18 ธ.ค. 2568 | 16:00 น.

เจมส์ ซี. สก็อต เคยหล่นถ้อยคำคลาสสิกที่ทิ่มแทงวิธีศึกษาประวัติศาสตร์ของเราอย่างเจ็บปวดว่า
“ประวัติศาสตร์ของพวกชาวนาถูกเขียนโดยพวกคนเมือง ประวัติศาสตร์ของคนเร่ร่อนถูกเขียนโดยพวกตั้งรกราก” (James C. Scott , 2017)
และประวัติศาสตร์การสร้างกฎหมายถูกเขียนโดยผู้ล้มล้างรัฐธรรมนูญ
เมื่อเรานำวลีนี้กลับมาขบคิดท่ามกลางข่าวหนึ่งที่แทรกตัวขึ้นบนโลกออนไลน์ในต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ภาพความย้อนแย้งเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายของรัฐไทยก็ยิ่งคมชัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อรัฐบาลไทยได้ประกาศยกเลิกข้อห้ามในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงบ่าย และให้มีผลตั้งแต่ 3 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว และจะมีการประเมินผลอีกครั้งว่าจะดำเนินการต่อหรือไม่ ซึ่งมันจะเป็นครั้งแรกในรอบ 53 ปี ที่คนไทยจะซื้อสุราในเวลา 14.00–17.00 น. ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ข้อกฎหมายนี้ถูกตราขึ้นจากคณะผู้ทำผิดกฎหมายเสียเอง (คณะรัฐประหาร) ในคำสั่งฉบับที่ 253 / 2515 ซึ่งมิเพียงทำให้เกิดการจำกัดเวลาในการซื้อขาย แต่ถือเป็นการกำหนดนิยามในสังคมไทยให้ ‘เหล้าหรือสุรา’ กลายเป็นปัญหาของสังคมมากกว่าจะเห็นมันในฐานะ ‘วัฒนธรรมของความเป็นมนุษย์’ และเมื่อเงื่อนไขของอดีตถูกกำหนดโดยอำนาจที่ไร้ความชอบธรรม
จึงเป็นคำถามสำคัญว่า จะพอเป็นไปได้หรือไม่ว่า หากเราจะศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหล้า คนที่เขียนก็ควรเป็นคนที่เจนจบกับเรื่องเหล้าอย่างแท้จริง หนึ่งในชื่อที่ผุดขึ้นมาก็คือ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์’ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2538 นักเขียนที่ผลงานของเขายังคงสนทนากับปัจจุบัน แม้ตัวเขาจะจากไปอยู่อีกฟากของยุคสมัยแล้วก็ตาม หากผู้ใดเคยทำความรู้จัก ‘รงค์’ ผ่านโลกวรรณกรรมย่อมสัมผัสได้ว่าตัวละครของเขาที่แม้จะมีบุคลิกเมามาย แต่กลับไม่เคยละทิ้งความรับผิดชอบของชีวิต สิ่งเหล่านี้ยืนยันผ่านประโยคสำคัญที่ว่า
“ผมกินเหล้ามามากแล้วในชีวิต
กินมามากกว่าลำธารบางสาย
ผมเลยเบา ๆ ลงเพื่อรักษาชีวิตไว้ให้ความรัก”
บทความนี้จึงชี้ชวนผู้อ่านทำความเข้าใจเรื่องเล่า (เหล้า) จากมุมที่รัฐไม่ค่อยสนใจ ผ่านถ้อยคำของนักเขียนผู้ยืนยันว่าคนที่เมามากที่สุดอาจไม่ใช่คนในวงสุรา แต่คือรัฐเผด็จการที่ดื่มด่ำความเมาในอำนาจของตนเอง จนมองไม่เห็นความสำคัญของผู้อื่น
หากจะกล่าวถึงชื่อของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์’ ภาพที่ผุดขึ้นมาคือสถานะ ‘ศิลปินแห่งชาติ’ นักเขียนผู้เป็นตัวแทนความงามทางภาษาและลีลาการเขียนอันจัดจ้าน แต่ตำแหน่งนี้ก็มาพร้อมคำถามเช่นกันว่า จริงหรือไม่ที่ศิลปินแห่งชาติเป็นผลผลิตที่สร้างขึ้นภายใต้โครงสร้างอำนาจของรัฐ โดยทำหน้าที่คัดเลือก จัดวาง และทำให้ศิลปินกลายเป็นสัญลักษณ์ทางอุดมการณ์ซึ่งรองรับค่านิยมแบบอนุรักษ์นิยม มากกว่าจะสะท้อนถึงเสรีภาพทางศิลปะตามอุดมคติ หากแต่รงค์ วงษ์สวรรค์คือคนที่ยากจะถูกจับวางลงในกล่องใดกล่องหนึ่ง งานของเขามีทั้งความก้าวหน้าที่วิพากษ์ระบบทุนนิยม และต่อต้านสงคราม ซึ่งเขารับมาจากประสบการณ์ตรงกับขบวนการฮิปปี้ในยุค 1960 ในงานเขียนที่ชื่อว่า ‘หลงกลิ่นกัญชา’
ขณะที่งานชิ้นอื่นกลับเผยร่องรอยของการสนับสนุนสังคมชายเป็นใหญ่ ที่ผู้หญิงมักถูกทำให้เป็นภาพแทนของความปรารถนาอย่างที่พบในวรรณกรรมไทยในยุคเดียวกัน รงค์ วงษ์สวรรค์จึงสะท้อนความเป็นมนุษย์ที่มีทั้งความงาม ความขัดแย้ง ความบ้าบิ่น และความอ่อนไหว หากต้องการเข้าใจ รงค์ วงษ์สวรรค์ ในฐานะนักเขียนผู้ยืนหยัดเคียงข้างเหล้าในมุมมองของผู้ไร้อำนาจจริง ๆ ก็จำเป็นต้องสลัดให้พ้นจากภาพแทน ‘ศิลปินแห่งรัฐ’ และย้อนทบทวนบทบาทเขาในฐานะ ‘คนธรรมดา’ เพราะแรงขับสำคัญในงานเขียนของรงค์ มาจากการสนทนาอยู่กับผู้คนชายขอบของสังคม ผู้ใช้แรงงาน โสเภณี และผู้คนในชนบทที่ที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดภายใต้โครงสร้างอำนาจอันไม่เป็นธรรม
“ข้าพเจ้ารินเบียร์อย่างประณีตให้มีฟองเพียงเล็กน้อย มันถูกแช่ไว้จนเย็นสนิท ขณะที่ไหลจากปากขวดเป็นลำลงสู่แก้ว และกระทบต้องแสงไฟมองเห็นเป็นสีน้ำตาลปนทองเข้มข้นเหมือนน้ำเชื่อม นี่คือสะพานทอดข้ามระหว่างมนุษย์กับบาปไงล่ะ”
ถ้อยคำที่มีสำเนียงเฉพาะตัวที่ทำให้งานของรงค์โดดเด่น มุกตลกร้าย และความเศร้าแบบดิบ ๆ กลายเป็นฉากหลังสำคัญซึ่งทำให้งานของเขาเข้าถึงความจริงในอีกรูปแบบหนึ่ง
รงค์ วงษ์สวรรค์เกิดในวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2475 ก่อนการปฏิวัติสยามหนึ่งเดือน ชีวิตล้มลุกคลุกคลานไม่ต่างจากระบอบประชาธิปไตยที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่เพียงแค่ถนนราชดำเนิน มีวัยเด็กที่พบกับความโหดร้ายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 “ตอนสงครามเกิด เราเป็นยุวชนทหารของจอมพล ป. ที่เลียนแบบฮิตเลอร์…ลูกระเบิดเพลิงเยอะมาก ระเบิดวิถีราบฆ่าคนบนถนน ขาขาด แขนขาด วิถีโค้งก็มี…ตอนนั้นเขาบอกว่าถ้าระเบิดมาให้ลงท่อน้ำโสโครก แล้วก็ตายเพราะท่อน้ำบีบ ระเบิดมันอัด เห็นหัวดำอยู่ในท่อตายหมด คนรวยทั้งนั้น ตายเพราะเชื่อรัฐบาล” ภาพจำที่โหดร้ายในสงครามสร้างความไม่ไว้วางใจต่ออำนาจรัฐตั้งแต่วัยเยาว์
รงค์เป็นนักเรียนคนแรกของโรงเรียนเตรียมอุดมที่ถูกไล่ออก ก่อนจะมาจบชั้นมัธยมจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ แล้วเดินเรือโยงที่พ่อให้มาเป็นมรดก ล่องจากบางบัวทองไปสุพรรณฯ ทำงานกับแรงงานทุกจำพวก สัมผัสกับโลกของผู้คนที่ไม่เคยถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ เมื่อความซ้ำซากของสายน้ำเริ่มกัดเซาะสันดานนักเดินทาง รงค์ทิ้งเรือและขึ้นเหนือไปเป็นคนคุมปางไม้ที่เชียงใหม่ ชีวิตกลางป่าที่เต็มไปด้วยความเปราะบางของมนุษย์ทำให้เขาหันกลับสู่กรุงเทพฯ พร้อมประสบการณ์มากกว่าใครในวัยเดียวกัน และเลือกปักหลักในย่านบางลำพู ชุมชนของนักแสวงโชค คนทำงานกลางคืน และคนที่อยู่ในเงามืดของเมืองหลวง
เส้นทางนักเขียนของเขาเริ่มต้นจากการถ่ายรูปไปเสนอขายให้หนังสือพิมพ์สยามรัฐ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์จึงเห็นแววจากการถ่ายรูปด้วย ‘สายตาแบบฝรั่ง’ ซึ่งเขาให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า “เราดูรูปมาก ศึกษาว่าภาพแคนดิตเป็นยังไง สแนปช็อตเป็นยังไง…และทำงานโดยไม่ต้องให้บรรณาธิการคอยสั่งว่าต้องถ่ายอะไร…ตอนเลือกตั้งสกปรกกุมภาพันธ์ปี 2500 คนเดินขบวนประท้วง ที่จุฬาฯลดธงครึ่งเสา ห้ามคนหนังสือพิมพ์เข้า เราเข้าไปได้เพราะมีเพื่อนอยู่ที่นั้น เพื่อนบอกมึงหลบ ๆหน่อยละกัน…เราอยู่กับนักศึกษาตั้งแต่ตีห้าจนถึงสี่ห้าทุ่ม ลืมกินข้าวกินน้ำ”
รงค์จึงได้รับโอกาสเข้าทำงานเป็นพนักงานพิสูจน์อักษร ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่งานเขียนและกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในเวลาต่อมา เรื่องราวการผจญภัย ทั้งการเดินเรือ การเติบโตในสงคราม คนคุมปางไม้ นักเสี่ยงโชคที่บางลำพู กลายเป็นต้นทุนชีวิตสำคัญที่ขัดเกลามุมมองของเขาให้ต่างจากนักเขียนคนอื่นๆ ไม่ใช่แค่ความต่างในสำนวนภาษา หากเป็นสายตาที่เข้าอกเข้าใจคนชั้นล่างในสังคม
“เรามีปรัชญาของเรา… หลังจากที่เราเร่ร่อนออกจากถ้ำมาหลายพันปี บ้านต้องอำนวยความสุข ความสะดวก นอกจากเป็นที่อยู่แล้วต้องเป็นที่พักผ่อน เหนื่อยแล้วพักผ่อนได้ พักที่ไหนจะสบายเท่าบ้าน เหมือนกินเหล้า เรากินเหล้าเพื่อพักผ่อน กินเหล้าคือความสุข ถ้าทุกข์อย่ากินเหล้า กินแล้วจะซ้ำเติมให้ทุกมโหฬาร…เราไม่เห็นด้วยกับนโยบายห้ามกินเหล้า ทำไมวะ ในเมื่อเหล้ามันเป็นปรัชญาของการพักผ่อน”
การยืนยันสิทธิในการดื่ม ไม่ได้หมายถึงการเพิกเฉยต่อปัญหาสุขภาพหรืออุบัติเหตุที่แอลกอฮอล์อาจก่อขึ้น แต่คือการตั้งคำถามต่อการใช้อำนาจของรัฐ ที่เลือกควบคุมชีวิตประชาชนแบบเหมารวม แทนที่จะจัดการปัญหาเชิงโครงสร้างของตนเองอย่างตรงไปตรงมา ขณะที่ผู้มีอำนาจมองสุราเป็นปัญหาทางสังคม รงค์กลับมองมันเป็น ‘พื้นที่พักผ่อนของมนุษย์’
ผู้เขียนจึงชวนวิเคราะห์ 2 มุมมองนี้ผ่านกรอบคิด ‘เรื่องเล่าหลังม่าน’ (Hidden Transcript) ของ ‘เจมส์ ซี. สก็อต’ (James C. Scott) ที่อธิบายว่า ในทุกสังคมย่อมมี ‘เรื่องเล่าหน้าฉาก’ (Public Transcript) ซึ่งถูกประกอบสร้างโดยผู้มีอำนาจ เพื่อควบคุมพฤติกรรมของผู้คน ขณะเดียวกัน ชีวิตของประชาชนระดับล่างกลับดำเนินไปด้วย ‘เรื่องเล่าหลังฉาก’ ที่เผยความจริงอีกชุดหนึ่ง ทั้งการนินทา ด่าทอ ประชดประชัน และวิธีการต่อรองกับอำนาจอย่างเงียบ ๆ
โดยในเรื่องเล่าหน้าฉาก ฝ่ายรัฐพยายามแสดงความห่วงใยว่า กฎหมายห้ามขายสุราเป็นมาตรการเพื่อคุ้มครองสังคมและรักษาวินัยคนไทย การจำกัดเวลาการขายเป็นประโยชน์ต่อความสงบเรียบร้อย ลดปัญหาความรุนแรง และป้องกันอุบัติเหตุ ทั้งที่ยังเป็นข้อสงสัยตามที่ สส.เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ได้อธิบายว่า ต้นกำเนิดของกฎหมายดังกล่าวคือในปี 2515 ซึ่งเกิดจากยุคที่คณะรัฐประหารไม่สามารถควบคุมเจ้าหน้าที่ของตนเองได้ ข้าราชการจำนวนมากตั้งวงเหล้าในเวลาราชการจนกระทบการทำงาน แทนที่จะใช้กฎหมายลงโทษทางวินัยต่อเจ้าหน้าที่เป็นรายบุคคล รัฐกลับเลือกผลิต เรื่องเล่าหน้าฉากว่าเหล้าคือปัญหาทางศีลธรรม แล้วออกคำสั่งห้ามขายแบบครอบจักรวาล เพื่อกลบฝังความไร้ประสิทธิภาพของตนเอง
ดังนั้น เมื่ออนุญาตให้ขายสุราในช่วงบ่ายได้อีกครั้ง ผลกระทบด้านลบอาจไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่ผู้ห่วงใยสังคมหลายคนกังวล คนที่อยากตั้งวงตอนบ่าย ต่อให้รัฐสั่งห้าม เขาก็ตุนกันไว้แล้วทั้งนั้น ไม่ได้ยากอะไร แต่กลุ่มที่ถูกกระทบจริง ๆ กลับเป็นคนทำมาหากิน และนักท่องเที่ยว ลองนึกภาพนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เมื่อคืนเที่ยวหนัก ตื่นสาย ล้างหน้าออกจากโรงแรมตอนเที่ยง อยากสั่งเครื่องดื่มเย็น ๆ มากินคู่กับอาหารไทยจานแรกของวัน แต่กลับต้องพบว่าสั่งไม่ได้ เพียงเพราะถูกจำกัดเวลา ทั้งหมดนี้คือผลของมาตรการที่เกิดจากยุครัฐเผด็จการ ซึ่งไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรับใช้ประชาชน แต่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาของรัฐด้วยการไปจำกัดเสรีภาพของผู้คนแทน
ดังจะเห็นจากการเล่นคำและมุมมองที่แตกต่างกันเมื่อพูดถึงการดื่มเหล้าในแต่ละชนชั้น ‘คนรวย’ เรียกการดื่มว่า ‘เข้าสังคม’ เป็นกิจกรรมเชื่อมต่อเครือข่ายและโอกาส ‘คนชั้นกลาง’ มักใช้คำว่า ‘สังสรรค์’ เพื่อบอกว่าการดื่มคือเวลาผ่อนคลายหลังงาน ส่วน ‘คนจน’ กลับถูกมองว่าการดื่มคือ ‘การมั่วสุม’ หรือพฤติกรรมเสี่ยง ทั้งที่เป็นกิจกรรมอย่างเดียวกัน
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไปสอดรับกับเรื่องเล่าที่รัฐพยายามสร้างขึ้น ผ่านวาทกรรมง่าย ๆ อย่าง “จน เครียด กินเหล้า” แต่เมื่อย้อนมาศึกษาพฤติกรรมการดื่มจากงานวิจัยของ อาจารย์ บุญเลิศ วิเศษปรีชา เราจะพบว่า ผู้คนจำนวนมากดื่มเพราะ ‘ความสุข’ พวกเขาเพลิดเพลินกับบรรยากาศของวงสนทนา เสียงหัวเราะ และความครึกครื้นของมิตรภาพ อีกกลุ่มหนึ่งดื่มเพื่อ ‘ผ่อนคลาย’ หลังงานหนัก ใช้เหล้าเป็นพื้นที่พักใจชั่วคราวสำหรับวางภาระในแต่ละวัน ส่วนอีกกลุ่มมองการดื่มเป็น ‘เครื่องมือเชื่อมคน’ ทำให้คนแปลกหน้ากลายเป็นเพื่อน และทำให้ความสัมพันธ์ในชุมชนแน่นแฟ้นขึ้น
รงค์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในปี 2553 ว่า “คนเราดื่มเหล้าด้วยเหตุผลแตกต่างกัน คนเมืองหนาวกินเหล้าเพื่อความอบอุ่น keep warm คนเมืองร้อนกินเหล้าเพื่อให้กินข้าวได้ เหมือนฝรั่งเศสกินไวน์เพื่อชูรสอาหาร…ญี่ปุ่นกินเพื่อผ่อนคลายหลังจากสู้งานหนัก ชาวนาไทยกลับจากทำงานจนตะวันโพล้เพล้ เมียหุงข้าวไว้ให้ มีปลาก็ต้มปลา กินเหล้าสักก๊งสองก๊ง เมียกับผัวนอนหลับสบาย หรือนึกสนุกจะเอากันก่อน ก็เอาซิ ตื่นเช้าตีห้า ออกไปทำงานใหม่ นี่คือชีวิต จะบอกว่าเมาแล้วขับรถชนไม่ได้ เพราะคนอีกตั้งหลายร้อยล้านไม่ได้ขับรถชน” สอดรับกับข้อสรุปของ อาจารย์บุญเลิศ ที่พบว่าอคติทางชนชั้นมีผลอย่างมากต่อการมองพฤติกรรมการดื่ม เพราะเมื่อคนจนทำผิดมักถูกเหมารวมว่าเป็นนิสัยของ ‘คนจนทั้งหมด’ ต่างจากคนชั้นกลางที่ความผิดถูกแยกเป็นรายบุคคล ภาพจำเช่นนี้ทำให้ทั้งสื่อและงานวิชาการจำนวนมากตั้งต้นการศึกษาคนจนในฐานะ ‘กลุ่มที่ดื่มแล้วสร้างปัญหา’ คำถามที่ใช้จึงมักมุ่งไปที่ความเสี่ยงและความรุนแรง ขณะที่เมื่อศึกษาคนชนชั้นกลาง ประเด็นกลับเปลี่ยนเป็นเรื่องรสนิยม การเลือกแบรนด์ หรือวัฒนธรรมการดื่ม
นอกจากนั้น การที่รงค์ วงษ์สวรรค์มีโอกาสไปใช้ชีวิตในต่างประเทศจากแรงบีบคั้นทางการเมือง โดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เมื่อรัฐบาลหอยเริ่มสั่งปิดหนังสือพิมพ์ ความเบื่อหน่ายทำให้เขาออกเดินทางสู่ยุโรปและอเมริกาที่เปิดพื้นที่ใหม่ให้เขาเรียนรู้วัฒนธรรมการดื่มของประเทศต่าง ๆ รงค์มองการดื่มเป็นทั้งศิลปะและวัฒนธรรม เช่นว่า “เรามันนักกินเหล้าอาชีพ ชอบศึกษาเรื่องเหล้า บทบาทเหล้ากับชีวิตคนน่าสนใจ…เราควรรู้ว่าเหล้าอะไรควรกินตอนไหน บ่ายๆ กินวิสกี้ (whisky) ผสมโซดาบางๆ แทงบิลเลียดสักเกมส์ ตกเย็นดื่มไวน์ก่อนกินข้าว กินข้าวเสร็จตามด้วยคอนยัค (cognac) และบรั่นดี (brandy) 2 แก้วก่อนนอน…”
ประสบการณ์ในต่างแดนทำให้เขาตั้งคำถามกลับต่อวาทกรรมศีลธรรมของรัฐไทยที่ผูกเรื่อง ‘เหล้า’ เข้ากับ ‘บาป’ รงค์มองว่าการดื่มเป็นไม่ใช่ความเสื่อมทรามตามที่รัฐนิยาม “จะบาปได้ไง ประวัติเหล้ายังมีในชาดกเลย เป็นศิลปะชั้นสูง กว่ามนุษย์จะค้นพบเหล้าใช้เวลาหลายพันปี ประวัติเหล้าทุกที่คล้ายกันหมด คือน้ำค้างอยู่ที่คาคบ ผลไม้ตกลงไป…เกิดการหมักขึ้นมา พรานป่าไปพบเห็น ทำไมนกรื่นเริงจัง เห็นลิงตกต้นไม้ พรานป่าเลยไปกินบ้าง ปรากฏว่าอารมณ์ดี เดินร้องเพลงกลับบ้าน ชวนเมียกินข้าว กระเด้าเมียสนุกเฮฮา…เหล้าเป็นศิลปะชั้นสูง ไวน์ฝรั่งเศสยิ่งใหญ่มาก ใครที่บอกว่ารู้เรื่องเรื่องไวน์ทั้งหมด คนนั้นโหก ตำราไวน์เล่มโตเคยบอกว่า ไวน์ในโลกมีสองชนิด ชนิดที่มึงชอบกับชนิดที่มึงไม่ชอบ”
อาจสรุปได้ว่า ประวัติศาสตร์ของสุราในสังคมไทยส่วนใหญ่ล้วนถูกครอบด้วยเรื่องเล่าหน้าฉาก ที่รัฐพยายามกำหนดให้สุราเป็นปัญหาของปัจเจก ผูกมันเข้ากับศีลธรรมและความรับผิดชอบส่วนตัวของผู้ดื่ม ทว่าวาทกรรมเช่นนี้กลับทำหน้าที่บดบังปัญหาเชิงโครงสร้างที่ใหญ่กว่ามาก ทั้งระบบผูกขาด การออกกฎหมายเอื้อนายทุน และการสกัดกั้นภูมิปัญญาการผลิตสุราพื้นบ้านที่มีมานานในชุมชนต่าง ๆ ความไม่สมดุลนี้เองที่เปิดพื้นที่ให้เกิดการต่อต้านในรูปแบบของ เรื่องเล่าหลังฉาก ซึ่งปรากฏชัดในถ้อยคำและประสบการณ์ของรงค์ วงษ์สวรรค์
“การทำเหล้าขาวบ้านเราเก่งมาก แต่ถูกขัดขวาง…อย่างน้อยก็เจ้าของสัมปทานไม่ยอม เหล้าขาวอมก๋อยที่จริงหอมมาก ที่อิสานก็ดีๆหลายที่…ราชการควรเข้าไปช่วยเหลือ แต่นอกจากไม่ช่วยยังไปติดสินบนบริษัทมาจับเสียอีก…”
“หน้าสงกรานต์คนเหนือหมักเหล้าเอง เรียกเหล้าเดือน สรรพสามิตมาจับปรับแพง เห็นแล้วขยะแขยง…จับแล้วเหมือนได้ชัยชนะ ปีหนึ่งสงกรานต์ทีเขาจะต้มเหล้ากินปล่อยเขาบ้างไม่ได้เหรอวะ…ทั้งที่ตัวเองมีปืน แต่ชาวนาชาวไร่มีมือเปล่า จับแล้วคุยเท่มาก เราได้ยิน และแอบมอง อยากดูหน้าแม่ง การรังแกประชาชนเป็นความสุขของข้าราชการบางประเภท ได้เงินนำจับจากเจ้าของสัมปทาน…ซึ่งจริง ๆ แล้วรัฐบาลควรสนับสนุนเหล้าพื้นเมือง แต่ไม่ได้ ใครจะผลิตได้ต้องมีทุน 20 ล้าน ผีที่ไหนจะมี…คนจนเลยต้องกินเหล้าแพงๆ ซึ่งคุณภาพเลวๆ”
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าผลจากการทดลองปลดล็อกเวลาขายสุราจะลงเอยเช่นไร สิ่งที่สังคมไทยต้องตระหนักคือบทเรียนจากหมู่นักประวัติศาสตร์ที่คอยเตือนเราว่า การไม่รู้ประวัติศาสตร์ทำให้ตาบอดข้างเดียว แต่การรู้ประวัติศาสตร์แล้วเชื่อโดยไม่ตั้งคำถามอาจทำให้ตาบอดทั้งสองข้าง และนี่เองที่ทำให้ เรื่องเล่าหลังม่าน จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันคือเสียงเล็ก ๆ ของผู้ไร้อำนาจที่คอยรบกวนเรื่องเล่าของประวัติศาสตร์หน้าฉาก
เป็นเสียงที่ทำให้เราเห็นว่ากฎหมายควบคุมเวลาการขายสุรา ไม่ได้เกิดจากความห่วงใยต่อใครทั้งนั้น แต่คือมรดกตกค้างจาก ‘คณะรัฐประหาร’ ที่เราถูกบังคับให้แบกมากว่าครึ่งศตวรรษ เมื่อรู้ต้นตอเช่นนี้แล้ว คำถามสุดท้ายจึงเรียบง่ายและตรงไปตรงมาว่า เราจะยังยอมให้กฎหมายที่เกิดจากอำนาจนอกระบบ มาควบคุมชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คนต่อไปอีกหรือไม่?
อ้างอิง
กรพินธุ์ พัวพันธุ์สวัสดิ์. (2565). ประวัติศาสตร์และการเมืองของ “พวกขี้แพ้”: การครอบงำ อำนาจ และการต่อต้าน ในทัศนะของเจมส์ ซี สก็อตต์. วารสารสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 48(2), 83-110. https://doi.org/10.61462/cujss.v48i2.748
จาตุรงค์ สุทาวัน . (2565). “การประกอบสร้างศิลปินแห่งรัฐ”: บทสะท้อนว่าด้วยการแสดงออกทางการเมืองของศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ภายใต้ระบบรัฐราชการไทย. วารสารเศรษฐศาสตร์การเมืองบูรพา, 10(2). เข้าถึงได้จาก https://journal.lib.buu.ac.th/index.php/poleco/article/view/8338
เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร. (2568, 3 ธันวาคม). ครั้งแรกในรอบ 53 ปี - ขายสุราตอนบ่ายได้แล้ว[โพสต์บน Facebook]. เข้าถึงจาก https://www.facebook.com/photo/?fbid=1419536572870072&set=pb.100044412280117.-2207520000
บุญเลิศ วิเศษปรีชา. (2024). ท้าทายการตีตรา สู่ความเข้าใจวัฒนธรรมการดื่มสุราของคนจนเมือง. วารสารมานุษยวิทยา, 7(2).สืบค้นจาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jasac/article/view/276716
วรพจน์ พันธุ์พงศ์. (2568). เสียงพูดสุดท้าย (‘รงค์ วงษ์สวรรค์). กรุงเทพฯ: บางลำพู.
Serious Robert. (2018, 13 มีนาคม). 20 Quotes หอมกลิ่นสุรา ’รงค์ วงษ์สวรรค์ [บทความออนไลน์]. สืบค้นจาก https://seriousrobert.com