‘ดนู ฮันตระกูล’ ศิลปินแห่งชาติ ผู้สรรค์สร้างสะพานเสียงข้ามกาลเวลา

‘ดนู ฮันตระกูล’ ศิลปินแห่งชาติ ผู้สรรค์สร้างสะพานเสียงข้ามกาลเวลา

‘ดนู ฮันตระกูล’ ศิลปินแห่งชาติ ผู้บุกเบิกเสียงดนตรีไทยร่วมสมัย สร้างสะพานเชื่อมโลกตะวันออกและตะวันตก ผ่านบทเพลงที่ก้องกาลเวลาและแรงบันดาลใจไม่สิ้นสุด

KEY

POINTS

ในการประกาศรายชื่อศิลปินแห่งชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2567 เมื่อวันที่ 27 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2568 ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้ปรากฏชื่อของ ‘ดนู ฮันตระกูล’ ในฐานะบุคคลที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล) เกียรติยศสูงสุดนี้ มิใช่เพียงบทสรุปของความสำเร็จ หากเป็นการตอกย้ำถึงคุณค่าบนเส้นทางชีวิตของนักดนตรี นักประพันธ์ และวาทยกรผู้มีวิสัยทัศน์ ที่ก้าวล้ำนำยุคมาเกือบครึ่งศตวรรษ

ชื่อของ ดนู ฮันตระกูล คือสัญลักษณ์ของ ‘ผู้บุกเบิก’ และ ‘นักทดลอง’ เขาคือสถาปนิกทางดนตรี ผู้ทลายกำแพงกั้นระหว่างขนบดนตรีตะวันออกและตะวันตก เพื่อสังเคราะห์และหลอมรวมจนเกิดเป็นสุนทรียภาพใหม่ที่งดงามและมีอัตลักษณ์เฉพาะตัว

ภารกิจดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยที่สังคมไทยยังไม่คุ้นชินกับแนวคิดทางดนตรีที่ซับซ้อนและท้าทายขนบ อย่าง ‘อาว็องต์-การ์ด’ (Avant-garde) ดนู ฮันตระกูล ได้นำเสนอแนวคิดนี้ผ่านผลงานที่มาก่อนกาล ซึ่งไม่เพียงเปิดพรมแดนใหม่ให้แก่วงการเพลงไทย แต่ยังวางรากฐานทางความคิดอันลึกซึ้ง และส่งต่อแรงบันดาลใจให้แก่นักดนตรีรุ่นหลังอย่างไม่เคยจางหาย

จากแตรวงโรงเรียน สู่คอนเซอร์วาตอรีระดับโลก

จุดเริ่มต้นที่หล่อหลอมตัวตนทางดนตรีของ ดนู ฮันตระกูล ย้อนกลับไปได้ถึงบรรยากาศของแตรวงในโรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา ที่ซึ่งวินัยของดนตรีตะวันตกได้ถูกปลูกฝังลงในตัวเด็กชายคนหนึ่งอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่การเป็นนักประพันธ์เอกไม่ได้เป็นเส้นตรง การตัดสินใจเข้าศึกษาต่อที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือบทพิสูจน์ถึงความลังเลในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ก่อนที่เสียงเรียกร้องจากดนตรีจะชัดเจนเกินกว่าจะปฏิเสธได้

เมื่อค้นพบเจตนารมณ์ที่แท้จริง การเดินทางไกลสู่โลกตะวันตกจึงเริ่มต้นขึ้น ดนู และ ‘สุรสีห์ อิทธิกุล’ เพื่อนสนิท มุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2512 เพื่อศึกษาด้านการประพันธ์เพลงโดยตรง จากนั้น ด้วยคำแนะนำของ ‘Alexandru Harisanide’ ซึ่งเป็น Visiting Professor ชาวโรมาเนียน ดนู ตัดสินใจไปศึกษาต่อที่ รอยัล คอนเซอร์วาตอรี ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างปี พ.ศ. 2517-2519 ช่วงเวลาร่วมทศวรรษในต่างแดนนี้ คือการจาริกแสวงหาเพื่อซึมซับไวยากรณ์และโครงสร้างของดนตรีคลาสสิกตะวันตกให้แตกฉานถึงแก่น

เขาได้ตักตวงคลังความรู้และทักษะทางดนตรีอย่างเข้มข้น เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจที่ใหญ่กว่า นั่นคือการนำองค์ความรู้สากลกลับมาเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ และนิยามตัวตนของดนตรีไทยในบริบทใหม่ที่โลกรอคอยจะได้ฟัง

‘ภาคีวัดอรุณ’: เสียงปฏิวัติทางดนตรีที่มาก่อนกาล

เมื่อกลับถึงประเทศไทยในปี พ.ศ. 2519 พร้อมคลังความรู้ทางดนตรีสากลที่อัดแน่น ดนู ฮันตระกูล ได้ก่อตั้ง ‘ภาคีวัดอรุณ’ (The Temple of Dawn Consort) ขึ้น ไม่ใช่แค่วงดนตรี แต่คือปรากฏการณ์และห้องทดลองทางความคิดที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ดนตรีไทยร่วมสมัย

ภาคีวัดอรุณ ได้นำเสนอเสียงดนตรีที่คนในยุคนั้นขนานนามว่า ‘หลุดโลก’ เป็นการท้าทายโครงสร้างและท่วงทำนองที่คุ้นหูของสังคมอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ตลาดเพลงถูกแบ่งขั้วโดยลูกทุ่งและลูกกรุง ดนู กลับนำเสนอการผสมผสานเครื่องดนตรีไทยและตะวันตกในแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พร้อมบทเพลงที่บรรจุเนื้อหาหนักอึ้งว่าด้วยอุดมการณ์ทางสังคม ปรัชญา และจิตสำนึกเพื่อสันติภาพ ทำให้ผลงานของพวกเขายากต่อการเข้าถึง แต่ล้ำลึกด้วยเจตนา

ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากคนเพียงคนเดียว แต่คือการรวมตัวของมันสมองทางดนตรีแห่งยุคสมัย อาทิ จิรพรรณ อังศวานนท์, สุรสีห์ อิทธิกุล, กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา, บรูซ แกสตัน และ ธนวัฒน์ สืบสุวรรณ แม้ ภาคีวัดอรุณ จะไม่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ แต่กลับทิ้งมรดกทางความคิดที่ประเมินค่ามิได้ กลายเป็นต้นธารและแรงบันดาลใจสายสำคัญที่ส่งอิทธิพลโดยตรงสู่วงดนตรีแห่งตำนานในยุคต่อมา อย่าง ‘บัตเตอร์ฟลาย’ และ ‘ตาวัน’

ยุค ‘ผีเสื้อครองเมือง’: เมื่อศิลปะและธุรกิจบรรจบกัน

แม้ ภาคีวัดอรุณ จะเป็นหมุดหมายสำคัญทางความคิด แต่การจะทำให้ปรัชญาดนตรีที่ล้ำสมัยสามารถดำรงอยู่และสร้างแรงกระเพื่อมในวงกว้างได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยสมการที่ลงตัวระหว่างศิลปะและธุรกิจ ดนู ฮันตระกูล และเพื่อนพ้องนักดนตรี ได้ค้นพบคำตอบนั้น ผ่านการก่อตั้ง ‘บริษัท บัตเตอร์ฟลาย ซาวด์แอนด์ฟิล์ม เซอร์วิส จำกัด’

นี่คือการกลั่นกรองเอา DNA ของการทดลองจากภาคีวัดอรุณ มาปรับใช้กับภูมิทัศน์ของสื่อโฆษณาที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด กลุ่มบัตเตอร์ฟลายได้นำเสนอซาวด์ดนตรีที่มีคุณภาพและความซับซ้อนในระดับสากลมาสู่งานเพลงโฆษณา จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ ‘ผีเสื้อครองเมือง’ ที่ผลงานของพวกเขากินส่วนแบ่งตลาดไปมากกว่าร้อยละ 60 พวกเขาได้ยกระดับมาตรฐานและเปลี่ยนโฉมหน้าวงการดนตรีโฆษณาไทยมาสู่ความสมัยใหม่

ขณะเดียวกัน ดนู ยังคงขับเคลื่อนอุดมการณ์ทางดนตรี ผ่านการก่อตั้ง ‘วงคีตกวี’ ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งศิลปินและโปรดิวเซอร์ โดยหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญคือ ‘เรวัต พุทธินันทน์’ อัลบั้ม ‘เรามาร้องเพลงกัน’ ที่พวกเขาร่วมกันสร้างสรรค์ จึงไม่ได้เป็นเพียงผลงานเพลง แต่ยังเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญ ที่นำพามันสมองและแนวคิดทางดนตรีของกลุ่มคนหัวก้าวหน้าแห่งยุคสมัย ไปสู่การถือกำเนิดของอุตสาหกรรมเพลงป๊อปไทยสมัยใหม่ในเวลาต่อมา

‘ไหมไทย’: การตกผลึกทางความคิด สู่จุดสูงสุดของดนตรีไทยร่วมสมัย

หลังผ่านยุคแห่งการทดลองอันเข้มข้นและการพิสูจน์ฝีมือในโลกธุรกิจดนตรี ในปี พ.ศ. 2530 ดนู ฮันตระกูล ก็ได้เดินทางมาถึงบทสรุปที่สำคัญที่สุดบนเส้นทางสายดนตรีของเขา นั่นคือการก่อตั้ง ‘วงไหมไทย’ (Mai Thai Orchestra) ซึ่งเปรียบเสมือนการตกผลึกทางความคิด นำทุกประสบการณ์และองค์ความรู้มาสังเคราะห์เป็นอัตลักษณ์ทางดนตรีที่สมบูรณ์แบบที่สุด

หัวใจของไหมไทย คือปรัชญาการสร้างสรรค์อันแยบยลและชัดเจน ดนู ได้สร้างสมดุลอันสมบูรณ์แบบระหว่างสองวัฒนธรรม โดยใช้ ทำนองเพลงที่มีกลิ่นอายความเป็นไทย เป็นแกนกลาง แล้วห่อหุ้มด้วย การเรียบเรียงเสียงประสานตามหลักคลาสสิกตะวันตก บรรเลงผ่านเครื่องดนตรีสากลเป็นหลัก ขณะที่เนื้อร้องซึ่งประพันธ์อย่างบรรจงก็ใช้ถ้อยคำสละสลวย บอกเล่าความงดงามของวัฒนธรรมไทย เมื่อผนวกกับเทคนิคการร้องที่ผสมผสานการเอื้อนและลูกคอแบบไทยเข้าไปอย่างพอเหมาะ ผลลัพธ์ที่ได้คือสุนทรียศาสตร์ทางดนตรีที่งดงามอย่างเป็นสากล แต่ยังคงจิตวิญญาณความเป็นไทยไว้อย่างเต็มเปี่ยม

วงไหมไทยได้ประเดิมผลงานชุดแรก ด้วย ‘ชีพจรลงเท้า’ และ ‘เขมรไทรโยค’ ก่อนจะสร้างมิติใหม่ด้วยการร่วมงานกับ ‘จรัล มโนเพ็ชร’ ในชุด ‘ลำนำแห่งขุนเขา’ และสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นเมื่อได้เสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ ‘สุภัทรา อินทรภักดี’ เข้ามาเป็นเสียงหลักของวงนับตั้งแต่อัลบั้ม ‘เงาไม้’ (พ.ศ. 2532) ก่อเกิดเป็นบทเพลงอมตะมากมาย รวมถึง ‘ฉันจะฝันถึงเธอ’ ที่กลายเป็นลายเซ็นสำคัญของทั้งสุภัทราและวงไหมไทยมาจนถึงปัจจุบัน

ผลงานเด่นและการสืบทอดเจตนารมณ์

แม้ ไหมไทย จะเป็นลายเซ็นที่เด่นชัดที่สุด แต่จักรวาลทางดนตรีของ ดนู ฮันตระกูล นั้นแผ่ขยายกว้างไกลกว่านั้น เขายังคงสร้างสรรค์ผลงานที่น่าจดจำอย่างต่อเนื่อง ทั้งในฐานะนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ อัลบั้ม ‘ทีเล่นทีจริง’ (พ.ศ. 2537) ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญ ที่ซึ่งเขาได้แสดงอัจฉริยภาพในการตีความเพลงลูกทุ่งขึ้นใหม่ในบริบทของดนตรีร่วมสมัย ส่งให้เพลง ‘ไอ้หนุ่มผมยาว’ ที่ขับร้องโดย ‘สุรชัย สมบัติเจริญ’ โด่งดังเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วประเทศ

ในโลกของภาพยนตร์ ดนู ได้ฝากฝีมือการประพันธ์ดนตรีประกอบที่ช่วยเสริมมิติและสื่อสารทางอารมณ์ให้กับภาพยนตร์ไทยชั้นครูหลายเรื่อง ผลงานของเขาใน ‘ผีเสื้อและดอกไม้’ (พ.ศ. 2528) และ ‘กาลครั้งหนึ่งเมื่อเช้านี้’ (พ.ศ. 2537) ได้รับการยอมรับ ด้วยรางวัลตุ๊กตาทองและรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ สาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถในการใช้ดนตรีเพื่อเล่าเรื่องได้อย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ เขายังประพันธ์งานเพลง The Light of Asia สำหรับบรรเลงในพิธีเปิดการแข่งขัน Asian Games 1998 (พ.ศ.2541) อีกด้วย

นอกเหนือจากผลงานที่กล่าวมา ดนู ยังมีบทบาทในฐานะ ‘ครู’ และ ‘วาทยกร’ เขาอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบุคลากรในวงการเพลง และยังคงขึ้นอำนวยเพลงบนเวทีคอนเสิร์ตทั้งในและต่างประเทศอยู่เสมอ การได้รับเชิญไปแสดง ณ นานาอารยประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและฝรั่งเศส เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าดนตรีที่สร้างสรรค์ขึ้นเป็นภาษาสากลที่คนทั้งโลกเข้าถึงและชื่นชมได้

ผู้สร้างสรรค์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

จากวันแรกที่ ‘ภาคีวัดอรุณ’ เริ่มส่งเสียงทดลองอันแปลกใหม่ สู่ความสำเร็จเชิงพาณิชย์ของ ‘บัตเตอร์ฟลาย’ จนตกผลึกเป็นความงามที่สมบูรณ์แบบของ ‘ไหมไทย’ เส้นทางของ ดนู ฮันตระกูล คือบทพิสูจน์ของศิลปินผู้มีวิสัยทัศน์แน่วแน่และไม่เคยหยุดนิ่งในการสร้างสรรค์

เขาเปรียบเสมือน ‘สถาปนิกแห่งเสียง’ ผู้สร้างพิมพ์เขียวที่แสดงให้เห็นว่า ดนตรีไทยสามารถก้าวไปข้างหน้าสู่ความเป็นสากลได้โดยไม่จำเป็นต้องละทิ้งจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนเอง

ดนู ฮันตระกูล สร้างสะพานที่แข็งแกร่งเชื่อมโลกดนตรีสองฟากฝั่งเข้าไว้ด้วยกัน สะพานแห่งนี้จะยังคงทอดทางให้ศิลปินรุ่นหลังได้ก้าวเดินข้ามเพื่อไปสู่พรมแดนใหม่ๆ ของการสร้างสรรค์ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์

ภาพ: กระทรวงวัฒนธรรม