ทุกคนกำลังวิ่งหาของใหม่
เมื่อ โพรพรีอุส ตัดสินใจออกแผ่นคู่ Double LP (PROP 7778–79) ในปี 1977 ผลลัพธ์กลับเหนือความคาดหมาย บันทึกการแสดงสดจากคลับเล็ก ๆ ในสวีเดนเดินทางไกลข้ามทวีป ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามในญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน และอเมริกา ยอดขายรวมทะลุห้าแสนแผ่น ตัวเลขที่ดูสูงเกินจริงสำหรับอัลบั้มแจ๊สยุโรปทั่วไป
สิ่งที่น่าทึ่งกว่า มันไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็น ‘อัลบั้มแจ๊ส’ แต่อัลบั้มนี้กลายเป็น “แผ่นศักดิ์สิทธิ์ของวงการออดิโอไฟล์” ทุกครั้งที่วงการเครื่องเสียงเปิดงานโชว์ลำโพงหรือแอมป์รุ่นใหม่ที่จะถูกทดสอบ จะหนีไม่พ้นการเล่นเพลง อย่าง Limehouse Blues หรือ I’m Confessin’
อัลบั้ม Jazz at the Pawnshop ได้กลายเป็น ‘Reference Disc’ สำหรับการทดสอบระบบเสียง เพราะไม่เพียงเผยให้เห็นความคมชัดของเครื่องดนตรี แต่ยังใช้ประเมินว่าลำโพงหรือหูฟังสามารถถ่ายทอด ‘บรรยากาศทั้งห้อง’ ได้ครบถ้วนหรือไม่ ความสมจริงที่มากับเสียงหัวเราะและเสียงแก้ว เป็นสิ่งที่ออดิโอไฟล์โหยหา และกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้แผ่นนี้ยังถูกเปิดซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
ในเชิงดนตรี นี่คือบทสนทนาที่หวนกลับสู่รากเหง้าของแจ๊สแบบสวิงและเมนสตรีม ในเชิงเทคนิค คือการตอกย้ำว่าการบันทึกเสียงที่ซื่อสัตย์ ปราศจากการปรุงแต่งใด ๆ สามารถก่อให้เกิดพลังที่ข้ามพ้นกาลเวลา และในเชิงสังคม คือหลักฐานว่าแม้คลับเล็ก ๆ ในสต็อกโฮล์ม ก็สามารถสร้าง ‘ชุมชนโลก’ ของผู้ฟังขึ้นมาได้ ตั้งแต่คนที่นั่งฟังอยู่ตรงหน้าการแสดงนั้น ในปี 1976 ไปจนถึงนักเล่นเครื่องเสียงในโตเกียว นิวยอร์ก และกรุงเทพฯ ที่ยังเปิดแผ่นอัลบั้มนี้ มาจนถึงทุกวันนี้
Jazz at the Pawnshop คือเสียงที่ยังมีชีวิต ทุกครั้งที่เข็มแตะร่อง ทุกครั้งที่เทปหมุน หรือทุกครั้งที่ไฟล์เสียงถูกกดเล่น ความจริงของค่ำคืนนั้นยังปรากฏอย่างสดใหม่ และเปี่ยมด้วยความชีวิตชีวา ราวกับว่าห้วงโมงยามอันแสนสุขนั้นไม่ได้มลายหายไปไหน.
Stampen – Jazz & Blues Pub เปิดประตูต้อนรับนักฟังครั้งแรกในปี 1968 ตั้งอยู่ที่ Stora Gråmunkegränd 7, 111 27 Stockholm, Sweden ย่าน Gamla Stan (เมืองเก่า) เดิมทีอาคารหลังนี้เคยเป็นโรงรับจำนำ จึงได้ชื่อว่า Stampen แปลตรงตัวว่า ‘the Pawnshop’ และนั่นกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ติดตัวมาจนถึงปัจจุบัน
ตั้งแต่วันแรก Stampen ยึดคำว่า ‘Happy Jazz’ เป็นหัวใจในการคัดสรรดนตรี หมายถึงการรักษารากของสวิง เมนสตรีม และแจ๊สที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา กว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร การปรับปรุงเวที และการเปลี่ยนยุคของผู้ชม แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือบรรยากาศอันเป็นกันเอง ทุกค่ำคืน ที่นี่ยังคงเป็นบ้านของเสียงแจ๊สและบลูส์ มีวงดนตรีสลับกันขึ้นเวที ทั้งจากสวีเดนและต่างประเทศ และยังเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กทางวัฒนธรรมที่นักเดินทางสายดนตรีต้องแวะ
จนถึงวันนี้ Stampen ไม่เพียงเป็นบาร์แจ๊สเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในสวีเดน แต่ยังเป็นสถานที่ที่ถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์โลกผ่าน Jazz at the Pawnshop ค่ำคืนปี 1976 อาจผ่านไปนานแล้ว แต่ทุกครั้งที่ประตูของร้านถูกเปิดออก เสียงดนตรีและบรรยากาศแห่งความสุขก็ยังคงดำเนินต่อ ราวกับว่าตำนานยังหายใจอยู่ทุกค่ำคืนในกัมลา สตาน.
Photo Credit: Bengt Nyman
ที่มา:
Carr, Ian. A History of Jazz in Europe. Paladin, 1980.
ECM Catalogue 1975–1979. ECM Records Archive.
Hi-Fi News Review. “Jazz at the Pawnshop: 30th Anniversary Edition.” Hi-Fi News, 2007.
Jazz at the Pawnshop. Liner notes. Proprius PROP 7778–79, 1977.
Jazz at the Pawnshop: 30th Anniversary Edition. Liner notes. Proprius, 2006.
Stampen Jazz Club. “History of Stampen.” Stockholm.