‘เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์’ ศิลปินที่เปลี่ยนวงการศิลปะด้วยคำพูดจากใจ

‘เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์’ ศิลปินที่เปลี่ยนวงการศิลปะด้วยคำพูดจากใจ

‘เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์’ ผู้สร้างวัดร่องขุ่น ศิลปินแห่งชาติที่กล้าพูดความจริง ไม่โกหกตัวเองเรื่องเงิน เรื่องศิลปะ และเรื่องชีวิต

KEY

POINTS

  • ศิลปินพ่อค้าที่ไม่อายตัวเอง เปลี่ยนจากศิลปินอุดมการณ์เป็นคนที่ “อยากมีเงิน อยากสบาย” และยอมรับว่า “เป็นพ่อค้าก็ได้”
  • ปฏิเสธ 2,000 ล้านเพื่อบ้านเกิด ไม่ขายวัดร่องขุ่นให้เศรษฐีจีนเพราะ “กูเกิดที่นี่ กูไม่ได้เกิดที่ประเทศจีน”
  • สร้างได้แล้วปล่อยวางได้ ใช้เงินส่วนตัว 800 ล้านสร้างวัดร่องขุ่น แล้วปล่อยวางเมื่ออายุ 65 ปี เพื่อ “ใช้ชีวิตให้มีความสุขก่อนตาย”

ในโลกที่คนต้องใส่หน้ากากทางสังคม มีศิลปินคนหนึ่งที่เลือกจะพูดความจริงจากใจ แม้หลายคนจะฟังแล้วไม่สบายหู…

‘เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์’ หรือ ‘อาจารย์เฉลิมชัย’ ผู้สร้าง ‘วัดร่องขุ่น’ ที่โด่งดังไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่ศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานได้อย่างงดงามอ่อนช้อย แต่เป็นคนที่กล้าพูดสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าพูด กล้าทำสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ และที่สำคัญที่สุด… กล้าที่จะเป็นตัวเองอย่างเต็มที่

เมื่อมีคนถามว่าทำไมไม่วาดรูปแล้ว เขาตอบตรง ๆ ว่า “กูไม่ชอบที่จะเป็นคนวาดรูปเขียนรูปแบบเอาจริงเอาจังจนวันตาย กูทำมาเยอะแล้ว และตอนนี้ไม่ทำแล้ว กูอยากพักผ่อน กูอยากใช้ชีวิตที่มีความสุขก่อนที่กูจะตาย” ความจริงใจแบบนี้ในยุคที่ทุกคนต้องแสดงภาพลักษณ์ที่ดี ฟังแล้วช็อกแต่สดชื่น

ศิลปะคือการเรียนรู้ความงาม ไม่ใช่ทักษะ

หนึ่งในแนวคิดที่ปฏิวัติการเรียนการสอนศิลปะที่สุดของอาจารย์เฉลิมชัย คือการมองศิลปะในแบบที่ไม่เหมือนใคร เขาเชื่อว่า วิชาศิลปะคือวิชาสุนทรียภาพ ไม่ใช่การเน้นให้เด็กวาดรูปให้เป็น “วิชาศิลปะเป็นวิชาที่น่าเบื่อที่สุดเพราะครูก็สอนไม่ถูกต้อง บังคับให้ทุกคนวาดรูปเป็น”

สำหรับเขา ศิลปะมีพลังมากกว่าการสร้างภาพสวย “ศิลปะกล่อมเกลาให้เด็กรู้จักความงาม เมื่อเขารู้จักความงามของ เขาจะรู้จักธรรมชาติที่งดงาม เขาจึงรู้จักการอยู่ร่วมกันอย่างงดงาม” 
 

การไม่โกหกตัวเองเรื่องเงิน

อีกสิ่งที่โดดเด่นของอาจารย์เฉลิมชัยคือความเข้าใจตัวเองเรื่อง ‘เงิน’ เขาไม่เคยแกล้งทำเป็นศิลปินที่ไม่ใส่ใจเรื่องเงิน กลับกันเขาบอกชัด ๆ ว่า “มึงต้องรวยแบบกู ถ้ามึงไม่รวยมึงสร้างไม่ได้ มึงต้องรวยเอง”

ความกล้าหาญที่แท้จริงของเขาเริ่มต้นตั้งแต่การตัดสินใจเปลี่ยนจากศิลปินอุดมการณ์ที่ “เป็นคนที่เขียนรูปอย่างเดียว อยู่แต่ในบ้านทำตัวเป็นช้างเผือกที่รอพระราชามาหา ห้ามคุยหรือใส่ใจกับใครนอกวงการ” มาเป็นศิลปินที่ “อยากจะให้คนอื่นชื่นชมในวงกว้าง อยากมีเงิน อยากสบาย”

การตัดสินใจนำผลงานไปแสดงที่โรงแรมแทนที่จะจำกัดอยู่แต่ในหอศิลป์ ทำให้เขาถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็น “ศิลปินพ่อค้าขายรูปหากิน ทิ้งอุดมการณ์ ขายจิตวิญญาณ” แต่เขาตอบสนองด้วยความซื่อสัตย์ว่า “เป็นพ่อค้าก็ได้ ไม่เขียนรูปเพื่อเอาใจใคร เขียนเพราะอยากเขียน แต่มีคนดันมาชอบรูปเอง เรื่องของการขายได้ มันเป็นเรื่องของการจัดการ”

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเศรษฐีจีนเสนอเงินหลักพันล้านบาทให้เขาไปสร้างวัดที่จีน เขากลับปฏิเสธโดยบอกว่า “กูเกิดที่นี่ กูไม่ได้เกิดที่ประเทศจีน” นี่คือความรวยแบบที่เขาหมายถึง… “รวยแบบมีหลักการ”

ความซื่อสัตย์ต่อบ้านเกิด

เมื่อมีคนใหญ่คนโตเชิญอาจารย์เฉลิมชัยให้ไปอยู่จังหวัดอื่น พร้อมสนับสนุนทุกอย่าง เขาตอบว่า “ผมยอมเหนื่อยเพื่อบ้านเกิดของผม  ผมเกิดที่นี่ แล้วจะตายที่นี่ ผมสู้เพื่อบ้านเกิดผม ผมไม่ไป”

นี่ไม่ใช่คำพูดโรแมนติก แต่เป็นการเลือกที่ต้องแลกด้วยความลำบาก เขารู้ดีว่าการอยู่เชียงรายคือการต่อสู้คนเดียว “ประเทศเราจะเป็นอย่างนี้นะ แต่ลองดูประเทศที่มันเจริญนะ พอมีคนเก่งนะ นำเสนอสิ่งใดขึ้นมา โอ้โห มันร่วมกันทุกอย่าง มันร่วมกันผลักดันไอ้สิ่งนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม”
 

การพูดความจริงอย่างโหดร้าย

หากมองผิวเผิน คำพูดของอาจารย์เฉลิมชัย ดูจะไม่ห่วงใยความรู้สึกคนฟัง อย่างตอนที่พูดเรื่องการเป็น ‘ศิลปินไส้แห้ง’ ที่เขามองว่า คนเราไม่ควรโทษนู่นโทษนี่ เพราะถ้าเจ๋งจริง เอาจริงเอาจังจริง ทุกอาชีพจะไม่มีคำว่า ‘ไส้แห้ง’ 

“ถ้ามึงเอาจริง มึงก็อยู่รอด มึงอย่ามาโทษนู่นโทษนี่ มึงโทษตัวมึงนั่นแหละ ว่ามึงหมาไม่แดก ไม่เอาจริงเอาจังต่อชีวิตของมึง ไม่มีไส้แห้ง ทุกอาชีพไม่มีไส้แห้ง ที่มึงไส้แห้งเพราะมึงหมาไม่แดก”

การปล่อยวางที่แท้จริง

อีกสิ่งที่น่าทึ่งคือการที่อาจารย์เฉลิมชัยสามารถปล่อยวางผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตได้ “ผมปล่อยวางทั้งหมด ตั้งแต่อายุ 55 ปีเบาลง 60 ปีก็ยิ่งปล่อยวาง วัดร่องขุ่นก็เริ่มปล่อยวางลงอีก พอ 65 ปี ก็ปล่อยทิ้งเลย เดี๋ยวนี้เขาบริหารงานกันเองได้แล้ว เพราะทุกอย่างถือว่าสำเร็จแล้ว”

นี่ไม่ใช่การทอดทิ้ง แต่เป็นการให้อิสระแก่สิ่งที่เขาสร้างขึ้น เขาเข้าใจว่าการยึดติดกับผลงานเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของกิเลส การปล่อยวางของเขาไม่ใช่การหนี แต่เป็นการให้เกียรติกับสิ่งที่เขาสร้าง

ปรัชญาเรื่องความสุขของเขาสะท้อนความเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง “บางคนอาจจะมองว่าความสุข ความสำเร็จคือมีเงินทอง มีชื่อเสียงให้มาก มากจนเกินพอ หรือเรียกว่ารวยไม่เสร็จ แต่ผมกลับมองว่าเขาได้หาความทุกข์ให้ตนเอง”

เขามองชีวิตในมิติที่กว้างขึ้น “ชั่วชีวิตคนเราทุกคนก็เดินไปสู่ความตายเป็นท้ายสุดทั้งนั้น ตอนเดินไปนี่คุณจะสร้างสมอะไรไว้ จะให้คนไหว้ด้วยใจหรือไหว้เพียงเป็นธรรมเนียม ทั้ง ๆ ที่ใจไม่รู้สึกอยากไหว้”

ในปี 2565 เป็นอีกครั้งที่เขาสร้างความตกใจให้สังคมด้วยการประกาศ ‘เลิกวาดรูป’ แต่อธิบายทีหลังว่า “แค่เล่น ๆ เพลิน ๆ พักผ่อนสนุก ๆ ไม่ได้จริงจังมาก” ขณะที่กิจกรรมในปัจจุบันคือท่องเที่ยวหาความสุข “เพราะทำมาเยอะแล้ว อยากพักผ่อน อยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก่อนที่จะตาย” การตัดสินใจนี้สะท้อนความซื่อสัตย์ต่อตัวเองที่ไม่เปลี่ยนแปลง

การลาออกจากศิลปินแห่งชาติด้วยเหตุผลที่ซื่อสัตย์

เมื่อได้รับตำแหน่งศิลปินแห่งชาติ เขาลับรู้สึกถึงความรับผิดชอบ และเมื่อรู้สึกว่าตัวเองอาจทำให้สถาบันเสียหาย เขาจึงลาออก “ผมได้ลาออกจากกระทรวงวัฒนธรรม จากความเป็นศิลปินแห่งชาติ เพราะปากผมไม่ดี ผมกลัวสถาบันท่านจะเสียหาย”

การตัดสินใจนี้บ่งบอกถึงความเข้าใจที่ว่า “ผมก็เป็นศิลปินของชาติอยู่แล้ว” ตำแหน่งไม่ได้ทำให้เขาเป็นศิลปิน หากแต่เป็นผลงานและจิตใจต่างหาก

เกาดีแห่งเอเชีย

เขาไม่เคยปิดบังความปรารถนาที่จะเป็น ‘เกาดีของเอเชีย’ การเปรียบเทียบตัวเองกับ ‘แอนโตนิโอ เกาดี’ ผู้ทำให้บาร์เซโลนาเป็นที่รู้จักของโลก เขาอยากให้เชียงรายเป็นแบบนั้น 

เขายอมรับว่าถ้าต้องตายแบบเกาดี ตายข้างงานที่รัก เขายินดี “กูยินดี เอาเครื่องบินมาเสียบหัวกูตายหน้าวัดก็ได้ทั้งนั้น นั่นคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของคนที่เสียสละเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนตัวเอง”

ความจริงใจที่ไม่มีเงื่อนไข

สิ่งที่ทำให้อาจารย์เฉลิมชัยพิเศษคือ ‘ความจริงใจ’ ที่ไม่มีเงื่อนไข เขาไม่เปลี่ยนวิธีพูดตามคนฟัง ไม่ปรับท่าทีตามสถานการณ์ ไม่แกล้งทำดีเพื่อภาพลักษณ์

เมื่อคนถามว่าทำไมไม่บวช เขาตอบตรงๆ ว่า “กูบวชได้ แต่กูด่าคนไม่ได้ กูไม่ชอบ กูเลือกที่จะไม่บวชดีกว่าเพื่อด่ามันทุกคน” 

บทเรียนสำคัญ: การเป็นตัวเอง

จากชีวิตของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เราเรียนรู้ว่า ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่การทำให้คนอื่นชอบ แต่เป็นการกล้าที่จะเป็นตัวเอง การไม่โกหกตัวเอง และการทำในสิ่งที่เชื่อมั่นอย่างสุดกำลัง

เขาแสดงให้เห็นว่า ความจริงใจไม่ได้หมายถึงการพูดไพเราะ แต่หมายถึงการกล้าพูดความจริง ความรักบ้านเกิดไม่ได้หมายถึงการร้องเพลงชาติ แต่หมายถึงการเสียสละเพื่อสถานที่ที่หล่อเลี้ยงเรา

ในโลกที่ทุกคนต้องใส่หน้ากาก เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เลือกที่จะเปลือยเปิดเผย เลือกที่จะเป็นตัวเอง เลือกที่จะพูดความจริง และสุดท้ายเลือกที่จะปล่อยวางอย่างสง่างาม

เส้นทางของนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้

การเดินทางของเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ยังสะท้อนถึงปรัชญาการใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี 

เขา เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2498 ที่หมู่บ้านร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย ในครอบครัวที่ประกอบกิจการค้าขายของชำ พ่อเป็นคนจีนชื่อฮั่วชิว แม่เป็นคนพะเยาชื่อพรศรี ตามคำของเขาเอง ครอบครัว “ไม่ได้ร่ำรวย และจนเสียด้วยซ้ำ”

ความเป็นศิลปินเริ่มต้นจากการที่มารดาอยากให้ลูก ๆ อยู่เฝ้าร้านหลังเลิกเรียน จึงให้กระดาษกับดินสอแล้วบอกว่า “ใครวาดสวยจะให้ตังค์” การแข่งกันวาดรูปเพื่อเงินนี้กลายเป็นการปลูกฝังศิลปะไปในตัว ต่อมาเขาจึงไปเป็นลูกมือโรงเรียนเขียนภาพคัตเอาท์ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ ล้างพู่กัน ตีตาราง และซื้อสิ่งของต่าง ๆ

แม้จะเป็นเด็กเกเรไม่ตั้งใจเรียน แต่ความรักในการวาดรูปพาเขาไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจน กระทั่งได้รับรางวัลเหรียญทองระดับชาติตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปี 4 ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร

แต่หลังจากได้รางวัลมาหลายครั้ง เขาก็เบื่อการส่งประกวดเพราะ “งานมักรู้จักกันแต่ในวงนักวาด นักสะสมงานศิลปะไม่สนใจ” เลยเลิกส่งงานประกวดและสนใจเป็นศิลปินตัวจริง

การไปทำงานที่วัดพุทธปทีป ลอนดอน เป็นเวลา 4 ปี ท่ามกลางความยากลำบาก จนถึงขั้นอธิษฐานว่า “ขอแลกด้วยชีวิตก็ยอม” แสดงให้เห็นถึงการอุทิศตนที่ไม่มีเงื่อนไข การทำงานครั้งนั้นส่งอิทธิพลต่อแนวทางการสร้างสรรค์งานของเขา และด้วยบุคลิกที่กล้าแสดงออก กล้าคิด กล้าพูด ทำให้ในช่วง 2 ทศวรรษต่อมา เขากลายเป็นบุคคลที่รู้จักในวงกว้าง

การกลับมาประเทศไทยด้วยเงินเพียง 4,000 บาท แต่สามารถสร้างความร่ำรวยด้วยฝีมือ เป็นช่วงที่เขาเรียกว่า “เกลียดตัวเองที่สุด เพราะเต็มไปด้วยกิเลส” แต่หลังจากบวชและออกธุดงค์ เขาก็ค้นพบกับตัวตนที่แท้จริง และไม่เคยทำความเลวอีกเลย 

ปลายปี 2540 เขาตัดสินใจกลับเชียงราย บ้านเกิด ไปสร้างโบสถ์วัดร่องขุ่นอย่างงดงาม กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ  

ความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ของเขาคือการได้ร่วมวาดภาพประกอบพระมหาชนกของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และการเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มศิลปไทย 23 ก่อนจะได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติในปี 2554 

เขาเล่าถึงการต่อสู้ในชีวิตว่า “ชีวิตวัยเด็กผมต่อสู้ดิ้นรนมามากเหลือเกิน กว่าจะมีวันนี้ได้...แต่ผมไม่ค่อยยอมแพ้อะไรนะ” จิตใจนี้สะท้อนให้เห็นในทุกย่างก้าวของเขา ตั้งแต่การเป็นเด็กจนขายของชำ ไปจนถึงการสร้างวัดร่องขุ่นที่คนทั้งโลกรู้จัก

สุดท้าย วัดร่องขุ่นจึงไม่ใช่แค่ผลงานชิ้นโบว์แดง แต่เป็นการแปลงปรัชญาชีวิตออกมาเป็นรูปธรรม เป็นหลักฐานของคนที่เขาว่า “ศิลปินไม่ใช่ไม่รอบรู้อะไรเลย ต้องเป็นนักวางด้วย วางแผนให้ยั่งยืนให้ยาวนาน และไม่ต้องพึ่งพาใคร”

ชีวิตของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จึงเป็นตำนานของคนธรรมดาที่กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ด้วยการไม่ยอมโกหกตัวเอง ไม่ยอมประนีประนอมกับสิ่งที่ผิด และไม่ยอมหยุดฝันใหญ่ แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย

นั่นคือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาทิ้งไว้ให้เรา “การเป็นคนที่ไม่ยอมโกหกตัวเอง”

 

เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: ศูนย์ภาพเครือเนชั่น (Nation Photo)

อ้างอิง:
https://www.youtube.com/watch?v=VrqciuvQDxU
https://www.youtube.com/watch?v=F4T-YxJW0UA&t=960s
https://www.youtube.com/watch?v=F_512y60Pok
https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1183960
https://www.facebook.com/photo/?fbid=2165304963642016&set=a.1040280779477779