13 ส.ค. 2568 | 09:59 น.
KEY
POINTS
ในสายตาของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ภูเก็ต คือ ‘เกาะสวรรค์’ หนึ่งในหมุดหมายที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต แต่สำหรับนักวาดภาพสเก็ตช์ จำนวนกว่า 800 คน จาก 26 ประเทศ ซึ่งกำลังจะมารวมตัวกันที่ภูเก็ต ระหว่างวันที่ 14-17 เดือนสิงหาคม 2568 พวกเขาไม่ได้มองไข่มุกแห่งอันดามัน เพียงผืนทรายและน้ำทะเลเท่านั้น หากแต่กำลังจะพาตัวเองเข้าสู่ ‘เมืองที่มีชีวิต’ ที่รู้จักกันในนาม ‘เมืองเก่าภูเก็ต’
ย่านเมืองเก่าที่ว่านี้ คือหัวใจของกิจกรรม ‘Asia-Link Sketchwalk Phuket 2025’ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ภายใต้ธีม ‘F.A.T.S.’ (F หมายถึง Food, A คือ Arts, T ย่อมาจาก Town และ S คือ Sustainability) ทั้งหมดนี้ คือองค์ประกอบของความมีชีวิตชีวาที่ศิลปินจากทั่วโลกจะมาร่วมกันบันทึกความทรงจำ ผ่านลายเส้นและมุมมองทางศิลปะ
ทว่า กว่าที่เมืองเก่าจะกลับมามีสีสันอีกครั้งจนเรียกความสนใจจากประชาคมโลก ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือแค่ถูกคัดเลือกให้เป็นแลนด์มาร์กชั่วคราว แต่เป็นผลมาจากการต่อสู้อันยาวนานของคนในพื้นที่ หนึ่งในนั้น คือ ‘โกดอน’ - ดอน ลิ้มนันทพิสิฐ ประธานชุมชนเมืองเก่าภูเก็ต และเครือข่าย
เขาไม่ใช่นักวาดรูป แต่เขารู้ว่าเมืองนี้ควรค่าแก่การถูกวาด
“จะทำอะไร มันต้องมีผู้นำก่อนเริ่ม...”
นี่คือคำพูดแรก ๆ ที่ โกดอน บอกกับเราในวงสนทนาที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของอดีตและอนาคต ก่อนที่จะพูดถึงโครงการ ‘ถนนคนเดิน’ หรือ กฎหมาย ‘เทศบัญญัติ’ ที่ผลักดันมายาวนาน เขาเริ่มจากสิ่งพื้นฐานที่สุด นั่นคือ ‘มนุษย์’
โกดอน เชื่อว่า การขับเคลื่อนใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ต้องเริ่มจาก ‘คนดี’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงคนที่สมบูรณ์พร้อม แต่คือคนที่มีเป้าหมายร่วมกันอย่างซื่อสัตย์
“คนไม่ดีจะมารวมตัวกันก็ได้นะ... แต่พอขัดผลประโยชน์กัน มันก็พร้อมที่จะแตก”
ถัดจากคนดี เขาพูดถึง ‘คนเก่ง’ ซึ่งต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพราะความเป็นเมืองไม่อาจแก้ไขได้ด้วยคน ๆ เดียว
แต่สิ่งที่เขายกให้เป็น ‘ของหายาก’ คือ ‘คนกล้า’ หรือที่เขาวงเล็บเล่น ๆ ว่า ‘คนบ้า’ ประเภทที่กล้ายื่นหน้าออกไปเสี่ยงก่อน
“บางเรื่อง ไม่มีใครกล้าออกตัว... แต่ชีวิตเราไม่เคยมีตรงกลางหรอก เราต้องเลือก ผมอยู่ประเภทสามด้วย เป็นพวกกล้า ๆ บ้า ๆ น่ะ... เวลาเห็นอะไรที่มันควรทำ ผมก็จะบอกเลยว่า มึงทำ!”
บทสนทนาในสายวันนั้น เริ่มจากจุดเล็กที่สุดของการฟื้นฟู นั่นคือหัวใจของคนที่อยากให้เมืองกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ก่อนจะมี ‘ภูเก็ต’ อย่างที่นักท่องเที่ยวรู้จักในวันนี้ เมืองนี้เคยขับเคลื่อนด้วยเสียงของล้อเกวียน เสียงรถขนแร่ และเสียงเครื่องบดหินที่ดังสะท้อนมาจากเหมือง โกดอน ยังจำได้ดีว่าเสียงเหล่านั้น คือจังหวะชีวิตของเมืองมานานหลายสิบปี
“ตั้งแต่เราหมดยุคเหมืองแร่ไป… ประมาณปี 2525 มันไม่ใช่เลิกไปหมด แต่คือราคาแร่มันตกต่ำ” เขาย้อนอดีตให้ฟังพร้อมยกตัวอย่างว่า ทำไม ดีบุก ซึ่งเคยเป็นทรัพยากรหลักของภูเก็ต จึงค่อย ๆ หายไปจากชีวิตประจำวัน
เป็นเพราะอุตสาหกรรมใหม่ ๆ อย่าง พลาสติก หรือ อะลูมิเนียม เข้ามาแทนที่ ดังนั้น ดีบุก ซึ่งเคยใช้เคลือบกระป๋องจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป ทั้งที่เคยได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงสงครามโลก เพราะอาหารกระป๋องซึ่งอาศัยดีบุกเป็นส่วนหนึ่งของบรรจุภัณฑ์ กลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญทางทหารยุคใหม่
“ดีบุกมีทั้งโลกนะ แต่ของเรานี่แหละ ‘เพียว’... ที่อื่นถลุงกันเกือบตาย แต่ของภูเก็ตบริสุทธิ์มาก”
ไม่ได้พูดด้วยความภูมิใจ หากแฝงไปด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจเล็ก ๆ เพราะในเวลานั้น เมืองภูเก็ตพยายามตั้งหลักจากการสูญเสียรายได้หลักของจังหวัดไปอย่างไม่มีวันกลับ ความพยายามจะฟื้นเศรษฐกิจด้วยอุตสาหกรรมอื่น เช่น การถลุงแร่ตะกรันที่มีแทนทาลัมและโคลัมไบต์ก็ถูกคัดค้านอย่างรุนแรง เมื่อมีแผนจะตั้งโรงงานในเขตเมือง แม้กระทั่ง โกดอน เอง ก็เป็นหนึ่งในคนที่ออกมาต่อต้าน
“เรามีบทเรียนจากโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลที่รัสเซีย มันระเบิดไง... แล้วไอ้นี่จะเอามาตั้งในเมือง! ผมก็ออกมาประท้วงเลย”
ความเงียบของเหมือง ถูกแทนที่ด้วยเสียงเกรี้ยวกราดของชาวบ้าน และเสียงลมหายใจของเมืองที่กำลังหายไป
ไม่นานหลังจากนั้น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเริ่มเข้ามามีบทบาท คราวนี้ไม่ได้มาจากตัวเมือง หากเริ่มต้นจาก ‘ชายหาด’ ด้วยการขายมนต์เสน่ห์ของทะเล แสงตะวัน และ หาดทราย (Sea-Sun-Sand)
“ธุรกิจทั้งหมด โรงแรม ร้านอาหาร ร้านทอง ทุกอย่างมันไหลไปที่ทะเลหมดเลยนะ”
เมือง ที่เคยเป็นศูนย์กลางกลับกลายเป็น ‘ทางผ่าน’ และในวันที่ถนนถูกสร้างขึ้น เส้นทางที่เคยพาทุกคนผ่านตัวเมือง ถูกตัดออกไปจากเส้นเลือดหลักทางเศรษฐกิจ
“บายพาสน่ะ คือตัวตอกฝาโลงของเมืองเก่าเลย” โกดอน สะท้อนถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ เมืองทั่วประเทศไทย ซึ่งไม่ได้เกิดแค่เมืองเก่าของภูเก็ตเท่านั้น
รถขนนักท่องเที่ยวออกจากสนามบิน มุ่งหน้าไปยังหาดป่าตอง หรือเกาะต่าง ๆ โดยไม่ต้องผ่านใจกลางเมืองอีกต่อไป บ้านเก่าถูกทิ้งให้เป็นเพียงภาพในความทรงจำ ไม่มีใครจำเป็นต้องแวะ เทศบาลนครภูเก็ต ที่เคยมั่นใจว่าเป็น ‘พี่ใหญ่’ ของจังหวัด เริ่มประสบปัญหาด้านการจัดเก็บภาษี ร้านค้าปิดตัวลง บ้านเรือนกลายเป็นที่อยู่อาศัยเงียบ ๆ หรือถูกทิ้งร้างไปเฉย ๆ
ถึงกระนั้น เมืองเก่าก็ยังไม่ตาย โกดอน เชื่อว่ามันอาจเงียบ แต่ยังมี ‘ลมหายใจ’ อยู่ ความเงียบนั่นเองที่กลายเป็นจุดตั้งต้นของคำถามใหญ่ ถ้าไม่มีใครหันกลับมาเมืองเก่านี้อีกเลย เมืองจะตายจริง ๆ หรือไม่?
ในเมืองที่เงียบลงจนได้ยินเสียงของตัวเอง เมืองเก่าภูเก็ต มีสภาพไม่ต่างจากห้องแถวปิดไฟ รอวันโอนกรรมสิทธิ์ให้ความทรงจำ แต่ห้องแถวหนึ่งตรงหัวมุมถนน คนชื่อ โกดอน กลับเปิดไฟสว่าง และถามตัวเองว่า “บ้านกู กูไม่ทำ แล้วจะให้ใครทำ?”
ไม่ใช่คำขวัญ แต่นี่คือคำตอบที่เขามอบให้เจ้าหน้าที่เทศบาลคนหนึ่ง ในวันที่เขายัง “ไม่อยากยุ่ง” กับอะไรเลย นอกจากร้านค้าของตัวเอง
“ตอนนั้น ผมก็เปิดร้านขายของอยู่ ขายของแทบไม่ทัน... จนมีเจ้าหน้าที่เทศบาลมาชวนผมมาทำงานเมือง ผมก็มาคิดได้ว่า บ้านกู กูไม่ทำ แล้วจะให้ใครทำ?”
จากคำพูดนั้น เขาตัดสินใจเข้าไปร่วมกับการตั้ง ‘มูลนิธิเมืองเก่าภูเก็ต’ ในปี 2546 องค์กรเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะเทศบาลรู้ตัวว่าไม่สามารถเข้าไปดำเนินการในพื้นที่ของเอกชนได้โดยตรง จึงต้องอาศัยกลไกใหม่ที่สามารถทำงานแบบ ‘ไม่เป็นทางการ’ ได้อย่างจริงจัง
มูลนิธิ ไม่ได้เริ่มจาก ‘เงิน’ แต่มาจาก ‘ใจ’ ของคนในพื้นที่ ที่เริ่มรู้สึกคล้ายกันว่า บ้านเรือนของพ่อแม่ปู่ย่าตายายกำลังถูกลืม แม้กระทั่งโดยเจ้าของเอง
แต่การฟื้นเมืองไม่ใช่แค่การเอาสีไปทาหน้าตึก หรือจัดกิจกรรมอวดนักท่องเที่ยว เพราะเมืองจะฟื้นได้จริง ๆ ต้องฟื้น ‘วิธีคิดของคน’ ก่อน
“ถ้าทำกับคนจน ง่ายกว่าทำกับคนรวย... เพราะคนรวยมีการศึกษามาก รู้มาก คิดมาก เรื่องมาก”
โกดอน ไม่ได้ตำหนิ หากแต่สะท้อนปรากฏการณ์ที่เขาเผชิญมานับสิบปี ในการทำงานกับเจ้าของบ้านหลังเก่า ที่แม้จะรักบ้าน แต่ไม่ง่ายที่จะยอมให้ใครมาแตะต้อง หรือเปลี่ยนแปลงอะไรแม้แต่น้อย
แผนการนำสายไฟลงดินในย่านเมืองเก่า คือภาพสะท้อนหนึ่งของความย้อนแย้งนั้น เทศบาลใช้เวลานานกว่า 5 ปี พูดแล้วพูดอีก แต่เสียงโต้แย้งจากคนในพื้นที่กลับยังคงดังอยู่เสมอ
“บางคนบอก เสาไฟเก่านี่แหละย้อนยุคดี... เมืองอินโดฯ ยังเก็บไว้เลย”
ความคิดที่แตกต่าง ไม่ใช่ปัญหา แต่เมื่อไม่มีพื้นที่ตรงกลางให้ยอมรับว่า “ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว” เมืองก็จะติดหล่มในสิ่งที่ไม่มีวันฟื้นจริงได้ โกดอน ไม่เคยเชื่อว่าทุกอย่างต้องเหมือนเดิม เขาย้ำเสมอว่า “บางเรื่อง ไม่มีถูกหรือผิดตายตัว” การฟื้นฟูเมืองเก่าจึงไม่ใช่การจำลองอดีต แต่คือการชุบชีวิตให้ ‘ของเก่า’ อยู่ใน ‘โลกใหม่’ ได้อย่างสง่างาม
และในโลกใหม่นั้น เขายืนยันหนักแน่นพ่วงมาด้วยว่า ‘กาสิโน’ ไม่ใช่คำตอบ
“บางเรื่องเป็นสัจจะ... เหมือนพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก ตกทางตะวันตก... สำหรับผม กาสิโน มันผิดแน่” เจ้าตัวสำทับอย่างหนักแน่น
ย่านเมืองเก่าภูเก็ตเคยเป็นที่อยู่ของเถ้าแก่ พ่อค้า คหบดีผู้มั่งคั่งในอดีต ทุกวันนี้ ตึกยังอยู่ แต่คนที่เคยอยู่ ไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะพวกเขา ‘ขาย’ บ้านออกไป แต่เพราะพวกเขา ‘ออก’ ไปเอง
“คหบดีภูเก็ตทุกคน มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่เมืองเก่าหมด... ป้ายเซียนจู ป้ายบรรพบุรุษอยู่ในนี้ทั้งนั้น”
ตึกเก่าในเมืองภูเก็ต ส่วนใหญ่ไม่เคยเปลี่ยนมือ ไม่ใช่เพราะความรักในสถาปัตยกรรม หากแต่เป็นเพราะทุก ๆ บ้าน “ยังไหว้เจ้าทุกปี” ป้ายบรรพบุรุษยังอยู่ ห้องโถงยังต้องใช้งาน และครัวหลังบ้านถูกใช้ทำขนมในวันสารท
“เจ้าของเขาไม่ได้จน... แต่เขาไปอยู่ที่ชายหาดหมด ทิ้งบ้านไว้เฉย ๆ เพราะไม่รู้จะทำอะไร”
หลายหลังถูกปล่อยให้เช่า ผู้เช่าเหล่านั้นอยู่กันนาน จนคนเข้าใจผิดว่าเป็นเจ้าของบ้านจริง ๆ บางรายอยู่มา 3 รุ่น 4 รุ่น จนถึงวันที่ค่าเช่าเริ่มขยับขึ้นเรื่อย ๆ จากหมื่นห้า เป็นแสนหน้า และบางแห่ง พุ่งถึงสามแสน เจ้าของตัวจริงกลับมาพร้อมแบบแปลนใหม่ และเงื่อนไขที่ผู้เช่าหลายคนต้องเดินออกจากบ้านที่ตัวเองเคยอยู่มานาน
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ไม่ต่างอะไรกับการรื้อผนัง รื้อพื้น และรื้อวิถีชีวิตเดิมที่เคยซึมอยู่ในทุกอณูของเมือง
“ตอนนั้น เรายังไม่มีระเบียบอะไรเลย... เราเอาแบบบ้านจากปีนังมา แต่ไม่เอากฎเขามาด้วย”
โกดอน พูดถึงช่วงเวลาหนึ่งที่เมืองเริ่มตื่นตัวเรื่องการอนุรักษ์ บ้านเริ่มทาสี เสากระเบื้องเริ่มขัดเงา แต่สิ่งที่หายไปคือ ‘งอคาคี’ หรือ ‘โถงโค้งหน้าบ้าน’ ที่เคยเป็นชายคาทางเดินร่วม เชื่อมบ้านหนึ่งถึงบ้านหนึ่งอย่างต่อเนื่อง พอให้หลบแดดหลบฝน และให้ผู้คนปฏิสัมพันธ์กัน
เขาเริ่มรณรงค์ให้ทุกบ้านเปิด ‘งอคาคี’ ไม่ใช่เพื่อความสวยงาม แต่เพื่อฟื้นฟูคุณสมบัติพื้นฐานของเมืองแบบจีนโพ้นทะเล ที่รู้ว่า ‘ชีวิตคน’ ไม่ได้จบแค่กำแพงบ้านตัวเอง
“ตอนนั้น ปิดกันหมด... เราเลยเริ่มทำงานเชิงสัญลักษณ์ เปิดโค้ง เปิดใจ เปิดเมือง”
แต่การฟื้นเสน่ห์ของเมือง ไม่อาจเกิดจากโถงหน้าบ้านเพียงอย่างเดียว สิ่งที่ โกดอน ทำต่อมาในปี 2556 คือการเปิด ‘ถนนคนเดินหลาดใหญ่’ เพื่อให้เมืองมีลมหายใจ
“ผมไม่อยากให้มันกลายเป็นตลาด... ผมอยากให้มันเป็นโชว์รูมของเมือง”
โชว์รูมที่ว่านี้ ไม่ได้มีสินค้าแบรนด์หรูวางอยู่บนชั้น แต่เป็นการคัดสรรผู้ขาย ผู้แสดง และผู้มาเยือน ให้มีจังหวะ มีเสน่ห์ และมีศิลปะของการอยู่ร่วมกัน
‘หลาดใหญ่’ ไม่เหมือนตลาดนัดที่ไหนในประเทศ เพราะผู้ค้าทุกคนต้อง ‘เข้าอบรม’ ปีละหนึ่งครั้ง มีซ้อมดับเพลิง มีตรวจสอบระบบไฟฟ้า และมีกฎเข้มงวดถึงขั้น โกดอน เรียกว่า ‘กฎปาราชิก’
“ห้ามทิ้งของลงคูน้ำ... ถ้าไฟฟ้าลัดวงจรเพราะคุณ คือจบเลยนะ... โดนตัดสิทธิ์”
ในฐานะผู้ก่อตั้ง เขาลงทุนซื้อสายไฟคุณภาพดี ใช้งบเริ่มต้นจากโครงการ SML แค่สี่แสนบาท ซึ่งไม่เพียงพอ จึงต้องอาศัยเครดิตส่วนตัว เขาย้ำกับทีมงานเสมอว่า การจัด ‘ตลาด’ ต้องไม่ทำให้เมืองเก่าสูญเสียความน่าอยู่ ร้านค้าจึงถูกจัดวางให้ “ไม่ซ้ำกัน” เพื่อให้ผู้ซื้อได้เจอประสบการณ์ใหม่ทุกโซน ทุกซอย
‘หลาดใหญ่’ ไม่ใช่พื้นที่เศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่มีมิติทางวัฒนธรรมด้วย ที่นี่เป็นเวทีแจ้งเกิดของศิลปินหลายคนที่ต่อมาได้ขึ้นเวทีระดับประเทศ และกลับมาแสดงที่นี่อีกครั้ง ในฐานะ ‘ศิลปินรับเชิญ’
“ผมไม่อยากให้ใครมองว่า หลาดใหญ่คืองานแฟร์... มันคือการฟื้นเมือง”
บนถนนในเมืองที่เคยถูกใช้เป็นทางผ่าน โกดอน กับทีมงาน แปรเปลี่ยนให้เป็น ‘พื้นที่ใช้งานร่วมกัน’ ทุกคืนวันอาทิตย์ เพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิต ทีละก้าว ทีละร้าน ทีละรอยยิ้มของคนที่มาเยือน
เมื่อถามว่าอะไรคือหัวใจของการพัฒนาเมืองเก่าภูเก็ต โกดอน ตอบทันทีโดยไม่ลังเล “ชุมชนต้องเป็นตัวตั้ง” เขาเตือนเสมอว่า อย่าเพิ่งมองเสน่ห์ของเมืองเก่า ผ่านตึกแถวที่รีโนเวตใหม่ หรือคาเฟ่สีพาสเทลที่เปิดใหม่ทุกไตรมาส หากแต่ต้องมองผ่าน ‘การอยู่อาศัย’ จริง ๆ ของคนในเมือง
“มันไม่ใช่เมืองที่มีแต่ facade... คือหน้าบ้านสวย แต่ข้างในไม่มีใครอยู่ มันเศร้า”
การดึงผู้คนกลับมา ไม่ใช่แค่เรื่องของเทศกาล งานศิลปะ หรือถนนคนเดิน แต่คือการทำให้เมืองเก่ากลับมาเป็น ‘พื้นที่ชีวิต’ อย่างแท้จริง และนั่นคือเหตุผลที่ โกดอน ยังลงพื้นที่อยู่ทุกสัปดาห์ ทั้งในฐานะผู้ก่อตั้งมูลนิธิเมืองเก่า และที่ปรึกษาของชุมชนต่าง ๆ ในภูเก็ต
เขาเล่าให้ฟังถึงชุมชนถนนพังงา ที่เริ่มรวมตัวกันเพื่อจะจัดถนนคนเดินของตนเอง แต่ติดอยู่ที่เวลา เพราะวันอาทิตย์ถูก ‘หลาดใหญ่’ จับจองไปแล้ว “ผมบอกพวกเขาเลยว่า...ให้ไปทำให้สำเร็จในพื้นที่เล็ก ๆ ก่อน แล้วค่อยขยาย”
นี่คือปรัชญาแบบ small is beautiful เวอร์ชันชุมชน ที่ไม่เคยถูกสอนในหลักสูตรพัฒนาเมือง แต่คือบทเรียนจากประสบการณ์หลายสิบปีของคนที่เห็นเมือง ทั้งตอนรุ่งเรือง ตอนเงียบเหงา และตอนเริ่มฟื้น
“ทุกวันนี้เรายังไม่มีเทศบัญญัติคุ้มครองเมืองเก่า... เพราะนักการเมืองกลัวกระทบสิทธิ์ของคนรวย”
โกดอน พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า การเมืองท้องถิ่นที่ยังผูกอยู่กับอำนาจและผลประโยชน์ ทำให้การผลักดันกฎหมายเทศบัญญัติเพื่อคุ้มครองเขตเมืองเก่ายังไม่เกิดขึ้น ทั้งที่เมืองเก่าได้กลายเป็นสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมของภูเก็ตไปแล้วในสายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก
“ตอนนี้ ถ้าไม่มีอะไรคุ้มครอง... อีกหน่อยพอราคาขึ้น เจ้าของเขาก็ทุบทิ้งหมด แล้วเราจะเหลืออะไร”
ไม่ใช่คำขู่ หากแต่เป็นข้อเท็จจริงที่เมืองเก่าหลายแห่งในไทยเคยเจอมาแล้ว
นั่นคือเหตุผลที่ โกดอน ยังผลักดันแนวคิดเรื่อง ‘การปกครองพิเศษ’ สำหรับภูเก็ตอีกด้วย เพื่อให้เมืองที่มีพลวัตของตัวเอง สามารถออกแบบกติกาที่เหมาะกับท้องถิ่น ไม่ใช่รอให้ส่วนกลางเข้าใจหรืออนุมัติ
“เราไม่อยากได้แค่ท่องเที่ยว... ผมอยากเห็นภูเก็ตเป็น Health & Wellness hub มากกว่า”
เสียงของ โกดอน ชัดเจนว่า อนาคตของภูเก็ตไม่ควรฝากไว้กับธุรกิจที่วูบวาบ แต่ควรตั้งอยู่บนฐานของคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน ทั้งของคนท้องถิ่นและผู้มาเยือน
ภูเก็ตในสายตาของใครหลายคน อาจเป็นเกาะสวรรค์ที่เต็มไปด้วยหาดทราย ชายทะเล และรีสอร์ตหรู แต่หากมองลึกเข้าไปในชั้นถนนของย่านเมืองเก่า จะเห็นอีกโลกหนึ่งที่ดำรงอยู่ท่ามกลางอาคารสไตล์โคโลเนียล กลิ่นอายของชีวิตรุ่นปู่รุ่นย่า และเสียงเรียกของชุมชนที่ยังไม่เคยเงียบหาย
บทสนทนากับ โกดอน ดอน ลิ้มนันทพิสิฐ ทำให้เราเข้าใจว่า การฟื้นฟูเมืองไม่ใช่เรื่องของงบประมาณ หากคือการลงมือ ‘ดูแล’ บ้านของตัวเองอย่างจริงจัง และไม่รอให้ใครมาทำแทน ความคิดที่ว่า “บ้านกู กูไม่ทำ แล้วจะให้ใครทำ” จึงไม่ใช่แค่คำพูดสำรอกอารมณ์ หากคือคำประกาศตัวตนและความรับผิดชอบของคนที่อยู่ในเมืองนั้น
เมืองเก่าภูเก็ต ไม่ได้อยู่รอดมาถึงวันนี้ด้วยโชคชะตา หากเพราะมีคนอย่าง โกดอน และผู้คนในเครือข่ายอีกหลายชีวิต ที่ไม่ยอมให้ ‘ราก’ ของเมืองถูกถอนทิ้งไปง่าย ๆ การจัดถนนคนเดินไม่ใช่แค่ตลาดนัด แต่คือการสร้างพื้นที่พบกันของวิถีชีวิตกับอนาคต เช่นเดียวกันกับการทำให้เมืองเก่าสว่างขึ้นในยามค่ำคืน ไม่ใช่แค่ติดไฟฟ้า แต่คือการเปิดทางให้ความปลอดภัยและความหวังเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง
และในวันที่เมืองเก่าภูเก็ตกำลังจะเปิดบ้านต้อนรับศิลปินนับร้อยจากทั่วโลก ในการจัดงาน Asia-Link Sketchwalk Phuket 2025 เส้นสายของงานสเก็ตช์ที่จะถูกวาดลงบนสมุดทุกเล่ม ล้วนต้องมี ‘ราก’ อยู่ที่นี่ เมืองเก่าที่ไม่เคยเป็นของเก่า
‘เมือง’ ที่ยังมีเสียงของผู้คน และหวังจะเห็นความร่วมมือจากทุก ๆ คนที่มาเยือน ให้ช่วยกันวาดเรื่องราวใหม่ ๆ ต่อไป
สัมภาษณ์: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: ทิววัฒน์ ภัทรกุลวณิชย์, ปิติรัตน์ ยศวัฒน