เมย์ แปง : ความรักเบื้องหลัง ‘The Lost Weekend’ ของ ‘จอห์น เลนนอน’

เมย์ แปง : ความรักเบื้องหลัง ‘The Lost Weekend’ ของ ‘จอห์น เลนนอน’

เปิดความรักเบื้องหลัง ‘สุดสัปดาห์หลงระเริง’ (The Lost Weekend) ของ ‘จอห์น เลนนอน’ (John Lennon) กับหญิงสาวเชื้อสายจีนนามว่า ‘เมย์ แปง’ (May Pang) ที่ขยับจากผู้ช่วยส่วนตัวเป็นคนรู้ใจนาน 18 เดือน

ฉันไม่ใช่คนเดียวที่ จอห์น เลนนอน เคยรัก แต่เขาเคยรักฉัน…

ความรักไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก โดยเฉพาะเมื่อคนรักของเธอคือร็อกสตาร์ชื่อก้องโลกที่มีภรรยาอยู่แล้ว หนำซ้ำจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเธอกับเขา ยังเกิดจากความระหองระแหงของเขากับภรรยา จนในที่สุดเจ้าหล่อนผู้มีตำแหน่งเจ้านายของเธอ ก็เดินมาบอกเธอว่า

 

ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนดี ในเมื่อเธอยังไม่มีแฟน งั้นก็คบกับจอห์นซะสิ

 

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ‘เมย์ แปง’ สาวจีนในอเมริกา ได้เริ่มสานสัมพันธ์กับ ‘จอห์น เลนนอน’ อดีตสมาชิกวงดนตรีระดับตำนานอย่าง The Beatles พวกเขาออกเดินทางจากนิวยอร์กไปลอสแอนเจลิสและคบหากันนานกว่า 18 เดือน ภายหลังช่วงเวลาที่เธอและเขาอยู่ร่วมกัน กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘Lost Weekend’ หรือ ‘สุดสัปดาห์หลงระเริง’ อันอ้างถึง The Lost Weekend ภาพยนตร์สัญชาติอเมริกันปี 1945 และหมายถึงช่วงเวลาเมามายไร้สติจนสุดกู่ของนักดนตรีหนุ่ม ระหว่างปี 1973 - 1975 โดยคนที่เริ่มเรียกขานมันเช่นนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือเจ้าของเรื่องราวและข่าวฉาวในหน้าสื่ออย่างจอห์น เลนนอนนั่นเอง

 

เมย์ แปง : ความรักเบื้องหลัง ‘The Lost Weekend’ ของ ‘จอห์น เลนนอน’

The Lost Weekend (1945)

 

สุดสัปดาห์หลงระเริงเหล่านั้นมีเพียงความ ‘หลงระเริง’ อย่างเดียวจริงหรือ? ตลอดกว่า 50 ปีที่ผ่านมา เมย์ แปงเฝ้าตอบคำถามนี้ซ้ำ ๆ ผ่านการให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายครั้ง ผ่านหนังสือ 2 เล่ม (Loving John และ Instamatic Karma) และผ่านภาพยนตร์เชิงสารคดี The Lost Weekend: A Love Story (2022) ว่าสำหรับเธอแล้ว ช่วงเวลาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ ทั้งในแง่ความสัมพันธ์ก็บานสะพรั่งและร้อยเรียงด้วย ‘รัก’ มากกว่า ‘lost’ อย่างที่ใครเข้าใจ

ชนกลุ่มน้อยในหมู่ชนกลุ่มน้อย

ฉันเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายจีนรุ่นแรก

ฉันไม่ใช่คนดำ ไม่ใช่เปอร์โตริกัน

ฉันเป็นชนกลุ่มน้อยในหมู่ชนกลุ่มน้อยอีกที

 

แม้ว่าภาพถ่ายวัยเด็กของเมย์ในสารคดีจะระบายรอยยิ้มจนกว้างอยู่เสมอ แต่ชีวิตช่วงต้นของเธอนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมย์ แปง (May Pang) เป็นลูกสาวของผู้อพยพชาวจีนที่บินลัดฟ้ามายังอเมริกาเพื่อไขว่คว้า ‘อเมริกันดรีม’ เธอเติบโตมาในย่านสแปนิชฮาร์เล็ม นิวยอร์ก แม่ของเธอเปิดร้านซักรีดชื่อ ‘OK Laundry’ เมย์เล่าว่าแม่เป็นผู้หญิงที่สวย ฉลาด และเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของเธอ แต่ความสัมพันธ์ของเมย์กับพ่อกลับไม่ราบรื่นนัก ค่านิยมจีนที่ฝังหัวทำให้พ่อของเธออยากมีลูกชาย จึงได้รับลูกชายบุญธรรมมาเลี้ยง และใส่ใจดูแลเพียงพี่ชายโดยไม่ไยดีลูกสาวอย่างเมย์ หนำซ้ำยังปฏิบัติกับเธออย่างโหดร้ายอีกด้วย

ท่ามกลางเสียงทะเลาะของพ่อแม่ การเลือกปฏิบัติของพ่อ และความคับข้องใจจากการถูกส่งเข้าเรียนโรงเรียนคาทอลิก เมย์พูดเสมอว่า “เพลงร็อกช่วยชีวิตฉันไว้” โดยมี The Beatles เป็นหนึ่งในวงดนตรีในดวงใจ ริงโก้ สตาร์คือเต่าทองคนโปรดของเธอ

หลังจากเรียนจบจากโรงเรียนคาทอลิก เมย์เรียนต่อมหาวิทยาลัยได้เพียงปีเดียวก็ลาออก เด็กสาววัย 18 ย่าง 19 ปี โดดขึ้นซับเวย์ เป้าหมายคือไทม์สแควร์ และการหางานทำ เมย์เคยฝันอยากเป็นนางแบบ แต่ถูกเอเจนซี่ปฏิเสธเพราะเหตุผลเรื่องชาติพันธุ์ ดังนั้น เมื่อรู้ที่ตั้งของ Apple Records ค่ายเพลงของ The Beatles เด็กสาวจึงยืดหลังให้ตรง สูดความมั่นใจให้เต็มปอด แล้วตรงปรี่เข้าไปสมัครงาน

เธอถามว่าฉันพิมพ์ดีดได้ไหม ฉันตอบว่า ได้ค่ะ ทำเอกสารได้ไหม ฉันตอบ ได้สิ รับโทรศัพท์ได้หรือเปล่า ฉันตอบ ได้อยู่แล้ว ฉันโกหกหน้าซื่อทั้งอย่างนั้น

เตรียมเสื้อผ้า รับโทรศัพท์ จับแมลงวัน

เมย์ได้งาน และกลายเป็นพนักงานที่อายุน้อยที่สุดในบริษัท เจ้านายสายตรงของเธอคือ ‘อัลเลน ไคลน์’ (Allen Klein) ผู้จัดการของ จอห์น เลนนอน (John Lennon) ซึ่งขณะนั้นได้แต่งงานกับโยโกะ โอโนะ (Yoko Ono) และย้ายมาพำนักที่อเมริกาเมื่อปี 1971 เส้นทางของเมย์และคู่รักศิลปินโคจรมาพบกันเมื่อโยโกะงอกโปรเจกต์สร้างหนัง 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ Up Your Legs Forever ซึ่งกลายเป็นผลงานแรกที่ชื่อของเมย์ แปง ปรากฏในช่องเครดิตในตำแหน่งผู้ช่วยโปรดักชัน และเรื่องที่สอง Flies สคริปต์มีอยู่ว่า : ผู้หญิงคนหนึ่งนอนบนเตียงในห้องที่หน้าต่างเปิดอ้า แมลงวันหนึ่งตัวบินเข้ามา ร่อนลงเกาะร่างเธอและตอมไต่ จากนั้นบินออกไปนอกหน้าต่าง

 

พวกเขาบอกให้ฉันไปจับแมลงวันกลางฤดูหนาว

ที่เดียวที่ฉันนึกออกคือครัวร้านอาหารจีน

 

หลังจากจบโปรเจกต์ จอห์นกับโยโกะก็กลับอังกฤษ ส่วนเมย์กลับไปทำงานตามปกติได้เพียง 2 สัปดาห์ ก็ถูกคู่รักเรียกตัวให้บินลัดฟ้าไปยัง Tittenhurst Park บ้านของพวกเขา เพื่อช่วยประสานงานกองถ่าย ทั้งถ่ายภาพนิ่งสำหรับอัลบั้มใหม่ และถ่ายทำเอ็มวีเพลง ‘Imagine’ โดยเมย์ แปงรับหน้าที่เป็นคนเตรียมเสื้อผ้าให้คู่รักนักดนตรีสวมใส่เพื่อถ่ายทำ

ฉันคิดว่าโยโกะถูกใจฉัน แค่คิดนะ” แล้วจอห์นกับโยโกะก็ยืนยันความคิดของเธอด้วยการขอให้เมย์ แปง ลาออกจาก ABCKO เพื่อเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของพวกเขาแทน

ถามว่าฉันทำอะไรน่ะเหรอ? ซื้อของใช้ ดูแลทุกอย่าง ทำงานในสตูดิโอ เป็นผู้ช่วยโปรดักชัน จัดเตรียมเสื้อผ้า จัดการเรื่องการประชาสัมพันธ์ รับโทรศัพท์ ประมาณนั้นแหละ

 

โยโกะบัญชา

การเคลื่อนไหวทางการเมืองของจอห์นทำให้ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน อยากเนรเทศเขาไปจากอเมริกา เหตุผลดังกล่าวทำให้จอห์นและโยโกะตัดสินใจย้ายบ้านและออฟฟิศไปยังอะพาร์ตเมนต์เดอะดาโกตา ที่เซ็นทรัล ปาร์ก เวสต์ แต่แม้จะย้ายที่อยู่ ปัญหาที่คาราคาซังก็ไม่ได้หายไป จอห์นยังถูกจับตามองจาก FBI ยังทะเลาะกับพอล แม็กคาร์ตนีย์ผ่านสื่อ และยังมีปัญหาประสาคู่รักกับโยโกะ 

 

พวกเขาเหมือนแม่เหล็กสองอันที่ผลักกันเอง

ไม่มีใครอยากไปอยู่คั่นกลางพวกเขาหรอก

เมย์เล่า

 

แต่ปัญหาประสาคู่รักนี่เองที่ทำให้ชีวิตของเมย์มาถึงจุดพลิกผัน เมย์ทำงานให้โยโกะและจอห์นมาราวสองปีครึ่งแล้ว เมื่อโยโกะจับได้ว่าจอห์นแอบไปนอนกับผู้หญิงคนอื่น และเริ่มหวั่นใจว่าสามีของตนจะออกนอกลู่นอกทางไปพบรักกับใครที่เธอไม่รู้จัก วันหนึ่ง เธอจึงผุดไอเดียขึ้นในหัว เธอเดินเข้าไปหาเมย์ แปงในออฟฟิศ และบอกเล่าแกมออกคำสั่งว่า

 

ฉันกับจอห์นมีปัญหากัน ฉันรู้ว่าเขากำลังจะนอกใจ

เลยอยากให้เธอเดตกับเขา

เพราะฉันรู้ว่าเขาต้องการคนดี ๆ แบบเธอ

 

ครั้งแรกที่ได้ฟัง เมย์ปฏิเสธหัวชนฝา เธอไม่ได้ชอบหรือคิดอะไรกับจอห์น เลนนอนไปมากกว่าเจ้านายที่มีภรรยาแล้ว จากคำพูดของเมย์ เล่าว่าโยโกะพยายามหว่านล้อมเธอด้วยถ้อยคำต่าง ๆ แต่เธอก็คอยบอกปัดเรื่อยมา จนกระทั่ง

 

จอห์นเริ่มจีบฉัน และเสน่ห์ล้นเหลือของเขาก็เล่นเอาฉันใจอ่อน

 

เมย์ แปง ในวัย 22 ย่าง 23 ปี ตกหลุมรักนักดนตรีหนุ่มตามคำบัญชาของโยโกะทั้งตัวและหัวใจ

 

The Lost Weekend - สุดสัปดาห์หลงระเริง

เมย์ แปง : ความรักเบื้องหลัง ‘The Lost Weekend’ ของ ‘จอห์น เลนนอน’

แล้ว The Lost Weekend เริ่มต้นตอนไหน? คำตอบคือวันที่ 22 กันยายน 1973 เมื่อความอึดอัดในบ้านแน่นอก จนจอห์น เลนนอนเอ่ยปากกับเมย์ว่า “เราต้องไปจากนิวยอร์กนะเมย์ แค่เราสองคน ไปให้พ้นจากโยโกะ” บทสนทนานั้นเกิดขึ้นตอนเที่ยงวัน และหกโมงเย็นวันเดียวกันนั้น พวกเขาก็อยู่ที่สนามบิน นกเหล็กกางปีกโผขึ้นฟ้า แล้วร่อนลง ณ ท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส

 

คนมักเข้าใจกันว่าโยโกะเป็นคนจัดฉากทุกอย่าง

รวมทั้งเรื่องที่เราไปแอลเอด้วย แต่จริง ๆ ไม่ใช่เลย

 

ชีวิตใหม่ในแอลเอไม่ได้ร่ำรวยอู้ฟู่นัก จอห์นถูกจำกัดวงเงินโดยค่ายเพลง ส่วนเมย์ก็ถูกโยโกะเลิกจ่ายเงินเดือน แต่เพราะจอห์นคือจอห์น เลนนอนผู้โด่งดัง เพียงเขาเอ่ยปากยืมบ้านย่านเบล แอร์ของโปรดิวเซอร์เพลงอย่าง ลู แอดเลอร์ (Lou Adler) เท่านั้น เขาก็ได้ที่พักและรังรักแห่งใหม่ทันที

 

เมย์ แปง : ความรักเบื้องหลัง ‘The Lost Weekend’ ของ ‘จอห์น เลนนอน’

 

เราทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่น เที่ยวเล่นไปเรื่อย เราชอบถ่ายรูปกันและกัน จอห์นผ่อนคลายขึ้น และความสัมพันธ์ของเราก็งอกงามขึ้นเรื่อย ๆ

 

นอกจากได้เที่ยวอเมริกาตามประสานักท่องเที่ยวอย่างที่อยากทำมาตลอดในช่วงกลางวันแล้ว จอห์นยังได้ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงในช่วงกลางคืนด้วย เขาได้เพื่อนเที่ยวกลุ่มใหม่ เป็นกลุ่มที่ถูกขนานนามว่า ‘Hollywood Vampires’ เพราะพบเจอได้แค่ยามค่ำคืนเท่านั้น ก๊วนแวมไพร์ประกอบไปด้วย ‘แฮร์รี นิลส์สัน’ (Harry Nilsson), ‘อลิซ คูเปอร์’ (Alice Cooper), ‘เบอร์นี เทาพิน’ (Bernie Taupin), ‘มิกกี โดเลนซ์’ (Micky Dolenz), ‘คีต มูน’ (Keith Moon) และจอห์น เลนนอน โดยทุกครั้งที่จอห์นเมาเกินพิกัด ก็ไม่พ้นเมย์ แปงที่ต้องคอยตามหิ้วปีกและดูแลความเป็นอยู่ เพราะเธอเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ดื่มหรือเสพยา เธอจึงมีสติตลอดเวลา

สารคดี The Lost Weekend: A Love Story เผยว่าจอห์นมีพฤติกรรมรุนแรงตอนเมา จนหลายครั้งเขาก็เผลอทำร้ายเมย์โดยไม่ตั้งใจ จอห์นเคยผลักเมย์กระแทกผนัง เธอออกมาบอกภายหลังว่าเธอไม่ได้เจ็บมาก และเธอเข้าใจว่านักดนตรีหนุ่มกำลังต่อสู้กับปีศาจภายใน จอห์นมักจะจำอะไรไม่ได้หลังจากตื่นขึ้นมาในวันถัดไป แต่เมื่อเขารู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป เขาก็มักจะขอโทษ และหลายครั้งก็ถึงกับหลั่งน้ำตาอย่างรู้สึกผิด

 

แต่ Lost Weekend ที่คนเรียกกัน ก็ไม่ได้ lost ไปเสียทีเดียว” เมย์พูด

“อย่างแรก ผู้คนได้เจอจอห์นตัวเป็น ๆ บ่อยขึ้น บ่อยกว่าหลายปีที่ผ่านมามาก

 

และอย่างที่สอง เมย์ยืนยันด้วยเรื่องเล่า ภาพถ่าย และผลงานมากมาย ว่าช่วงเวลาที่ถูกเรียกขานว่าสัปดาห์หลงระเริงนั้น ถือเป็นช่วงปีที่สร้างสรรค์และผลิตงานเพลงได้มากที่สุดอีกช่วงของจอห์น เลนนอน

 

ถ้าเขาเอาแต่เมาตลอดเวลา

คงไม่มีทางสร้างงานออกมาได้มากขนาดนั้นหรอก

 

จอห์นได้โปรดิวซ์เพลงให้ แฮร์รี นิลส์สัน และริงโก สตาร์ ได้ร่วมงานกับเพื่อนใหม่อย่าง เดวิด โบวี (David Bowie) และเพื่อนเก่าอย่าง มิก แจ็กเกอร์ (Mick Jagger) เขาได้ทำอัลบั้มของตัวเองอย่าง Mind Games, Rock ’n’ Roll และ Walls and Bridges แม้กระทั่งเพลงฮิตที่ได้ขึ้นอันดับ 1 ในฐานะศิลปินเดี่ยวครั้งแรกของจอห์น อย่าง ‘Whatever Gets You Thru’ the Night’ ก็เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ เขาแต่งมันข้าง ๆ เมย์ แปง ระหว่างดูโทรทัศน์ยามค่ำด้วยกัน โดยได้เอลตัน จอห์น (Elton John) มาเล่นเปียโนและร้องฮาร์โมนีให้ ทั้งเขายังได้โดดขึ้นเวทีไปร่วมแสดงเพลงนี้กับเอลตัน ณ Madison Square Garden ซึ่งถือเป็นการกลับมาแสดงสดครั้งแรกหลังจาก The Beatles เลิกทัวร์คอนเสิร์ตไปตั้งแต่ปี 1966

แน่นอนว่าทุกการร่วมงานและการอัดเสียง มีเมย์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังคอยประสานงานและดำเนินการให้ทุกอย่างราบรื่น

เมย์ แปง : ความรักเบื้องหลัง ‘The Lost Weekend’ ของ ‘จอห์น เลนนอน’

 

เพื่อนเมียเก่า กาวใจลูกชาย 

แม้ว่าจอห์นและเมย์จะมีอิสระในการใช้ชีวิตอย่างคู่รักหนุ่มสาวทั่วไป แต่ก็ไม่อิสระไปกว่าหูกว่าตาของโยโกะ เมย์เล่าว่าโยโกะโทรฯ มาหาเธอทุกวัน วันละสิบถึงสิบห้าครั้ง เธอโทรฯ มาแทบทุกชั่วโมง และอยากให้เมย์รายงานทุกอย่างโดยละเอียด อีกทั้งในคราวที่เมย์รู้สึกหมดศรัทธาในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจอห์น จนหนีกลับนิวยอร์กเพียงลำพัง ก็เป็นโยโกะเช่นเคยที่บอกแกมสั่งกับเธอว่า

 

กลับไปหาจอห์นซะ

ซินเธียกับจูเลียนกำลังไปแอลเอ

จอห์นรับมือสองคนนั้นเองไม่ไหวแน่

 

แม้จะรู้สึกแปลกประหลาดกับการเป็นแฟนสาวที่ต้องคอยฟังคำสั่งเมียปัจจุบัน แถมยังต้องคอยเป็นตัวกลางเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแฟนหนุ่มกับเมียเก่าและลูกชายของเมียเก่า เมย์ก็ยังตัดสินใจบินกลับไปหาจอห์น ทันเวลาเครื่องบินของสองแม่ลูกลงจอดสนามบินแอลเอพอดิบพอดี

การตัดสินใจครั้งนั้นไม่ได้ทำให้เธอผิดหวัง เพราะตั้งแต่ได้พบกันครั้งแรก ซินเธีย เมียคนแรกของจอห์น ก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีของเมย์ พวกเธอเข้าอกเข้าใจกันและกัน และคบหากันยาวนาน ตราบจนซินเธียจากโลกใบนี้ไปเมื่อปี 2015 เพราะโรคมะเร็ง

 

หนึ่งในเรื่องที่ฉันภูมิใจที่สุด คือการทำให้จอห์นกับจูเลียนได้กลับมาสนิทกัน

 

ณ เวลานั้น จอห์นไม่ได้คุยกับลูกชายของเขามาหลายปีแล้ว แม้ไม่ได้กล่าวโดยตรง แต่สารคดี The Lost Weekend: A Love Story ก็บอกเล่าโดยนัยว่าหนึ่งในต้นเหตุความเหินห่างหมางเมินระหว่างสองพ่อลูก นอกจากความรู้สึกผิดของจอห์นแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยคือการกีดกันของโยโกะ จากปากคำของเมย์ ครั้งยังเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของสองสามีภรรยาแรก ๆ ที่เล่าว่าสายโทรศัพท์ถึงจอห์นทุกสาย ต้องผ่านการรับรองจากโยโกะก่อน ไม่เว้นสายโทรศัพท์จากจูเลียน

เมื่อเด็กน้อยโทรฯ มาหาพ่อของตน คนรับสายอย่างเมย์ต้องรายงานให้โยโกะรู้ และคำตอบของโยโกะในหลายสายแรกคือ “หาทางวางสายเขาซะ และอย่าบอกจอห์น เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น” เมย์เล่าว่านั่นเป็นเรื่องที่เธอรู้สึกเสียใจมาโดยตลอด

แต่คราวนี้ เธอได้โอกาสแก้ตัวแล้ว โยโกะอยู่ไกลเกินสั่งให้เธอทำหรือไม่ทำอะไร จูเลียน เลนนอน ให้สัมภาษณ์ในสารคดีว่าการมีเมย์อยู่ใกล้ ๆ ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นสำหรับเขาในวัยเด็ก “อย่างที่เห็นในรูปถ่าย เรายิ้มกันตลอด ผมกับเมย์หัวเราะด้วยกันเสมอ แม้แต่พ่อก็ดูสดใสขึ้นตอนอยู่กับเมย์” 

ความสัมพันธ์ที่เคยหมางเมินเริ่มกลับมาแน่นแฟ้น สองพ่อลูกและเมย์ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยครั้ง “ฉันกลายเป็นไกด์ของนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็ก ๆ” เมื่อจอห์นและเมย์ตัดสินใจกลับนิวยอร์กและย้ายไปอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ด้วยกันพร้อมทั้งรับแมวสองตัวมาเลี้ยง พวกเขาก็เปลี่ยนห้องนอนแขกให้เป็นห้องนอนของจูเลียนในเวลาที่เจ้าหนูน้อยมาเยี่ยม ทุกอย่างดูสวยงามเหมือนฝัน สมุดสเกตช์เล่มน้อยของจอห์นเต็มไปด้วยภาพเมย์ และภาพวาดอนาคตของทั้งคู่ที่ยังได้อยู่ด้วยกันไปจนแก่

.

กลับกลายเพราะโยโกะทวงคืน

เรากำลังจะซื้อบ้านด้วยกัน” เมย์เล่า “ฉันกับจอห์นพาจูเลียนไปดูบ้านที่มอนทอกมาแล้ว

แต่บ้านในฝันของจอห์นกับเมย์ รวมทั้งความฝันของทั้งคู่ที่จอห์นเคยวาดเล่นลงในสมุดสเกตช์ประจำตัวก็ไม่เคยเกิดขึ้น 

มันเปลี่ยนไปตอนไหน? เกิดอะไรขึ้น? สำหรับเมย์ ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังโยโกะโทรฯ มาหาเธอเพื่อบอกว่า

 

ฉันกำลังคิดว่าฉันจะเอาจอห์นคืนมา

 

วันที่ 28 พฤศจิกายน 1974 โยโกะโผล่มาที่ Madison Square Garden ในวันที่จอห์นและเอลตันสร้างวินาทีประวัติศาสตร์ร่วมกัน เธอส่งดอกไม้มาแสดงความยินดีกับทั้งคู่ และหลบไปหลังเวทีเพื่อใช้เวลากับจอห์นเพียงสองคน ค่ำวันนั้น จอห์นยังควงคู่เมย์ไปอาฟเตอร์ปาร์ตี้ ทั้งคู่ยังกลับบ้านด้วยกัน และอยู่ด้วยกันอย่างคู่รัก จนกระทั่งวันหนึ่ง โยโกะอ้างว่าเธอรู้จักนักบำบัดที่จะทำให้จอห์นเลิกบุหรี่ได้ พอเหมาะกับที่นักดนตรีหนุ่มกำลังอยากเลิกสูบ เพราะบุหรี่ทำให้ปอดของเขาไม่แข็งแรงจนร้องเพลงได้ไม่ดีเท่าที่เคย

 

ฉันไม่อยากให้เขาไป แต่เขาสัญญาว่าเขาจะกลับมา เขาบอกว่า ‘พอกลับมาผมจะพาคุณไปร้านอาหารไหนก็ได้ที่คุณอยากไป หลังจากนั้น เราจะไปหาพอลกับลินดา (เพื่อไปช่วยพวกเขาทำอัลบั้มใหม่) ที่นิวออร์ลีนส์ คุณต้องชอบแน่’”

 

จอห์นจูบลาเมย์ก่อนออกจากบ้านเหมือนทุกครั้ง แต่หลังประตูปิดตามหลัง เมย์กลับสังหรณ์ลึก ๆ ในใจว่าเธออาจไม่ได้เจอจอห์นอีก

และก็เป็นอย่างที่คิด จอห์นไม่เคยได้กลับไปยัง ‘บ้าน’ หลังนั้นอีกเลย

อีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง เมื่อจอห์นและเมย์เจอกันนอกคลินิกทันตกรรมตามนัดหมายของจอห์น เขาและเมย์แยกเดินไปคนละทาง เมื่อเมย์ถามว่าจอห์นจะไปไหน จอห์นตอบเธอว่า “บ้าน” และสำทับว่า

 

โยโกะยอมให้ผมกลับ ‘บ้าน’ แล้ว

 

สิ่งที่เหลืออยู่

จอห์นกลับไปหาโยโกะในวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 1975

เมย์เล่าว่าก่อนหน้านั้น จอห์นเคยเปรยว่าเขากำลังคิดจะกลับไปเขียนเพลงกับพอล แต่เขาไม่เคยมีโอกาสได้ทำ

เช่นกัน เขาไม่ได้ไปนิวออร์ลีนส์เพื่อช่วยคู่รัก พอลกับลินดา ทำอัลบั้มใหม่

เขาไม่ได้ซื้อบ้านที่มอนทอก และไม่ได้ทำตามภาพอนาคตที่วาดเอาไว้ในสมุด

แต่เขาก็ไม่ได้ตัดขาดกับเมย์อย่างสิ้นเชิง ทั้งคู่ยังเจอกันและร่วมรักกันบ้างเป็นครั้งคราว

ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่เคยจบลง…

 

วันที่ 25 พฤษภาคม 1980 จอห์นโทรศัพท์มาหาเมย์จากเคปทาวน์ แอฟริกาใต้ พวกเขาคุยกันนานร่วมชั่วโมง จอห์นบอกเมย์ว่า “เราต้องหาทางกลับมาอยู่ด้วยกันให้ได้

แต่พวกเขาก็ไม่เคยได้ทำ เพราะไม่กี่เดือนหลังจากนั้น เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1980 จอห์นก็ถูกกระสุนปืนสังหารขณะกำลังเดินกลับอะพาร์ตเมนต์เดอะดาโกตา เมย์ แปง รู้ข่าวการจากไปของชายที่เธอรักผ่านโทรทัศน์เช่นเดียวกับแฟน ๆ ทั่วโลก

เมย์แต่งงานกับโทนี่ วิสคอนติ (Tony Visconti) โปรดิวเซอร์ นักดนตรี และนักร้องที่มีผลงานร่วมกับศิลปินดังมากมาย ในปี 1989 และแยกทางกันในปี 2000 ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือลารา (Lara Visconti) และเซบาสเตียน (Sebastian Visconti) โดยเมย์ยังทำงานในอุตสาหกรรมดนตรีเรื่อยมา ควบคู่ไปกับความสนใจที่หลากหลาย เช่นการมีแบรนด์เครื่องประดับเป็นของตนเอง

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่ผู้เขียนเรียบเรียงมานี้ แม้จะเป็นเรื่องราวที่เมย์ แปงกล่าวว่าเป็น ‘ความจริง’ แต่ก็เป็นความจริงจากมุมของเธอเท่านั้น เนื่องด้วยตัวละครหลักอีกคนอย่างจอห์น เลนนอน ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวจากความทรงจำของเขาแล้ว และผู้ถูกระบายสีให้กึ่งเกือบเป็นตัวร้ายในเรื่องเล่านี้ ก็ไม่ได้ตอบกลับคำขอสัมภาษณ์ของสำนักข่าวที่ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เราจึงไม่อาจรู้ได้ว่าภาพฉายที่ครบถ้วน สมบูรณ์ และเป็นความจริงของทุกฝ่ายนั้นคืออะไรกันแน่ 

ภาพยนตร์เชิงสารคดีเรื่อง The Lost Weekend: A Love Story จบลงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มของเมย์ แปง ที่เดินเข้ามาหาจูเลียน เลนนอน ซึ่งกำลังสัมภาษณ์อยู่ เธอทักทายเขาด้วยการกอดและหอมแก้มอย่างสนิทสนม อดีตเด็กชายตัวน้อยที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่หอมแก้มแฟนเก่าพ่อและเพื่อนของแม่กลับ ทั้งคู่บอกรักกันเพื่อเป็นพยานของ ‘สิ่งที่เหลืออยู่’ จากความสัมพันธ์ครั้งเก่าที่เคยถูกขนานนามว่า ‘Lost Weekend’ ว่าแม้หลายสิ่งหลายอย่างจะสูญไปตามกาลเวลา แต่ ‘ความรัก’ และมิตรภาพของเพื่อนต่างวัยทั้งคู่นั้น จะยังคงอยู่ต่อไป

 

ฉันไม่ใช่คนเดียวที่จอห์นเคยรัก

เขาเคยรักซินเธีย เขาเคยรักโยโกะ

และใช่ เขาเคยรักฉัน

- เมย์ แปง

 

เมย์ แปง : ความรักเบื้องหลัง ‘The Lost Weekend’ ของ ‘จอห์น เลนนอน’

 

ภาพ : Getty Images

ที่มา :

ภาพยนตร์เชิงสารคดีเรื่อง The Lost Weekend: A Love Story

258: May the First – The Lost Weekend with May Pang - Something About The Beatles

The Lost Weekend: A Love Story review – vivid snapshot of Lennon’s dysfunctional liaison - The Guardian

‘The Lost Weekend: A Love Story’ Review: May Pang Tells Her Story, and a Piece of John Lennon’s, in a Compelling Documentary - The Variety

'Lost Weekend' film explores John Lennon's relationship with May Pang - wbur

‘People will find out’: May Pang on her time with John Lennon and Yoko Ono - The Guardian

John Lennon's ex May Pang says he 'really wanted' to write songs with Paul McCartney again - USA Today

What Really Happened During John Lennon’s ‘Lost Weekend’ - AARP

Inside John Lennon's 'Lost Weekend' Period - Biography

Life with John Lennon: Pomona's May Pang tells all - lohud

May Pang Biography - IMDb

Jewelry designer and ex girlfriend of John Lennon: biography of May Pang, born in Manhattan - Manhattanka