27 ต.ค. 2568 | 15:00 น.

KEY
POINTS
“ต้นไม้ก็มีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์...”
คำกล่าวนี้ เราอาจเคยได้ยินกันมานานแสนนาน แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอ่ยคนแรกก็ตาม แต่ฟังแล้ว ก็ดูลึกซึ้ง และน่าขบคิดอยู่ไม่น้อย
หากมองในมุมของวิทยาศาสตร์ ก็คงจะกล่าวได้ว่า ‘ต้นไม้’ ก็เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ต้องการน้ำและแสงแดด เพื่อหล่อเลี้ยงให้เติบโตงอกงาม จนผลิดอกออกผล ไม่ต่างจากมนุษย์ที่ต้องการอาหารและน้ำ เพื่อดำรงชีวิต
แต่อีกนัยหนึ่ง คำกล่าวที่ว่า มันก็อาจจะลึกซึ้งมากกว่านั้น ต้นไม้อาจมีความรู้สึกและจิตวิญญาณบางอย่าง ที่มนุษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นจะเข้าถึงได้
ซึ่งหนึ่งในคนที่ดูจะเข้าใจคำกล่าวนั้นอย่างลึกซึ้ง ก็คงจะเป็น ‘มอร์ต การ์สัน’ (Mort Garson) โปรดิวเซอร์และนักดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์สุดล้ำยุค หนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลอย่างสูงในยุคแรกของดนตรีแนว ‘ซินธิไซเซอร์’ (Synthesizer) และยังเป็นผู้บุกเบิกเครื่องดนตรีอย่าง ‘Moog Synthesizer’ ให้กลายมาเป็นที่นิยมในช่วง 1960s-1980s
หลาย ๆ ผลงานของเขา ล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์ ที่ทำให้ดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์ เติบโตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ผลงานของเขา ล้วนมีเอกลักษณ์ และไม่รู้สึกตกยุคแม้แต่น้อย
ด้วยความแปลกและล้ำหน้านี้ มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นของอัลบั้มที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน จากบทเพลงที่มนุษย์สื่อสารกับมนุษย์ด้วยกันเอง แต่การ์สันกลับเลือกที่จะสร้างผลงาน ด้วยการสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตไร้เสียงพูด อย่าง ต้นไม้ จนเกิดเป็นอัลบั้ม ‘Mother Earth’s Plantasia’ บทเพลงสำหรับเหล่าพืชพรรณ ที่งอกเงยอย่างงดงามในใจคนฟัง
ช่วงแรกในเส้นทางสายดนตรีของ ‘มอร์ต การ์สัน’ เขาทำหน้าที่เป็นนักเปียโนและนักเรียบเรียงเสียงประสาน (Arranger) ในสตูดิโอที่นิวยอร์ก โดยทำงานเบื้องหลังให้กับศิลปินดัง อย่าง ‘เบรนด้า ลี’ (Brenda Lee) ในซิงเกิลที่ชื่อ ‘Dynamite’ (1957) และเพลงฮิตของศิลปินระดับตำนานอย่าง ‘คลิฟฟ์ ริชาร์ด’ (Cliff Richards) ในเพลง ‘Theme for a Dream’ (1961) ซึ่งการ์สันก็มีส่วนร่วมในการเขียนเพลงด้วยเช่นกัน
ผลงานของ การ์สันในยุคแรก จะมีความเรียบหรู อ่อนโยน แต่กลับซ่อนรายละเอียดและความปราณีตของการเรียบเรียงเอาไว้อย่างแยบยล ด้วยแนวคิดที่ว่า อยากเปิดพื้นที่สำหรับจินตนาการในบทเพลง ไม่เพียงแค่เพื่อความไพเราะ แต่ยังต้องการให้ทุกตัวโน๊ตสื่อสารอะไรบางอย่าง เสมือนกับจิตรกรที่วาดภาพเรื่องราวผ่านเสียงเพลง
และผลงานชิ้นใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ในปี 1963 เมื่อเขาร่วมเขียนเพลงกับวงดนตรี R&B ชื่อดังในยุคนั้น อย่าง ‘Ruby & Romantics’ ในเพลง ‘Our Day Will Come’ ซึ่งทะยานขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ต และขายได้มากกว่าในหนึ่งล้านชุด
นั่นจึงเป็นใบเบิกทางที่ทำให้ การ์สัน มีโอกาสได้ร่วมงานกับศิลปินดังมากมายตามมา ไม่ว่าจะเป็น ‘ดอริส เดย์’ (Doris Day) ในอัลบั้ม ‘Sentimental Journey’ (1965) และ ‘Latin for Lovers’ (1965) รวมถึงร่วมงานกับ ‘เมล ตอร์เม’ (Mel Tormé) ในอัลบั้ม ‘Right Now!’ (1966) และ ‘เกลน แคมป์เบลล์’ (Glen Campbell) ในเพลงฮิตอย่าง ‘By the Time I Get to Phoenix’
แม้ว่าการ์สันจะโดดเด่นในการแต่งเพลงป๊อปที่ฟังง่าย และเข้าถึงคนทั่วไปก็ตาม แต่ลึก ๆ แล้ว เขากลับอยากสรรสร้างผลงาน ที่มีความลุ่มลึก แปลกใหม่ กว่าดนตรีตามท้องตลาดทั่วไป
และนี่คือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ที่ทำให้เขาได้ทดลองทำสิ่งใหม่ ที่น้อยคนคิดจะทำ (หรือยังไม่มีใครคิดที่จะทำ) และได้พบกับเครื่องดนตรีสุดล้ำยุค ที่จะกลายมาเป็นอาวุธชิ้นสำคัญ ที่ทำให้เขาสร้างผลงานชิ้นอมตะขึ้นมา และได้เปลี่ยนจากฐานะนักแต่งเพลงป๊อปและนักอาร์เรนเจอร์ ให้กลายมาเป็น ‘ผู้บุกเบิกดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ยุคแรกของโลก’
ในปี 1967 ขณะที่การ์สัน กำลังเข้าร่วมงานประชุม ‘Audio Engineering Society’ ณ ลอสแอนเจลิส ที่รวมพลเหล่านักดนตรีและคนในวงการเสียงเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เขาได้พบกับ ‘โรเบิร์ต มู๊ก’ (Robert moog) ผู้ก่อตั้ง RA Moog (ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Moog Music)
งานประชุมที่รายล้อมไปด้วยเสียงดนตรีนานาชนิด การ์สัน ได้รู้จักกับเครื่องดนตรีที่ชื่อว่า ‘Moog Synthesizer’ เป็นครั้งแรก ทำให้เขาตกตะลึงและหลงใหลในทันที เพราะมันเป็นเสียงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน!
Moog Synthesizer เป็นเครื่องดนตรีที่สร้างเสียงดนตรีได้ด้วยวงจรไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้า (Voltage Control Circuit) แทนการใช้สายเสียงหรือท่ออากาศเหมือนเครื่องดนตรีแบบดั้งเดิม ให้โทนเสียงที่อบอุ่น หนา เพราะใช้ Oscillators (วงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างสัญญาณกระแสไฟฟ้าสลับ) หลายตัว ช่วยสร้างคลื่นเสียง อีกทั้งยังสามารถทำเสียงได้หลากหลาย ทั้งเบสหนัก ๆ หรือย่านแหลมที่มีความคมชัด รวมไปถึงเสียงเอฟเฟกต์ที่ดูเหนือจริง
การ์สันไม่รอช้า จึงเข้าไปพูดคุยกับ โรเบิร์ต มู๊ก และตัดสินใจซื้อเจ้า Moog Synth ในทันที เป็นเงิน 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ (หากคิดเป็นเงินปัจจุบัน อยู่ที่ 130,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 4.7 ล้านบาท) ด้วยความที่เป็นเครื่องดนตรีที่แปลกใหม่ และยังไม่เข้าถึงคนหมู่มาก ทำให้การ์สัน เป็นเพียงไม่กี่คนบนโลก ที่มี Moog Synth ไว้ครอบครองในช่วงเวลานั้น
ทันทีที่ได้อาวุธอันทรงพลังมาอยู่ในมือ การ์สัน ไม่รอช้า รีบนำเจ้าซินธ์ฯ ตัวใหม่ มาช่วยสรรสร้างเสียงดนตรีตามจินตนาการที่เขาคิดไว้ในหัว พร้อมดึง ‘พอล บีเวอร์’ (Paul Beaver) หนึ่งในผู้บุกเบิกดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ยุคแรกมาร่วมกันสร้างผลงาน
ในที่สุดอัลบั้ม The Zodiac : Cosmic Sounds ก็ออกมาในเดือน พฤษภาคม 1967 อัลบั้มแนวคอนเซ็ปต์ที่ได้แรงบันดาลใจจาก 12 ราศี เคล้าด้วยเสียงบรรเลงดนตรีที่ล้ำยุค ดูล่องลอย น่าค้นหา ราวกับกำลังผจญภัยไปในบทเพลง
กลายเป็นอัลบั้มแรกของฝั่งตะวันตก ที่ใช้ Moog Synth ในการบันทึกเสียง ซึ่งในช่วงการทำอัลบั้ม โรเบิร์ต มู๊ก และ พอล บีเวอร์ ยังมาร่วมชมขั้นตอนการอัดเสียง รวมถึงยังมีนักดนตรีมากมาย ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา ราวกับเป็นสักขีพยานว่า Moog Synth กำลังจะเปลี่ยนโลกแห่งเสียงไปตลอดกาล!
หลังจากที่อัลบั้ม The Zodiac : Cosmic Sounds ออกมา ก็เริ่มมีศิลปินมากมาย พยายามเอา Moog Synth มาใช้ในบทเพลงของตนเอง รวมถึงศิลปินดังอย่าง ‘จอร์จ แฮร์ริสัน’ (George Harrison) และ ‘จิมมี เฮนดริกซ์’ (Jimi hendrix)
และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับวง ‘The Moody Blues’ ทำอัลบั้ม ‘Days of Future Passed’ ออกมาในปี 1967 รวมถึงยังมีการนำไปทำเป็นซีรีส์หนังสือ ‘Signs of the Zodiac’ เขียนโดย ‘วิกกี้ เพตเตอร์สัน’ (Vicki Pettersson) ที่ออกมาในช่วงปี 2007 - 2011
กระทั่งศิลปินสาวนามว่า ‘เวนดี้ คาร์ลอส’ (Wendy Carlos) ก็นำเอา Moog Synth มาใช้ในผลงานชุดแรกของตนเอง อย่าง ‘Switched-On Bach’ (1968) และประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยนำเพลงคลาสสิกของ ‘โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค’ (Johann Sebastian Bach) มาเรียบเรียงใหม่ด้วยเสียง Moog จนมันเกิดกระแส Synthesizer Music ที่ศิลปินทั้งหลาย พร้อมใจกันนำเสียง Moog Synth มาใช้ในเพลงของตัวเองกันมากกว่าเดิม
ในปีเดียวกัน หลังจากที่การ์สันออกผลงานชุดแรกของตัวเอง เขาร่วมงานกับ ‘ฌาคส์ วิลสัน’ (Jacques Wilson) ออกผลงานชุด ‘The Wozard of Iz’ ที่เสียดสีวรรณกรรมเยาวชน อย่าง ‘The Wonderful Wizard of Oz’ ของ ‘แฟรงค์ บอม’ (L. Frank Baum) ในสไตล์อิเล็กทรอนิกส์ผสมกับกลิ่นอายไซเคเดลิค
และในปี 1969 การ์สันก็สร้างตำนานบนหน้าประวัติศาสตร์โลกอีกครั้ง เมื่อ CBS ใช้เพลง ‘Moon Journey’ ของเขา ในการถ่ายทอดสด การลงจอดของ Apollo 11 บนดวงจันทร์ ที่ประกาศถึงความยิ่งใหญ่ ที่มนุษย์สามารถก้าวไปเหยียบนอกได้โลกสำเร็จ
การ์สันเริ่มดำดิ่งสู่ความลุ่มลึกของเสียงดนตรี พร้อมเพิ่มมิติทางแนวคิดให้เข้มข้นขึ้น ด้วยแนวคิดที่ว่า ‘ดนตรี’ เป็นมากกว่าความบันเทิง ท่วงทำนองนั้น ยิ่งใหญ่เทียบเท่าพลังของจักรวาล และเชื่อว่าทุกสิ่งในธรรมชาติ ไม่ว่าจะ มนุษย์ สัตว์ หรือ พืช ก็สามารถรับรู้เสียงดนตรีได้เหมือนกัน
และก็ถึงเวลาที่การ์สัน กำลังจะทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน คือ “การทำเพลงให้สิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ฟัง” จนกลายเป็นผลงานอมตะที่นักฟังเพลงต่างโหยหาในเวลาต่อมา
การ์สัน ท่องไปทั่วโลกดนตรีพร้อมกับ Moog Syn จนกระทั่งเข้าสู่ยุค 1970s ซึ่งกำลังเป็นช่วงที่ฝั่งตะวันตก เกิดกระแสฮิปปี้ (Hippie) ที่ผู้คน ต่างเริ่มพูดถึงสันติภาพ ศิลปะ ชีวิต หรือธรรมชาติกันมากขึ้น เพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวายในสังคม
การ์สัน มีภรรยาสุดรัก นามว่า ‘แฮร์เรียต การ์สัน’ (Harriet Garson) เธอเป็นคนรักต้นไม้และธรรมชาติแบบสุดหัวใจ เชื่อในเรื่องของพลังโลก มากกว่าศาสนา อีกทั้งเธอยังมีต้นไม้ที่รายล้อมไปทั่วสารทิศของพื้นที่บ้าน
เธอมักจะพูดคุยและดูแลต้นไม้เสมือนเพื่อนคนหนึ่ง การ์สันที่เห็นภาพเช่นนั้นในทุก ๆ วัน ก็เริ่มซึมซับและเข้าใจว่า ต้นไม้ก็คือเพื่อนคนหนึ่งของเขาเช่นกัน
อีกทั้งการ์สัน ยังมีเพื่อนอย่าง ‘โจเอล แรปป์’ (Joel Rapp) และ ‘ลินน์ แรปป์’ (Lynn Rapp) สองสามีภรรยา ที่เปิดร้านขายต้นไม้ที่ชื่อ ‘Mother Earth Plant Boutique’ ด้วยกัน บรรยากาศของร้าน อบอวลไปด้วยมวลพลังของเหล่าพืชพรรณ พร้อมกับเสียงเพลงของการ์สันที่ทั้งสองชื่นชอบ
การ์สัน และสองสามีภรรยาแรปป์ ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติ รวมไปถึงต้นไม้ และด้วยแนวคิดหลาย ๆ อย่างเหมือนกัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำอัลบั้มที่มีชื่อว่า ‘Mother Earth’s Plantasia’ (1976) ที่นำชื่อร้านมาผสมอยู่ด้วย
บวกกับได้แรงบันดาลใจจากหนังสือที่ชื่อ ‘The Secret Life of Plants’ (1973) ที่พูดถึงแนวคิดที่ว่า ต้นไม้สามารถรับรู้เสียงและความรู้สึกได้ และนั่นก็เป็นเข็มทิศนำทาง ที่ทำให้การ์สันเริ่มลงมือแต่งเพลงเพื่อต้นไม้โดยเฉพาะ
การ์สันนำ Moog IIIc Modular Synthesizer มาใช้ในการแต่งเพลง ด้วยซาวด์ที่มีความอุ่น ละมุน เน้นสร้างดนตรีอันอ่อนโยน ที่ไม่เพียงแค่ให้ต้นไม้ฟัง แต่มนุษย์ก็สามารถเข้าใจได้ด้วยเช่นกัน
“warm earth music for plants…
and the people who love them”
คือคำโปรยเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้ชื่ออัลบั้ม เป็นการบอกกล่าวแสนเรียบง่าย แต่กลับทรงพลัง เพลงในอัลบั้มราวกับเป็นดนตรีที่ช่วยโอบอุ้มเรา เปรียบเสมือนแสงแดดในยามเช้า ที่ส่องลงมาอย่างอบอุ่น โอบล้อมไปด้วยสายลมอันแผ่วเบา ที่ช่วยปัดเป่าความขุ่นมัวให้หายไป
เดิมที อัลบั้มนี้ไม่ได้ต้องการทำเพื่อวางขาย แต่ทำเป็นของแถมสำหรับผู้ที่ซื้อต้นไม้จากร้าน Mother Earth’s เพื่อเปิดให้ต้นไม้ฟัง และเป็นของแถมสำหรับผู้ที่ซื้อเครื่องนอน Simmons จากร้าน Sears เพื่อเอาไว้สำหรับกล่อมนอน
มีงานวิจัยบางชิ้นพบว่า แม้พืชจะไม่มีหูเหมือนสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ แต่สามารถตรวจจับการสั่นสะเทือนและคลื่นเสียงได้บางชนิด การเปิดเสียงหรือเพลง ที่มีโทนเบา ช้า อาจช่วยส่งเสริมการเติบโตหรือการงอกของเมล็ด ในขณะที่เพลงที่มีเสียงดัง กระแทกกระทั้น อย่างร็อกหรือเมทัล อาจสร้างความเครียดและยับยั้งการเติบโตได้
อัลบั้มนี้ แทบจะไม่มีใครที่รู้จักมันเสียด้วยซ้ำ ผู้คนส่วนใหญ่ที่ได้รับ ต่างคิดว่าเป็นเพียงอัลบั้มเล็ก ๆ ที่เป็นแค่ของแถม อีกทั้งยังผลิตออกมาจำนวนจำกัด จนมันค่อย ๆ หายไปตามกาลเวลา พร้อมกับตัวเจ้าของผลงานอย่างการ์สัน ที่ค่อย ๆ ปลีกตัวออกจากวงการเพลงไปแบบเงียบ ๆ
เวลาล่วงเลยผ่านไปนับหลายสิบทศวรรษ กระทั่งเดินทางมาถึงยุคที่ทุกคนสามารถรับรู้ข้อมูลได้ ผ่านอินเตอร์เน็ต มีผลงานหลายชิ้นที่ผู้คนอาจหลงลืม แต่ก็มีการขุดมันขึ้นมาใหม่ และเผยแพร่ให้ผู้คนรับรู้บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ว่าจะหนัง เพลง หรือฟุตเทจเก่า ๆ
รวมถึงอัลบั้ม Mother Earth’s Plantasia ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีคนนำมาอัปโหลดบนออนไลน์ จนเริ่มเป็นที่พูดถึง หลังจากที่หลับใหลเป็นเวลาร่วมถึง 40 ปี
มีนักสะสมและดีเจหลายคน ก็เริ่มหยิบนำอัลบั้มนี้มากล่าวถึง บ้างก็อ้างว่าเคยพบเห็นอัลบั้มนี้ที่ร้านขายของมือสอง และนำเรื่องราวมาบอกต่อกันบนโลกออนไลน์
และจุดเปลี่ยนที่ทำให้อัลบั้มนี้ กลับมาผลิบานอีกครั้ง เมื่อ ‘คาเลบ บราเทน’ (Caleb Braaten) เจ้าของค่ายเพลงอินดี้อย่าง ‘Sacred Bones Records’ ที่เขาเคยพบอัลบั้มนี้ครั้งแรก เมื่อช่วงต้นปี 2000s ตอนที่ยังเคยทำงานที่ร้านขายของมือสอง และตัดสินใจนำมันมาเผยแพร่บนออนไลน์ในปี 2019
เป็นตัวจุดกระแสที่ทำให้อัลบั้มชุดนี้ เป็นที่พูดถึงในหมู่คนฟังเพลงอินดี้ และกลุ่มนักสะสม บวกกับที่กระแสดนตรี Lo-fi กำลังมาแรง ด้วยแนวดนตรีที่มีความนุ่มนวลและเรียบง่าย ของ Mother Earth’s Plantasia มันก็ทำให้ใครหลายคนเกิดสนใจขึ้นมา จากกลุ่มเล็ก ๆ ก็แผ่ขยายเป็นวงกว้าง จนมีนักดนตรีและศิลปินมากมาย หยิบยกมาเล่นคัฟเวอร์ (Cover)
มีศิลปินยุคใหม่ ที่ได้อิทธิพลจากการ์สัน และอัลบั้ม Mother Earth’s Plantasia ไม่ว่าจะเป็น ‘DJ Shadow’ ที่นำบางส่วนในเพลง Planetary Motivations (Cancer) ของการ์สัน มาใส่ในเพลงของตัวเอง หรือ ‘ฮิลารี วูดส์’ (Hilary Woods) และ ‘เคอร์ติส วอเตอร์ส’ (Curtis Waters) ที่มีการ์สันเป็นต้นแบบ
ไปจนถึง ‘Data Garden’ องค์กรศิลปะและเทคโนโลยีด้านเสียง ที่นำเสียงจากต้นไม้มาช่วยในการสร้างผลงาน โดยใช้ MIDI Sprout ที่ออกแบบเอง และยังผลักดันให้มนุษย์ตระหนักถึงธรรมชาติผ่านเสียงเพลง ที่ได้แนวคิดมาจาก Mother Earth’s Plantasia โดยตรง
แต่เป็นอันน่าเสียดาย ที่ตัวศิลปินมิอาจได้อยู่ดูความสำเร็จนี้ มอร์ต การ์สัน เสียชีวิตลงในปี 2008 ไม่กี่ปีก่อนที่อัลบั้มชิ้นนี้ จะถูกขุดขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง พร้อม ๆ กับความทรงอิทธิของเขา ที่ทิ้งไว้ให้กับวงการดนตรี
Mother Earth’s Plantasia มิใช่เสียงเพลงเพื่อต้นไม้เพียงอย่างเดียว แต่มันยังเป็นดนตรีที่สื่อสารระหว่างธรรมชาติ และมนุษย์เข้าด้วยกัน ผ่านเสียงสังเคราะห์อันอบอุ่น โดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูด เพราะบางครั้ง ‘เสียง’ เพียงอย่างเดียว ก็ทำให้เราเข้าใจอะไรได้มากกว่าถ้อยคำ
อัลบั้ม Mother Earth’s Plantasia เสมือนต้นไม้ ที่รอให้ใครสักคนมารดน้ำ เพื่อที่สักวันมันจะผลิบานอย่างงดงาม และเสียงที่เขาแต่งให้ต้นไม้ฟังในวันนั้น อาจเป็นเสียงเดียวกับที่กำลังเติบโตอยู่ในหัวใจของเราทุกวันนี้
อ้างอิง
AllMusic. (n.d.). Mort Garson biography. AllMusic.
Sacred Bones Records. (n.d.). Mort Garson – Mother Earth’s Plantasia. Sacred Bones Records.
WQXR. (2019, June 19). Moog synthesizers: A dynamic musical history. WQXR.
Gearnews. (2020, May 23). The history of Moog synth. Gearnews.
Pitchfork. (2023, November 10). Mort Garson: Journey to the Moon and Beyond album review. Pitchfork.