logo-pwa

เพิ่ม Thepeople

ลงในหน้าจอหลักของคุณ

ติดตั้ง
ปิด

มองแนวคิดเต๋า, ชินโต, และคริสต์ใน Dragon Ball ผ่านตัวละคร จอมปีศาจพิคโกโล่ และ พระเจ้า

มองแนวคิดเต๋า, ชินโต, และคริสต์ใน Dragon Ball ผ่านตัวละคร จอมปีศาจพิคโกโล่ และ พระเจ้า

มองแนวคิดเต๋า, ชินโต, และคริสต์ใน Dragon Ball ผ่านตัวละคร จอมปีศาจพิคโกโล่ และ พระเจ้า

เคยเขียนถึงพิคโกโล่ตัวปัจจุบันในฐานะที่เป็นมนุษย์พ่อไปแล้ว ใน https://thepeople.co/piccolo-dragon-ball/?fbclid=IwAR2u_OlKhM7A3asfdhH1HRHrvFRwyPA67NKSRqTpy31BAjg2t2cpm_-OFUg แต่วันนี้จะพูดถึงจอมปีศาจพิคโกโล่ตัวต้นฉบับ รวมทั้งพระเจ้าของโลก ในฐานะเป็นตัวแทนแห่งความเชื่อเรื่องพหุศาสนาใน Dragon Ball ที่มาของจอมปีศาจพิคโกโล่นั้นก็ตามที่ผู้อ่านทราบกันดี คือเด็กชาวนาเม็กผู้หนึ่งที่ลี้ภัยออกมาจากดาวของตัวเองมาอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ และสูญเสียความทรงจำไปหมด จำเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเองได้น้อยมาก ยกเว้นจำวิธีสร้างดรากอนบอลได้แบบเลือนราง มองแนวคิดเต๋า, ชินโต, และคริสต์ใน Dragon Ball ผ่านตัวละคร จอมปีศาจพิคโกโล่ และ พระเจ้า หลังจากใช้ชีวิตในสังคมมนุษย์ไปหลายปี ชาวนาเม็กผู้นั้นทราบว่า “พระเจ้า” ของโลกกำลังจะหมดอายุขัย จึงปีนหอคอยคารินขึ้นไปวังของพระเจ้า เพื่อขอเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งพระเจ้าคนต่อไป แต่ถูกปฏิเสธเพราะยังมีจิตที่ชั่วร้ายผสมอยู่ในใจ ชาวนาเม็กผู้นั้นจึงฝึกฝนจิตใจตัวเองจนแยก “ความดี” และ “ความเลว” ออกจากกันเป็น 2 ร่างได้ ร่างดีมีแต่ความดีและสติปัญญาจึงสืบทอดเป็นพระเจ้าผู้ดูแลโลกต่อไป และสร้างดรากอนบอลของโลก ส่วนร่างเลวสืบทอดพลังต่อสู้และจิตใจที่เลวบริสุทธิ์ หนีลงมาโลกมนุษย์ กลายเป็นจอมปีศาจพิคโกโล่ สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ไม่น่าเชื่อว่าเนื้อเรื่องแค่ช่วงจอมปีศาจพิคโกโล่ไปจนถึงช่วงที่เบจิต้าบุกโลก ผู้เขียน-โทะริยะมะ อะกิระ จะสอดแทรกแนวคิดทางศาสนาเอาไว้ได้มากมายขนาดนี้ เริ่มตั้งแต่ท่าไม้ตาย “คลื่นสะกดมาร (魔封波)” ซึ่งเป็นแนวทางการจับวิญญาณร้ายไปขังหรือไล่ผี (Exorcism) ที่เห็นได้ในหลากหลายศาสนาและความเชื่อ (ของไทยก็มีจับวิญญาณไปถ่วงน้ำ เป็นต้น) แล้วก็การที่พระเจ้าและจอมปีศาจเคยเป็นตัวตนเดียวกันมาก่อนก็เป็นแนวคิดหยินหยาง (陰陽) ของลัทธิเต๋า (道教) ที่ว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมี 2 ด้าน เช่น ขาว-ดำ / สว่าง-มืด / ดี-เลว  ถ้าสังเกตเครื่องแต่งตัวของพระเจ้าและจอมปีศาจพิคโกโล่ในเวอร์ชันมังงะขาวดำต้นฉบับจะเห็นว่าแต่งตัวคล้ายกันมาก โดยพระเจ้าใส่ชุดยาวสีขาวและมีผ้าคลุมสีดำรวมทั้งมีอักษรที่หน้าอกเขียนว่า “เทพ (神)” ในขณะที่จอมปีศาจพิคโกโล่ใส่ชุดยาวสีดำและมีผ้าคลุมสีขาวรวมทั้งมีอักษรที่หน้าอกเขียนว่า “มาร (魔)” แต่พอเป็นเวอร์ชันอนิเมะทำให้การเล่นสีต่างขั้วแบบลัทธิเต๋าเพี้ยนไป กลายเป็นพระเจ้าใส่ชุดยาวสีขาวและมีผ้าคลุมสีน้ำเงินส่วนจอมปีศาจพิคโกโล่ใส่ชุดยาวสีน้ำเงินและมีผ้าคลุมสีแดงไปซะงั้น เราจะได้เห็นอีกหลายครั้งว่าชาวนาเม็กนั้นมีลักษณะนี้ชัดมากคือ หนึ่งตัวตนแยกเป็นหลายตัวตนได้ และหลายตัวตนก็กลับมารวมเป็นหนึ่งตัวตนได้เช่นกัน มองแนวคิดเต๋า, ชินโต, และคริสต์ใน Dragon Ball ผ่านตัวละคร จอมปีศาจพิคโกโล่ และ พระเจ้า อาจมีผู้อ่านเริ่มเอะใจว่าทำไม “พระเจ้า” ของโลกจึงไม่เขียนหน้าอกว่า “พระเจ้า” แต่เขียนว่า “เทพ” แทน?  ตรงนี้สามารถอธิบายได้ด้วยความเชื่อเรื่องพหุเทวนิยมของญี่ปุ่น (พหุเทวนิยมจะเชื่อว่ามีเทพเจ้าหลายองค์ ต่างจากเอกเทวนิยมที่เชื่อว่ามีพระเจ้าแค่องค์เดียว เช่นศาสนาคริสต์, ศาสนายูดาห์, และศาสนาอิสลาม)  แต่เดิมญี่ปุ่นนั้นนับถือวิญญาณของผู้ล่วงลับรวมทั้งนับถือวิญญาณที่สิงสู่อยู่ในสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่เรียกว่า “คะมิ (神)” ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่ามีคะมิอยู่ในทั้งป่าเขาลำเนาไพร ทะเล แม่น้ำ ลำธาร สายลม บ้านเรือน เรือกสวนไร่นา จนมีคำกล่าวว่า “คะมิแปดล้านองค์ (八百万の神)” คือเชื่อว่ามีคะมิอยู่นับไม่ถ้วนโดยประมาณว่าน่าจะมีสักแปดล้านองค์นั่นเอง แต่ภายหลังจากที่ได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนา, ลัทธิขงจื๊อ, และลัทธิเต๋า ทำให้ญี่ปุ่นพัฒนาแนวคิดเรื่องคะมิขึ้นจนกลายเป็นระบบศาสนาได้สำเร็จ จึงกลายเป็น ลัทธิชินโต (神道) ที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ นั่นเอง โดยที่แต่เดิมญี่ปุ่นยังไม่มีตัวอักษรเป็นของตัวเองจึงขอยืมอักษรตัว เฉิน (Shén: 神) ในภาษาจีนที่แปลว่าเทพเจ้า มาใช้เรียกคะมิของตัวเอง อักษรจีนที่ญี่ปุ่นเรียกว่าอักษรคันจิ (漢字) นั้นมีความต่างจากภาษาจีนที่ชัดเจนที่สุดคือ อักษรจีนในภาษาจีนแมนดารินในปัจจุบันมักอ่านได้เพียง 1 เสียงต่อ 1 ตัวอักษร (มีอักษรไม่มากนักที่อ่านได้เกิน 1 เสียง) ในขณะที่อักษรคันจิของญี่ปุ่นนั้นแบ่งเป็นเสียงญี่ปุ่น และ เสียงจีนโบราณ (จีนโบราณที่คนญี่ปุ่นได้ยิน ก็จะเป็นคนละเสียงกับเสียงจีนแมนดารินในปัจจุบัน) ดังนั้นอักษร 神 เวลาที่ใช้ระบุเทพของญี่ปุ่นที่อยู่ในธรรมชาติ จะออกเสียงว่า คะมิ (神) ในขณะที่ถ้าใช้ระบุลัทธิชินโตจะออกเสียงว่า ชิน (神) แต่ที่จริงหมายถึงสิ่งเดียวกันแค่ออกเสียงไม่เหมือนกันเท่านั้น แต่ความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นไปอีกเมื่อญี่ปุ่นรับคริสตศาสนาเข้ามาในอารยธรรมของตัวเอง ซึ่งตามที่กล่าวตอนต้นว่าศาสนาคริสต์นั้นเป็นเอกเทวนิยมคือเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวคือ God เท่านั้น ชาวญี่ปุ่นจึงกลายเป็นชาติที่มีความประนีประนอมในความเชื่อศาสนาอย่างมาก คือเชื่อทั้งพหุเทวนิยมว่าโลกนี้มีเทพจำนวนมากมาย เช่นมีคะมิทั้งหมดแปดล้านองค์ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเชื่อเอกเทวนิยมด้วยว่าโลกนี้มีพระเจ้าเพียงองค์เดียว จึงเกิดการแยกกันใช้ระหว่างคำว่า “เทพ” และ “พระเจ้า” โดย ถ้าเป็นคะมิในลัทธิชินโตจะเรียกเพียง “คะมิ (神)” เวลาแปลจะแปลว่า “เทพ” ในขณะที่ถ้าเป็น God ของศาสนาคริสต์ก็จะเรียกโดยมีคำปัจจัย (Suffix) ที่แสดงการยกย่อง เรียกรวมกันว่า “คะมิซะมะ (神様)” เวลาแปลจะแปลว่า “พระเจ้า” นั่นเอง ตัวตนของพระเจ้าและจอมปีศาจพิคโกโล่ใน Dragon Ball จึงแสดงให้เห็นความเชื่อทางพหุศาสนาตามที่ได้กล่าวไปแล้วทั้งเต๋า, ชินโต, และศาสนาคริสต์ หน้าอกของพระเจ้าจึงเขียนเพียง คะมิ ก็สามารถตีความได้ทั้งเป็นเทพคะมิของชินโต หรือเป็นพระเจ้าของศาสนาคริสต์ก็ได้ เพราะอักษร 神 แปลได้ทั้ง 2 แบบอยู่แล้ว เท่านั้นยังไม่พอ เทพเจ้ามังกรในเรื่อง โทะริยะมะก็ดันไปเอาความเชื่อของจีนมา จึงจงใจไม่ออกเสียงตามเสียงญี่ปุ่น แต่เรียกเทพเจ้ามังกรในเรื่องตามเสียงจีนแมนดารินมันดื้อ ๆ ว่า “เฉินหลง (神龍)” ไปอีก  มองแนวคิดเต๋า, ชินโต, และคริสต์ใน Dragon Ball ผ่านตัวละคร จอมปีศาจพิคโกโล่ และ พระเจ้า เรียกว่าเอาตำนานเทพจีน มาผสมกับชินโตและเต๋า แล้วก็มาผสมกับคริสตศาสนาอีกต่างหาก นอกจากนี้ ยังมีการแอบเนียนเอามายำรวมกับพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูอีกเล็กน้อยด้วยการเปิดตัว “ท่านเอ็นมะ (閻魔)” เจ้ายมโลกอีก (หลังภาคพิคโกโล่ ก่อนสู้กับเบจิต้าบุกโลก) ซึ่ง “เอ็นมะ” ในที่นี้มาจากภาษาสันสกฤตว่า “ยะ-มะ” หรือ ยม ในคำว่า ยมบาล นั่นเอง และมีการกล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิดด้วย ซึ่งเป็นลักษณะเด่นมากของพุทธและฮินดูที่มีร่วมกันในจุดนี้ เรียกว่านอกจากบันเทิงแล้ว ก็สามารถอ่านความเชื่อเชิงศาสนาของสังคมญี่ปุ่นผ่านงานเขียนเรื่อง Dragon Ball ได้ด้วย ทำให้ได้อรรถรสเพิ่มเติมไปกว่าเสพความสนุกอย่างเดียว ทำให้อ่านได้หลายครั้งไม่เบื่อ เพราะได้รสชาติใหม่ ๆ ทุกครั้งที่ได้อ่าน เรื่อง: วีรยุทธ พจน์เสถียรกุล