จากเส้นขอบฟ้าถึงจักรวาลในดอกไม้ ถอดรหัสภาษาศิลปะของ ‘จอร์เจีย โอคีฟ’

จากเส้นขอบฟ้าถึงจักรวาลในดอกไม้ ถอดรหัสภาษาศิลปะของ ‘จอร์เจีย โอคีฟ’

‘จอร์เจีย โอคีฟ’ (Georgia O’Keeffe) ถ่ายทอดธรรมชาติธรรมดาให้กลายเป็นจักรวาลทางศิลปะ ด้วยสายตาที่ซื่อตรง กล้าหาญ และไม่เหมือนใคร เธอคือ ‘Mother of American Modernism’ ผู้เปลี่ยนวิธีที่โลกมองดอกไม้ ทิวทัศน์ และความงามที่อยู่รอบตัว

KEY

POINTS

เคยสงสัยไหมว่าทำไมภาพวาดดอกไม้ธรรมดา ๆ ถึงกลายเป็นผลงานศิลปะที่ทรงอิทธิพลและถูกตีความไปต่าง ๆ นานา? เรื่องราวของ ‘จอร์เจีย โอคีฟ’ (Georgia O’Keeffe 1887-1986) สตรีผู้ได้รับสมญานาม ‘Mother of American Modernism’ มีคำตอบซ่อนอยู่ในการมองโลกที่ไม่เหมือนใครของเธอ

ผลงานสวยงามของเธอ เป็นการรื้อและสร้างวิธีการมองธรรมชาติขึ้นใหม่ ให้ผู้ชมเผชิญหน้ากับรายละเอียดที่เคยมองผ่านในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นกลีบดอกไม้ขนาดใหญ่ที่บานเต็มเฟรม ภูเขาและเนินทรายในนิวเม็กซิโกที่สงบนิ่งเหมือนคลื่นที่หยุดกลางอากาศ หรือเส้นขอบฟ้าของท้องฟ้าตะวันตกที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

จอร์เจีย ใช้พื้นที่ว่าง (space) และรูปทรง (form) อย่างกล้าหาญ เธอตัดทอนองค์ประกอบที่ไม่จำเป็นออกไป จนเหลือเพียงโครงสร้างบริสุทธิ์ และขยายบางส่วนจนเต็มผืนผ้าใบ วิธีนี้ไม่เพียงเปลี่ยนมิติของภาพ แต่ยังเปลี่ยนมิติการรับรู้ของผู้ชม จากการ ‘มองเห็น’ เป็นการ ‘มองเข้าไปในแก่น’ ของมัน

แต่เส้นทางสู่ความเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดของศตวรรษ ไม่ได้เริ่มต้นในห้องสตูดิโอ หรือแกลเลอรีในมหานครนิวยอร์ก หากมาจากเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อ ‘ซัน แพรรี’ (Sun Prairie) รัฐวิสคอนซิน พื้นที่เกษตรกรรมอันกว้างใหญ่ ซึ่งดูเหมือนจะไร้ขอบเขต 

ที่นั่น เด็กหญิงคนหนึ่งใช้สายตาซึมซับเส้นขอบฟ้า โค้งลาดของผืนดิน และความเงียบที่กว้างจนเหมือนจะได้ยินเสียงของอากาศ ประสบการณ์เหล่านี้สร้างความทรงจำในวัยเยาว์ และยังวางรากฐานให้แก่ ‘จิตสำนึกเชิงทัศนะ’ (visual consciousness) ที่จะขับเคลื่อนผลงานศิลปะของเธอไปตลอดชีวิต

เส้นขอบฟ้า: ภูมิทัศน์แห่งชีวิตแรกเริ่ม

สำหรับ จอร์เจีย โอคีฟ ภาพแรก ๆ ที่ฝังลึกในความทรงจำ ไม่ใช่ภาพคน หรือ บ้าน หากเป็นภาพของทุ่งกว้างที่บ้านเกิด ทุ่งธัญพืชทอดยาวเหมือนผืนหิมะสีเหลืองทองในฤดูใบไม้ผลิ ถูกไถพรวนเป็นลวดลายสลับกับแปลงดินที่เริ่มผลิยอดเขียว

ในยุคนั้น ซัน แพรรี เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่เปิดโล่งสุดสายตา ไม่มีต้นไม้หรือพุ่มไม้หนาแน่นมาขวาง สายตาของผู้คนจะถูกดึงไปหาจุดเดียวเท่านั้น นั่นคือเส้นขอบฟ้าที่เป็นเหมือนรอยต่ออันทรงพลังระหว่างแผ่นดินกับท้องฟ้า ที่ซึ่งระยะห่างไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เต็มไปด้วยพลังงานและความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย

ภูมิทัศน์แบบนี้ ไม่เพียงสร้างความประทับใจทางสายตา หากยังฝังแน่นลงในความรู้สึกและความคิดของเด็กหญิงคนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว คือบทเรียนแรกเกี่ยวกับ space ว่า ‘พื้นที่ว่าง’ ไม่ใช่สิ่งที่เหลืออยู่หลังจากเติมสิ่งอื่น ๆ เข้าไป แต่เป็นองค์ประกอบที่มีน้ำหนักเท่าเทียมกับรูปทรง (form) บนผืนภาพ 

ท้องทุ่งกว้างใหญ่ไพศาล ไม่ต่างจาก ‘สตูดิโอเปิดโล่ง’ แห่งแรก ที่สอนให้เธอรู้จักภาษาของเส้น พื้นที่ และแสง ก่อนที่เธอจะรู้จักคำเหล่านี้เสียอีก และจากเส้นขอบฟ้าที่ทอดยาวไม่สิ้นสุดนี้เอง เส้นทางสู่การเป็นศิลปินค่อย ๆ เริ่มก่อตัวขึ้นในใจเธอ

การตั้งธง “I’m going to be an artist”

ในช่วงวัยรุ่นตอนต้น จอร์เจีย ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจาก ซัน แพรรี อย่างสิ้นเชิง เมื่อเธอเข้าไปเรียนในเมืองที่ใหญ่กว่า บรรยากาศในโรงเรียนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงฝีเท้าวิ่ง และการหยอกล้อของเพื่อน ๆ ที่ออกไปเล่นนอกอาคาร ในวันหนึ่งขณะที่เธอยืนอยู่ในห้องเรียน และมองผ่านหน้าต่างออกไป เห็นเพื่อน ๆ กำลังเล่นกันอย่างอิสระ เธอหันไปถามเพื่อนสนิทชื่อ ‘เลนา’ (Lena) ว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เลนา ตอบอย่างลังเล ก่อนจะถามกลับมาว่า “แล้วเธอล่ะอยากเป็นอะไร?”

คำตอบที่ผุดขึ้นของ จอร์เจีย เป็นภาพในใจที่ชัดเจน “ฉันจะเป็นศิลปิน” เธอกล่าวประโยคนี้ออกไปอย่างมั่นคง 

ในเวลานั้น เธออาจยังไม่รู้แน่ว่า เส้นทางของศิลปินหมายถึงอะไร ไม่รู้ว่าศิลปะของเธอจะมีรูปแบบแบบไหน หรือผู้คนจะมองมันอย่างไร แต่ความรู้สึกนี้เป็นเหมือน ‘การตั้งธง’ ที่ไม่เคยลดทอนลงเลยตลอดชีวิต หลังจากวันนั้น เธอไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้อื่น ความตั้งใจนี้ฝังรากลึกเหมือนเมล็ดพันธุ์ในดินดี รอเพียงเวลาที่จะงอกงาม

สิ่งที่น่าสังเกตคือ บุคลิกภาพของ จอร์เจีย ในวัยนี้ สอดคล้องกับคำประกาศนั้นอย่างสมบูรณ์ เธอเป็นคนเก็บตัวพอสมควร ไม่คล้อยตามกลุ่มใหญ่ ไม่ยอมให้สิ่งรอบตัวกำหนดรสนิยมของเธอง่าย ๆ ความเป็นตัวของตัวเองนี้ คือการวางรากฐานของตัวตนที่ชัดเจน ในวิถีของความเป็นศิลปิน

ภาษาศิลปะ: การตัดทอนและขยายธรรมชาติ

หนึ่งในความลับของภาษาภาพ ที่ทำให้ จอร์เจีย โอคีฟ แตกต่างจากศิลปินร่วมยุค คือวิธีที่เธอมองสิ่งเล็ก ๆ ในธรรมชาติ แล้วขยายให้กลายเป็นจักรวาลของตัวเอง เธออธิบายแนวคิดนี้อย่างตรงไปตรงมาว่า “เมื่อคุณถือดอกไม้ไว้ในมือและมองมันอย่างตั้งใจ มันจะกลายเป็นโลกทั้งใบของคุณในชั่วขณะนั้น” 

สำหรับ จอร์เจีย การมองดอกไม้ ไม่ใช่การมองผ่าน หากเป็นการหยุดและให้ความสนใจอย่างหมดจด จนรายละเอียดเล็กที่สุดกลายเป็นศูนย์กลางของโลกในขณะนั้น ภาพในใจของเธอ ไม่เพียงถ่ายทอดดอกไม้ตามที่ตาเห็น แต่ดึงเอารูปทรง เส้นโค้ง เงา และการไล่สีที่ซ่อนอยู่ออกมาให้ชัดเจนกว่าที่ผู้ชมเคยสัมผัสในชีวิตจริง

แนวทางนี้เริ่มต้นจากการสังเกตที่ละเอียดและซื่อตรงต่อความรู้สึก ก่อนจะแปลงเป็นการตัดทอนสิ่งรอบข้างออกไปทั้งหมด เหลือเพียงองค์ประกอบที่จำเป็นที่สุด กลีบที่โค้งราวคลื่น ผิวเนื้อดอกที่นุ่มเหมือนผ้า หรือเส้นขอบของเงาที่บิดตัวราวกับลมหายใจของสิ่งมีชีวิต เธอขยายองค์ประกอบเหล่านี้จนเต็มผืนผ้าใบ ทำให้ผู้ชมไม่สามารถมองภาพดอกไม้ของเธอเหมือนดอกไม้ในแจกันได้อีกต่อไป 

กระบวนการนี้ สะท้อนความเข้าใจเรื่อง space และ form ที่เธอซึมซับมาตั้งแต่ ซัน แพรรี ความว่างไม่ได้เป็นแค่ฉากหลัง แต่มีน้ำหนักเท่ากับตัวแบบ และสร้างแรงดึงดูดสายตาได้พอ ๆ กับสีและเส้น เธอใช้พื้นที่ว่างรอบกลีบดอกไม้หรือเนินเขาเป็น ‘เสียงเงียบ’ ที่ทำให้รูปทรงหลักเด่นชัดขึ้น

ผลลัพธ์คือ ศิลปะที่เปลี่ยนวิธีที่ผู้ชมมองธรรมชาติ ภายใต้สายตาของ จอร์เจีย ดอกไม้ไม่ใช่เพียงความงามเล็ก ๆ บนโต๊ะ แต่เป็น ‘เอกภพ’ ที่เปิดโอกาสให้เรามองเข้าไปและสำรวจ อย่างที่เธอเคยมองด้วยสายตาและหัวใจทั้งหมดของเธอ

ผลงานที่เปลี่ยนวิธีที่โลกมองธรรมชาติ

ผลงานของ จอร์เจีย โอคีฟ ไม่ได้เป็นเพียงภาพสวยงามในแกลเลอรี แต่เป็นการท้าทายวิธีมองโลกของผู้คน และเปลี่ยนประสบการณ์การชมศิลปะให้แตกต่างจากเดิม การเข้าใจมรดกทางศิลปะของเธอ ต้องมองผ่านผลงานสำคัญที่เป็นหมุดหมาย ทั้งในแง่ความคิดสร้างสรรค์และอิทธิพลทางวัฒนธรรม

1. Black Iris (1926)

ในบรรดาผลงานดอกไม้ที่เธอวาด Black Iris คือหนึ่งในภาพที่ถูกพูดถึงมากที่สุด ภาพนี้เป็นการขยายดอกไอริสจนกลีบสีเข้มแทบเต็มเฟรม ทำให้ผู้ชมต้องเผชิญหน้ากับโครงสร้างและเส้นโค้งของมันในระดับที่ตาเปล่าแทบไม่เคยสังเกต นักวิจารณ์บางคนตีความเชิงสัญลักษณ์ทางเพศ แต่จิตรกรตอบโต้อย่างชัดเจนว่าเธอเพียงต้องการให้ผู้ชม “เห็นในสิ่งที่ฉันเห็น” ให้มองดอกไม้อย่างที่เธอมอง ไม่ใช่ผ่านกรอบความคิดที่ถูกครอบไว้

จากเส้นขอบฟ้าถึงจักรวาลในดอกไม้ ถอดรหัสภาษาศิลปะของ ‘จอร์เจีย โอคีฟ’

2. Radiator Building - Night, New York (1927)

ผลงานนี้พิสูจน์ว่า จอร์เจีย ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่กับธรรมชาติเท่านั้น เธอถ่ายทอดอาคารสูงใจกลางนิวยอร์กยามค่ำ ด้วยมุมมองที่ผสมความแข็งแกร่งของสถาปัตยกรรม กับความลึกลับของแสงและเงา เส้นสายของตึก Radiator Building และแสงไฟที่ตัดกับความมืด แสดงให้เห็นว่า ‘space’ และ ‘form’ ที่เธอใช้ในดอกไม้และภูมิทัศน์ สามารถปรับใช้กับเมืองใหญ่ได้เช่นกัน

จากเส้นขอบฟ้าถึงจักรวาลในดอกไม้ ถอดรหัสภาษาศิลปะของ ‘จอร์เจีย โอคีฟ’

3. Jimson Weed / White Flower No. 1 (1932)

ดอกไม้ขาวที่ดูเรียบง่ายนี้ กลายเป็นผลงานที่สร้างประวัติศาสตร์ในปี 2014 เมื่อถูกประมูลไปด้วยมูลค่าสูงที่สุดสำหรับงานศิลปะโดยศิลปินหญิงในเวลานั้น (ราว 44 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) องค์ประกอบของภาพเรียบตรงแต่ทรงพลัง กลีบดอกที่ขยายใหญ่จนขอบภาพแทบล้น ทำให้ความงามของธรรมชาติถูกยกระดับจากความธรรมดาสู่ความสง่างามเหนือจริง

จากเส้นขอบฟ้าถึงจักรวาลในดอกไม้ ถอดรหัสภาษาศิลปะของ ‘จอร์เจีย โอคีฟ’

4. Sky Above Clouds IV (1965)

ในบั้นปลายชีวิต จอร์เจีย หันกลับไปหาแรงบันดาลใจดั้งเดิมอีกครั้ง กับ ‘เส้นขอบฟ้า’ ผลงาน Sky Above Clouds IV เป็นผืนภาพขนาดใหญ่ที่สร้างจากมุมมองบนเครื่องบิน เห็นทะเลเมฆทอดไกลไปจนสุดสายตา เส้นขอบฟ้าที่เคยอยู่ใน ซัน แพรรี กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เปลี่ยนมุมมองไปจากเดิม เป็นการปิดวงจรทางศิลปะและชีวิตจากทุ่งกว้างในวัยเด็ก สู่ท้องฟ้าไร้ขอบเขตในบั้นปลาย

จากเส้นขอบฟ้าถึงจักรวาลในดอกไม้ ถอดรหัสภาษาศิลปะของ ‘จอร์เจีย โอคีฟ’

มรดกของ Mother of American Modernism

เมื่อมองย้อนกลับจาก Sky Above Clouds IV ที่เต็มไปด้วยทะเลเมฆในบั้นปลายชีวิต สู่เส้นขอบฟ้าของ ซัน แพรรี ในวัยเด็ก เราจะเห็นเส้นทางที่ต่อเนื่องอย่างแม่นยำราวกับถูกขีดไว้ล่วงหน้า เส้นทางที่เริ่มจากการเฝ้าดูพื้นที่ว่างระหว่างแผ่นดินกับท้องฟ้า การประกาศตัวตนด้วยน้ำเสียงมั่นคงในวัยรุ่น การพัฒนาภาษาภาพจากการตัดทอนและขยายธรรมชาติ และการสร้างผลงานที่เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนมองโลก

อิทธิพลของ จอร์เจีย โอคีฟ ไม่ได้หยุดอยู่ที่ขอบเฟรมภาพดอกไม้ขยายใหญ่ หรือเส้นขอบฟ้ากว้างไกล หากแต่แทรกซึมอยู่ในจิตวิญญาณของศิลปินหญิงรุ่นหลัง ที่ต่างมองเธอเป็นสัญลักษณ์ของการก้าวข้ามข้อจำกัด และการนิยามความเป็นศิลปินในแบบของตนเอง

‘แอ็กเนส มาร์ติน’ (Agnes Martin) ศิลปินแนวมินิมัลลิสม์ ผู้มีผลงานเงียบงามเฉียบคม เคยยอมรับว่าเธอได้รับแรงบันดาลใจจากความนิ่ง ความซื่อตรง และความเปล่งแสงบางอย่างที่ไม่ต้องการพิสูจน์ของ จอร์เจีย โอคีฟ ซึ่งเธอเห็นว่าเป็นคุณสมบัติที่ ‘ทรงพลัง’ แม้รูปแบบทางศิลปะของทั้งสองจะต่างกัน แต่เธอก็เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของภาพภายในจิตใจมากกว่าความอึกทึกของโลกภายนอก

ด้าน ‘จูดี ชิคาโก’ (Judy Chicago) ศิลปินเฟมินิสต์ระดับตำนาน ผู้สร้างงาน The Dinner Party (1979) เพื่อรำลึกถึงสตรีผู้ทรงอิทธิพลในประวัติศาสตร์โลก ได้จัดวางชื่อของ จอร์เจีย โอคีฟ อย่างภาคภูมิในผ้าปักที่เป็นหนึ่งใน ‘แขกเกียรติยศ’ ของงานอินสตอลเลชั่น ที่ใช้เวลาถึง 6 ปีในการสร้างสรรค์ เธอเคยกล่าวว่า “โอคีฟ เปิดทางให้เรากล้าที่จะเป็นผู้หญิงอย่างเต็มตัว ยิ่งใหญ่ เด็ดเดี่ยว และไม่ต้องขอโทษใคร”

บทวิเคราะห์ของนักประวัติศาสตร์ศิลป์ยุคใหม่จำนวนมากยืนยันว่า โอคีฟ ไม่เพียงเปิดประตูให้ศิลปินหญิงรุ่นต่อมาได้เข้ามายืนอยู่ในพื้นที่แห่งศิลปะร่วมสมัยเท่านั้น แต่เธอยัง เปลี่ยนวิธีที่เรามองโลกธรรมชาติ ด้วยสายตาที่ซื่อตรงและกล้าเปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวอย่างไม่อ้อมค้อม ผลงานของเธอ ทำให้ผู้ชม “มองธรรมชาติในมุมใหม่” เห็นสิ่งคุ้นเคยราวกับเพิ่งพบเป็นครั้งแรก

นี่คือแก่นแท้ของจิตรกรที่มีอิทธิพลยืนยาวมาจนถึงเวลานี้ เธอสร้างวิธีการมองภาพขึ้นใหม่ โดยให้การชมดอกไม้ ตึก หรือทิวทัศน์ กลายเป็นประสบการณ์ตรง ระหว่างผู้ชมกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ครั้งต่อไปที่คุณเห็นดอกไม้ ก้อนเมฆ หรือแม้แต่ตึกสูง ลองหยุดมองให้นานขึ้นอีกสักนิด บางทีคุณอาจค้นพบ ‘จักรวาล’ ในแบบของจิตรกรคนนี้ที่ซ่อนอยู่ในสิ่งรอบตัวคุณก็เป็นได้

มรดกของ จอร์เจีย โอคีฟ ไม่ได้อยู่เพียงแค่ในพิพิธภัณฑ์หรือหนังสือศิลปะเท่านั้น แต่อยู่ในสายตาของศิลปินรุ่นต่อ ๆ มา ที่ใช้พื้นที่ว่าง เส้นขอบฟ้า และรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นจุดตั้งต้นของการสร้างสรรค์ เธอเป็นผู้เปิดประตูให้เรามองโลก ด้วยสายตาที่เปิดกว้างกว่าเดิม ลึกกว่าเดิม และไม่เหมือนเดิม

 

เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์

ภาพ: www.okeeffemuseum.org

 

ที่มา:

Robinson, Roxana. Georgia O’Keeffe: A Life. Open Road Integrated Media, 1989.

Georgia O’Keeffe Museum. Georgia O’Keeffe. https://www.okeeffemuseum.org/