30 ก.ค. 2568 | 18:00 น.
KEY
POINTS
คำเตือน : บทความนี้มีเนื้อหาของภาพยนตร์บางส่วน และมีเนื้อหาอ่อนไหวต่อสภาพจิตใจ
First They Killed My Father หรือในชื่อไทยว่า ‘เมื่อพ่อของฉันถูกฆ่า’ อาจจะถูกวางหมวดหมู่ว่าเป็น ‘หนังสงคราม’ แต่แท้จริงแล้วกลับอยู่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘บันทึกชีวิต’ มากกว่า เกือบทั้งหมดคือเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นในกัมพูชาเมื่อปี 1975 ผ่านสายตาของ ‘หลวง ออง’ เด็กหญิงวัย 5 ขวบ ที่ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือความโหดร้ายของระบอบเขมรแดงในตอนนั้น โดย แองเจลินา โจลี กำกับหนังเรื่องนี้และฉายเมื่อปี 2017 สร้างอ้างอิงจากหนังสืออัตชีวประวัติของหลวง ออง เมื่อนำมาทำในเวอร์ชันภาพยนตร์ หนังไม่เพียงหยิบเอาเหตุการณ์ทางการเมืองมาเล่าแบบด้านเดียว หากแต่ใช้สายตาของเด็กหญิงคนหนึ่งเป็นเลนส์สะท้อนโศกนาฏกรรมระดับประเทศ
นั่นทำให้ภาพยนตร์ First They Killed My Father ไม่ใช่แค่ฉายให้ ‘มองเห็น’ เพียงสงครามในกัมพูชา หนังยังฉายให้เห็น ‘ความรู้สึก’ จากสงครามในระดับมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ในสถานการณ์ตอนนั้น ไม่มีพื้นที่แม้แต่จะร้องไห้ออกมาให้ใครได้เห็น ภายใต้อำนาจที่เต็มไปด้วยการสร้างความหวาดกลัว
บทความต่อจากนี้จะพาเรากลับไปเผชิญหน้ากับสงครามที่พรากทั้งความรัก ความหวัง และตัวตนของเด็กตัวเล็กๆ ไปอย่างเลือดเย็น ผ่านสายตาของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยขอให้สงครามเกิดขึ้นเลย….
ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องแบบไร้คำอธิบายเชิงประวัติศาสตร์อย่างละเอียด แต่ทำให้ผู้ชมค่อยๆ ประกอบร่างสถานการณ์ผ่านการมองเห็นของตัวละคร ‘หลวง ออง’ ซึ่งยังเป็นเด็กเล็กที่อายุยังน้อยเกินกว่าจะเข้าใจคำว่า ‘อุดมการณ์’ หรือ ‘การปฏิวัติ’ แต่ตลอด 2 ชั่วโมงกว่าๆ ของหนังเรื่องนี้ทำให้สัมผัสและรับรู้ถึงความกลัว ความพรากจาก ความไม่แน่นอนของชีวิตได้อย่างแหลมคม ผ่านความเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับ ‘เครื่องแบบใหม่’ ของผู้กุมอำนาจในยุคเขมรแดง รวมถึงทำให้เห็น ‘การยึดครอง’ และ ‘การใช้แรงงาน’ ในค่ายชนบทที่ถูกอ้างว่าไปอยู่แล้วจะรอดปลอดภัย
ในหนังยังทำให้เห็นชีวิตในทุกๆ วัน ที่เต็มไปด้วยการปรับตัว การเอาตัวรอด และการเฝ้ารอแบบไม่มีจุดหมายของเด็กคนหนึ่ง ต้องอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีคำว่ารัฐ แม้จะมีความรักจากครอบครัวอยู่ในช่วงหนึ่ง แต่พบว่าความรักที่มีนั้นไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไป รวมถึงเด็กต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยแทบจะ 24 ชั่วโมง แม้แต่การเจ็บป่วยหรือหิวโหยยังกลายเป็นความผิดบาปหรืออาจทำให้ต้องจบชีวิตลง
“อังการ์*คือพ่อแม่ของพวกคุณ” หนึ่งในคำปลุกระดมกลางค่ายเยาวชนของเขมรแดง ซึ่งภาพยนตร์ First They Killed My Father ไม่ได้หยุดแค่การพาย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ปี 1975 ด้วยภาพของการล่มสลายของกรุงพนมเปญ กัมพูชาเท่านั้น หากแต่ยังเผยให้เห็นกระบวนการที่เงียบงันและเฉียบขาด ในการปลูกฝังอุดมการณ์ใหม่เข้าไปในร่างกายและจิตใจของ ‘เด็กและประชาชน’ ที่ต้องดิ้นรนหนีตายจากภัยสงครามที่มีการสู้รบและปฏิวัติในตอนนั้น โดยเฉพาะเด็กกำพร้าที่ต้องกลายเป็นทรัพยากรล้ำค่าของการปฏิวัติ เพราะเด็กเหล่านี้ไม่มีครอบครัวเหลืออยู่แล้ว และพวกเขาจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะลงทุนในการพัฒนาเรื่องการสู้รบ เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะในสงครามได้
*คำว่า ‘อังการ์’ (Angkar) เป็นภาษาเขมรหรือขะแเมร์ แปลว่า ‘องค์กร’ ซึ่งเขมรแดงใช้แทนศูนย์อำนาจเบ็ดเสร็จ เป็นทั้งรัฐ พรรค ผู้นำ และพระเจ้าในเวลาเดียวกัน สำหรับเด็กในยุคนั้น ‘อังการ์’ ไม่ใช่แค่ชื่อเรียก แต่คือลมหายใจเดียวที่พวกเขาได้รับอนุญาตให้เชื่อถือได้
หนึ่งในฉากที่สั่นสะเทือนคือภาพของ ‘ค่ายเยาวชน’ ที่เขมรแดงใช้คัดกรองเด็กกำพร้าจากสงครามเพื่อนำไปฝึกเป็นทหารของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าอังการ์หรือนักรบเขมรแดง เด็กที่อยู่ในค่ายนอกจากบางคนต้องกำพร้าเพราะภัยสงครามที่พลัดพรากจากผู้ปกครองไปจากพวกเขา หรือบางคนพ่อแม่พี่น้องถูกทำให้เสียชีวิตโดยไม่สมัครใจ บางคนต้องถูกตัดขาดจากครอบครัวด้วยเหตุผลบางอย่าง บางคนถูกแยกตัวออกมานำตัวไปปลูกฝังความภักดีต่อกลุ่มเขมรแดง สิ่งที่ฉายให้เห็นในภาพยนตร์อาจหมายถึง ‘รัฐอุดมคติ’ ในสายตาของผู้นำเขมรแดงตอนนั้น
“ไปอยู่ชนบทแล้วพวกคุณจะปลอดภัย”
“ในกัมพูชาใหม่ จะไม่มีระบบธนาคาร ไม่มีการค้า ไม่มีทรัพย์สินส่วนตัว”
“ไม่มีคนรวย คนจน ไม่มีชนชั้น ตอนนี้เราทุกคนเท่าเทียมกัน”
“อังการ์คือผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ”
“อย่าได้สงสัยในตัวอังการ์”
“อังการ์ต้องการคนหนุ่มสาวที่แข็งแรง”
ถ้อยคำเหล่านี้ถูกใช้พูดกับเด็กและทุกคนที่เจอกับภัยสู้รบสงครามในตอนนั้น คือสิ่งที่หนังสื่อสารให้ได้รับรู้….
หนัง First They Killed My Father ไม่เน้นภาพความรุนแรงทางกายที่โหดเหี้ยมเท่าไหร่นัก แต่หนังเรื่องนี้กลับซ่อน ‘ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง’ ในทุกมิติของชีวิตเด็ก เพราะในแต่ละฉากเด็กทุกคนต้องห้ามร้องไห้ให้ใครเห็น โดยเฉพาะคนของอังการ์หรือเขมรแดง รวมถึงต้องไม่แสดงความอ่อนแอให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างเวียดนามหรือใครก็ตามที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรู พวกเขาต้องฝึกฝนวิชาสู้รบ กิน หลับ ตื่นในเวลาที่กำหนด และต้องทำงานในรูปแบบใช้แรงงานลักษณะเดียวกัน
หากใครขัดขืนหรือแสดงพฤติกรรมที่เป็นตัวเองเกินไป จะถูกรายงาน ปรับทัศนคติ หรือแม้แต่…ถูกทำให้เสียชีวิตในที่สุด ซึ่งสวนทางกับคำว่า ‘อังการ์คือผู้ปลดแอก’ ดูเหมือนจะเป็นคำที่ย้อนแย้งที่สุดในเรื่องนี้ เพราะแทนที่การปลดแอกจะทำให้คนเป็นอิสระ แต่กลับทำให้คนถูกบีบให้เหมือนกันทั้งหมด จนสูญเสียแม้แต่ความเป็นมนุษย์
ความน่าหดหู่ของ First They Killed My Father ไม่ใช่แค่การพรากครอบครัวไปจากกันและกัน แต่คือการ ‘พรากวัยเด็ก’ ไปตลอดกาล ผ่านการเปลี่ยนสนามเด็กเล่นให้กลายเป็นลานฝึกเพื่อเป็นทหารเด็กหรือนักรบเด็ก เมื่อดูหนังจบเราอาจไม่ได้สะอึกสะอื้นเพราะฉากความตาย หากแต่จะกลั้นน้ำตาไม่ไหวเพราะเห็นว่า ‘การเติบโต’ ของเด็กคนหนึ่งที่ควรจะงอกงามอย่างธรรมชาติ กลับถูกเร่งให้เติบโต ห้ามอ่อนแอ ห้ามเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากฟันเฟืองของภัยจากการสู้รบสงคราม เพียงเพราะความเห็นต่างของผู้มีอำนาจหรือการเมืองในสมัยนั้น
แม้หนังจะจบลงด้วยภาพของการรอดพ้นของหลวง ออง แต่ความทรงจำไม่จบลงแค่นั้น สิ่งที่เกิดขึ้นได้กลายเป็นคำเตือนกับโลกมาถึงทุกวันนี้ ยังมีด็กหลายพื้นที่ถูกปลุกระดม ถูกเกณฑ์ ถูกพรากจากครอบครัวในนามของความมั่นคงหรืออุดมการณ์ หนังเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของกัมพูชาในปี 1975 แต่คือคำถามสำคัญต่อเราทุกคน ในปี 2025 ว่า เรากำลังเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตมาเพื่ออะไร เพื่อเป็นมนุษย์คนหนึ่ง หรือเป็นเครื่องจักรอีกเครื่องในประวัติศาสตร์แห่งความรุนแรงหรือไม่
เด็กทุกคนควรมีวัยเด็ก ควรได้เรียนรู้ ควรได้เล่น ควรได้กอดแม่ ควรได้ฟังนิทานก่อนนอน ไม่ใช่เสียงระเบิดหรือได้รับรู้เหตุการณ์ความเปราะบางจากการสู้รบ รวมถึงไม่ใช่การเดินข้ามทุ่นระเบิดด้วยความกลัวตาย และไม่ใช่การฝึกเป็นทหารก่อนได้เรียนรู้การผูกเชือกรองเท้าด้วยตัวเอง โดยงานวิจัยด้านพัฒนาการสมองระบุว่า สมองของมนุษย์กว่า 90% เติบโตภายในช่วงอายุ 5 ขวบแรก นั่นหมายความว่า ประสบการณ์ชีวิตในช่วงก่อนเข้าโรงเรียนมีผลอย่างลึกซึ้งต่อโครงสร้างสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการควบคุมอารมณ์ ความจำ การเรียนรู้ ความสัมพันธ์ และทักษะการกำกับตนเอง (Executive Function)
เด็กที่เติบโตในภาวะสงคราม ไม่ว่าจะในยูเครน ซีเรีย แอฟริกา หรือกัมพูชาในยุคเขมรแดงเหมือนอย่างในหนังเรื่องนี้ ต่างเผชิญสิ่งเดียวกันคือ ความเครียดที่เป็นพิษ (Toxic Stress) ซึ่งกระตุ้นให้สมองอยู่ในโหมด ‘หนีหรือต่อสู้’ อย่างถาวร ฮอร์โมนคอร์ติซอลหลั่งในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง กระทบต่อสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ที่มีหน้าที่ควบคุมความจำ การเรียนรู้ และอารมณ์ ส่งผลให้เด็กเหล่านี้จดจำสิ่งที่ควรลืม และลืมสิ่งที่ควรเรียนรู้ ผลลัพธ์จากสงครามอาจไม่ใช่แค่พัฒนาการล่าช้า แต่คือ ‘รากลึกแห่งบาดแผลในวัยเด็ก’ ที่ส่งผลข้ามรุ่น ทำให้เด็กกลายเป็นผู้ใหญ่ที่แบกภาวะซึมเศร้า กังวล เคว้งคว้าง และในบางกรณีอาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้เด็กกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข
First They Killed My Father ไม่ได้เล่าเรื่อง ‘เด็กในสงคราม’ แบบที่เราเคยดูเท่านั้น แต่เชื่อมโยงไปถึง ‘สมองของเด็กคนหนึ่งในสงคราม’ ที่ค่อยๆ ถูกรีด ถูกกด และถูกสั่งให้ลืมว่าตัวเองเป็นใคร โดยมีเด็กหญิงหลวง ออง อายุเพียง 5 ขวบเป็นนักแสดงนำของเรื่อง ที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายของพ่อ ต่อมาถูกพรากจากครอบครัว ถูกปลูกฝังโดยกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าอังการ์หรือเขมรแดง และต้องใช้ชีวิตด้วยความกลัวอย่างไม่รู้จบ แม้ตอนสุดท้ายจะได้อยู่กับพี่น้องที่เหลืออยู่ทั้งหมด แต่ในห้วงอารมณ์และความรู้สึกของหลวง ออง ทุกภาพในหนังยังมีผลพวงของ ‘การที่สงครามเข้าไปปักหลักอยู่ในหัวใจและสมองของเด็ก’ และทำงานต่อเนื่องแม้เสียงปืนหรือระเบิดจะเงียบสงบลง
หนังไม่ได้จบที่การลี้ภัยของหลวง ออง และพี่น้องของเธอที่รอดชีวิตว่าไปอยู่ที่ตรงไหน หากแต่บอกเราว่า แม้เธอจะรอด... แต่ทุกวันนี้ยังมีเด็กอีกหลายล้านคนที่ต้องติดอยู่ในวงจรเดิม โดยไม่มีทางรู้เลยว่าการมีชีวิตปกติที่เรียกว่าครอบครัวนั้นรู้สึกอย่างไร ขณะที่เซฟ เดอะ ชิลเดรน (Save the Children) องค์กรด้านเด็กย้ำว่า เด็กไม่ควรตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง และการเกณฑ์และใช้งานเด็กในกองกำลังหรือกลุ่มติดอาวุธ ถือเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก
ดังนั้น การรับชม First They Killed My Father อาจไม่ใช่แค่การรำลึกประวัติศาสตร์กัมพูชาในยุคเขมรแดง หากเป็นการตั้งคำถามร่วมกันว่า เราในฐานะผู้ใหญ่ในโลกนี้ พร้อมแล้วหรือยังที่จะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้เด็กคนถัดไปได้มีชีวิตในพื้นที่ปลอดภัย หรือว่าเราจะปล่อยให้รุ่นต่อไปของเด็กเหล่านั้น กลายเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่สูญหายไป เพราะสงครามที่พรากพ่อของเด็กหญิงคนหนึ่งไปเมื่อปี 1975 อย่างในหนัง ที่อาจกลายเป็นพิมพ์เขียวที่ซ้ำรอยเดิมกับเด็กอีกนับล้านในวันนี้ หากเราไม่คิดเปลี่ยนแปลงหรือทำอะไรบางอย่างเลย
‘หลวง ออง’ ตัวละครในหนังเรื่องนี้ เป็นภาพแทนความเจ็บปวดของเด็กอีกกว่า 300 ล้านคนในทุกวันนี้ ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่สู้รบสงคราม แม้หลายภาคส่วนจะรู้ดีว่า ‘ทหารเด็ก’ ไม่ควรมีอยู่บนโลกนี้ ขณะที่ในโลกที่หมุนเร็วด้วยเทคโนโลยีและคำว่า ‘ความก้าวหน้า’ ยังพบเด็กหลายคนยังคงใช้ชีวิตในจังหวะของสงครามที่ไม่ใช่แค่สงครามในหน้าจอ แต่เป็นสงครามในชีวิตจริงที่พรากทั้งครอบครัว ความฝัน และวัยเยาว์ไปอย่างไม่มีวันได้คืนกลับมา
รายงานจาก เซฟ เดอะ ชิลเดรน (Save the Children) เปิดเผยว่า โลกทุกวันนี้ยังมีเด็กมากกว่า 300 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 8 ของเด็กทั่วโลกที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้งและสงคราม ซึ่งตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกเกณฑ์เป็นทหารเด็ก (Child Soldiers) โดยกองกำลังติดอาวุธของรัฐ และกลุ่มที่เห็นต่างที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ยังพบอีกว่ามีเด็กหญิงในพื้นที่เหล่านี้ราว 15% ต้องเผชิญความรุนแรงทางเพศ ถูกล่อลวงให้เป็นสายลับ หรือแม้กระทั่งระเบิดพลีชีพ แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะระบุจำนวนที่แน่ชัด แต่…องค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) เผยว่าในปี 2563 พบจำนวนทหารเด็กโดยเฉพาะในกลุ่มกองกำลังติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐเพิ่มขึ้นกว่า 10% แม้ในช่วงที่ทั่วโลกเรียกร้องให้ ‘หยุดยิง’ เพื่อรับมือกับโรคระบาดโควิด-19 แต่สถานการณ์ความรุนแรงกลับยังคงดำเนินต่อในหลายประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และภูมิภาคแอฟริกาแถบซาเฮล
ขณะที่องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (United Nations Children’s Fund: UNICEF) ยังระบุเพิ่มเติมว่า ทวีปแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลางคือพื้นที่ที่มีจำนวนทหารเด็กมากที่สุดในโลก โดยมีเด็กมากกว่า 21,000 คน ถูกเกณฑ์เข้าร่วมความขัดแย้ง เด็กอีก 3,500 คน ถูกลักพาตัว และกว่า 2,200 คน กลายเป็นเหยื่อของความรุนแรงทางเพศ นี่ยังไม่นับรวมโรงเรียนและโรงพยาบาลอีกกว่า 1,500 แห่ง ที่ถูกโจมตี จน ‘พื้นที่ปลอดภัย’ กลายเป็นคำลวงในชีวิตจริง และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) ระบุว่า การเกณฑ์เด็กเข้าสู่กองกำลังติดอาวุธ ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบของแรงงานเด็กที่เลวร้ายที่สุด ไม่ต่างจากการค้ามนุษย์หรือการแสวงประโยชน์ทางเพศ
โดยส่วนใหญ่เด็กที่กลายเป็นทหาร มักไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีทางเลือก และมักเป็นเด็กที่ยากจนและเปราะบางที่สุดในสังคม เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น ทักษะในการต่อสู้กลับเป็นสิ่งเดียวที่มีติดตัว ขณะที่ภาวะซึมเศร้า ความหวาดกลัว และความไม่เชื่อใจโลก กลายเป็นมรดกที่สงครามฝากไว้กับเด็ก เด็กที่ยังไม่รู้จักคำว่าอุดมการณ์ แต่ถูกผลักให้ช่วงชีวิตหนึ่งต้องกลายเป็นผู้รับใช้ให้กับภัยสู้รบสงคราม
สุดท้ายหนึ่งในความกล้าหาญของหนังเรื่องนี้ คือการเลือกเล่าเรื่องด้วยภาษาเขมรตลอดทั้งเรื่อง โดยใช้นักแสดงท้องถิ่นทั้งหมด แม้ผู้กำกับจะเป็นชาวอเมริกันชื่อดังอย่างแองเจลินา โจลี แต่เธอกลับถอยตัวเองออกจากบทสนทนา และเปิดพื้นที่ให้เรื่องเล่าของชาวกัมพูชาได้เป็นเจ้าของเรื่องของตัวเองอย่างแท้จริง มากกว่านั้น หนังยังใช้ ‘ความเงียบ’ ได้อย่างทรงพลัง หลายฉากไม่มีคำพูดใดๆ แต่เสียงลมหายใจของตัวละคร เสียงของการก้าวเดิน หรือเสียงระเบิดที่ดังกระชั้นในบางฉาก ล้วนบอกเล่าได้มากกว่าประโยคใดในบทพูด เงียบ… แต่เจ็บปวด เงียบ… แต่เปี่ยมไปด้วยเสียงสะท้อนของอดีตที่ไม่เคยจาง
แม้หนังเรื่องนี้จะสร้างจากเรื่องจริงที่เวลาผ่านมาหลายสิบปีแล้วตั้งแต่ยุคเขมรแดง แต่ First They Killed My Father ชี้ให้เห็นว่าความทรงจำของการสู้รบสงครามยังไม่จบลง สิ่งนี้ยังแทรกซึมอยู่ในสายเลือดของผู้รอดชีวิต รุ่นลูก รุ่นหลาน และในโครงสร้างสังคมของกัมพูชาปัจจุบัน ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่การรำลึกถึงอดีต แต่คือการทบทวนความเป็นไปได้ของอนาคตในสังคม ที่เราต้องเคารพต่อเสียงของผู้ถูกทำให้ไร้เสียง สังคมที่โอบรับและเปิดพื้นที่ให้ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีแค่ผู้ชนะหรือผู้แพ้ หรือผู้นำเท่านั้นที่เป็นคนกุมอำนาจหรือพูดได้
“ไม่อยากตาย” คือเสียงที่อาจไม่ถูกเปล่งออกในหนังเรื่องนี้จากเด็กและทุกคน แต่ตลอดทั้งเรื่องได้สะท้อนผ่านแววตาและลมหายใจของหลวง ออง และผู้คนอื่นๆ ในทุกฉาก หนังเรื่องนี้เมื่อดูแล้วอาจจึงไม่ใช่แค่การดูหนังเพื่อรู้ว่าทุกคนหนีรอดหรือไม่ แต่เพื่อเข้าใจว่าทุกคนรอดมาเพื่ออะไร และนั่นคือพลังของหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้ผู้ชมทุกคนกลับมาถามตัวเองว่า ในสงครามที่เราไม่ได้เลือก เราสูญเสียอะไรไป และความเงียบใดในประวัติศาสตร์ที่เราควรจะ “ได้ยิน” เสียที
เรื่อง : พุทธชมพู
ภาพ : IMDb
ข้อมูลอ้างอิงสถิติและวิชาการ