'Anthony Reid' นักประวัติศาสตร์ ผู้เปิดข้อถกเถียงใน ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

'Anthony Reid' นักประวัติศาสตร์ ผู้เปิดข้อถกเถียงใน ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แอนโทนี รีด (Anthony Reid) นักประวัติศาสตร์ผู้ปูทางศึกษาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจ้าของผลงาน Age of Commerce งานวิชาการที่สร้างผลกระทบไปยังการค้นคว้าอดีตของอุษาคเนย์ยุคแรกเริ่มสมัยใหม่

บทนำ: ‘ยุคแห่งการค้า’ (Age of Commerce) & ประวัติศาสตร์อุษาคเนย์แบบสหวิทยาการ   

‘แอนโทนี รีด’ (Anthony Reid) นักประวัติศาสตร์ตาน้ำข้าวชาวนิวซีแลนด์ ผู้ซึ่งมีบทบาทสุดท้ายเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่สหรัฐอเมริกา และเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2568 เป็นชื่อที่นักศึกษาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อ หรือไม่เคยสัมผัสกับผลงานของเขามาก่อน 

รีดเป็นเจ้าของผลงานคลาสสิคสองเล่มจบที่ได้รับการแปลถ่ายทอดเป็นภาษาไทย คือเล่มเรื่อง ‘เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคการค้า ค.ศ.1450-1680 เล่ม 1 ดินแดนใต้ลม’ แปลจาก ‘Southeast Asia in the Age of Commerce, 1450-1680, Volume 1: the Lands Below the Winds’ และ ‘เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคการค้า ค.ศ.1450-1680 เล่ม 2 วิกฤตการณ์และการขยายตัว’ แปลจาก “Southeast Asia in the Age of Commerce 1450-1680, Volume 2: Expansion and Crisis” ทั้งสองเล่มได้ผู้แปลฝีมือเยี่ยมคือ พงษ์ศรี เลขะวัฒนะ 

ทั้งสองเล่มนี้ยังถือเป็นผลงานชิ้นเอก จัดว่าเป็นมรดกล้ำค่าอันดับต้น ๆ ของหน่วยงานสนับสนุนการวิจัยที่ครั้งหนึ่งเคยฟู่ฟ่าอย่างมาก คือ “สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย” (สกว.) ซึ่งปัจจุบันถูกยุบไปแล้ว เป็นเกียรติประวัติที่ครั้งหนึ่งหน่วยงานดังกล่าวได้ให้ทุนสนับสนุนงานแปลชิ้นสำคัญระดับโลก เข้ามาสู่ชุมชนวิชาการไทย นอกนั้นสกว. ท่านไม่ค่อยอนุมัติงบประมาณให้นักแปลหรือนักวิจัยท่านใดได้ไปสร้างผลงานที่ท้ายสุดแล้วไม่มีประโยชน์เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้แบบงานทางวิทยาศาสตร์ 

ในส่วนงานของรีด แม้จะถูกแปลเป็นภาษาไทยโดยผู้เชี่ยวชาญทางภาษาที่มีความรู้ทางวิชาการก็ยังจัดว่าเป็นงานที่อ่านไม่ง่ายเลย “Age of Commerce” เต็มไปด้วยรายละเอียดข้อมูลที่ซับซ้อนและหลากหลายเป็นผลงานชิ้นสำคัญที่ทำให้ชื่อ Anthony Reid โดดเด่น และยังมีอิทธิต่อนักคิด นักวิชาการในเอเชียตะวันออกเฉียใต้ รวมถึงคนทำงานในศาสตร์สาขาวิชาอื่นๆ เนื่องจากเป็นงานในแนวทางสหวิทยาการ (Interdisciplinary) จึงทะลุกรอบออกจากประวัติศาสตร์ไปปรากฏแก่ผู้ศึกษาในมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แขนงอื่นด้วย    

อย่างไรก็ตาม จะเข้าใจสิ่งรีดนิยามว่า “ยุคแห่งการค้า” (Age of Commerce) ก็จำเป็นต้องเข้าใจพัฒนาการทางความคิดและการถกเถียงทางประวัติศาสตร์ที่รีดเข้าไปมีเกี่ยวข้อง ผ่านผลงานอีก 2  คือ ส่วนที่เสนอและถกเถียงเรื่อง “Autonomous history” (ซึ่งผู้เขียนแปลแบบไม่ตรงตัวอักษร แต่ตรงตามคอนเซปต์ว่า “อิสระสัมพัทธ์”) และส่วนที่รีดเสนอและถกเถียงเกี่ยวกับ “Early modern” (ที่แปลตรงตัวว่า “ยุคแรกเริ่มสมัยใหม่”)

อย่างไรก็ตาม จะเข้าใจสิ่งรีดนิยามว่า “ยุคแห่งการค้า” (Age of Commerce) ก็จำเป็นต้องเข้าใจพัฒนาการทางความคิดและการถกเถียงทางประวัติศาสตร์ที่รีดเข้าไปมีเกี่ยวข้อง ผ่านผลงานอีก 2  คือ ส่วนที่เสนอและถกเถียงเรื่อง “Autonomous history” (ซึ่งผู้เขียนแปลแบบไม่ตรงตัวอักษร แต่ตรงตามคอนเซปต์ว่า “อิสระสัมพัทธ์”) และส่วนที่รีดเสนอและถกเถียงเกี่ยวกับ “Early modern” (ที่แปลตรงตัวว่า “ยุคแรกเริ่มสมัยใหม่”)       

แนวคิด “อิสระสัมพัทธ์” & “สากลนิยม” ในอุษาคเนย์ศึกษา  

การศึกษาประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ (หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)  ยุคก่อนการสถาปนาลัทธิอาณานิคมในคริสต์ศตวรรษที่ 19  เป็นที่ทราบกันว่า  ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากรัฐชาติ เช่น ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, พม่า, มาเลเซีย, สิงคโปร์, บรูไน, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์  เพราะชื่อรัฐชาติเหล่านี้ล้วนเกิดใหม่ภายหลังการเข้ามาของลัทธิอาณานิคมในคริสต์ศตวรรษที่ 19  เมื่อเข้าใจตรงกันว่าไม่มีรัฐชาติก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 ข้อเสนอนี้ไม่ได้เริ่มจากงานของเบน แอนเดอร์สัน (Ben Anderson) หากแต่มีลักษณะเป็นข้อสรุปที่มีร่วมกันของนักวิชาการหลากหลายสาขาในคริสต์ศตวรรษที่ 20    

อีกทั้งความหมายของคำว่า “อาณาจักร” (Kingdom) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ก็ไม่เหมือนกับที่ใช้กันในยุโรป  ขอบเขตพื้นที่ศึกษาที่เหมาะสมสำหรับช่วงก่อนหน้านั้นขึ้นไป  จึงเป็นอีกแบบหนึ่ง โดยมากมักจะมี “เครือข่ายเมือง” (City Network) ที่สัมพันธ์กันในแต่ละช่วงเวลา  เช่น เชียงใหม่, พิษณุโลก, อยุธยา, เวียงจัน, ละแวก, อันนัม, ปัตตานี, ยะโฮร์, มะละกา, ปัตตาเวีย, อาเจะห์ เป็นต้น 

แล้วแต่ว่าเมืองใดมีเครือข่ายเชื่อมโยงกับเมืองอื่นๆ รอบข้างมากน้อยเท่าใด ภายใต้ช่วงเวลาหนึ่งๆ ดังที่ทราบกันว่า อำนาจของผู้นำเมืองแต่ละแห่งไม่สามารถส่งผ่านไปยังทายาทได้ จึงทำให้เมืองใหญ่แต่ละช่วงเวลามีอำนาจและหรือเครือข่ายความสัมพันธ์ไม่เท่ากันและไม่สม่ำเสมอต่อเนื่องกัน สิ่งนี้ส่งผลทำให้เขตแดนเป็นสิ่งที่แม้จะมีอยู่ แต่ไม่มั่นคงถาวร สามารถยืดหยุ่น บางช่วงหดแคบ บางช่วงกว้างขวางใหญ่โต แล้วบารมีของผู้นำแต่ละช่วงเวลา  

เขตแดนของรัฐก่อนหน้าจะเกิดรัฐชาติจึงไม่เท่ากับเขตแดนของรัฐชาติ แต่ที่ก่อให้เกิดปัญหาก็คือรัฐชาติที่เกิดใหม่ภายหลังมักจะอ้างอิงอำนาจสวมทับเป็นหนึ่งเดียวกันหรือสืบทอดอำนาจมาจากช่วงเวลาที่เขตแดนขยายใหญ่กว้างขวางที่สุด เป็นเหตุให้เกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างรัฐชาติที่มีพรมแดนติดกัน ดังจะเห็นได้จากกรณีเขาพระวิหาร ตาเมือนธม ที่ไทยกับกัมพูชาขัดแย้งกันในช่วงเมื่อไม่นานมานี้    

นอกจากนี้ ในดินแดนรอยต่อของแต่ละเครือข่ายของเมืองต่างๆ เหล่านี้  ยังมีบ้านเมืองที่เป็นอิสระ  บ้างก็เป็นเมืองสองหรือสามฝ่ายฟ้า  ส่งเครื่องราชบรรณาการให้แก่เมืองที่มีอำนาจ  ในขณะเดียวกันการส่งเครื่องราชบรรณาการให้แก่เมืองใด  ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเมืองขึ้นของเมืองนั้น หมายความแค่ว่ายอมรับว่าผู้นำของเมืองที่ส่งส่วยบรรณาการให้นั้น มีบารมีสูงกว่าตนเท่านั้น เมื่อเป็นเรื่องอำนาจบารมี ก็เป็นจึงเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลและเฉพาะบางช่วงเวลา ไม่สืบทอดต่อเนื่องไปสู่อีกยุคสมัยต่อมาได้อีกเช่นกัน  

มุมมองความเข้าใจในแบบข้างต้นนี้ ต่อมาได้พัฒนามาสู่แนวคิดประวัติศาสตร์อิสระสัมพัทธ์ (Autonomous history) แรกเริ่มเดิมทีเป็นแนวคิดที่เสนอโดยจอห์น สเมล (John R. W. Smail) ในบทความเล็กๆ แต่ทรงอิทธิพลอย่างมาก ชื่อเรื่อง “On the Possibility of an Autonomous History of Modern Southeast Asia” ตีพิมพ์ครั้งแรกใน Journal of Southeast Asian History. 2 (2) July, 1961 

สเมลได้รับแรงบันดาลใจและอภิปรายขยายความจากงานของ เจคอบ   ฟาน เลอร์ (Jacob C. van Leur) นักประวัติศาสตร์สังคมชาวดัตช์  ในข้อเสนอเกี่ยวกับการต่อต้านลัทธิอาณานิคมในมิติทางประวัติศาสตร์นิพนธ์  หรือที่เรียกว่ามุมมองแบบ “ยุโรปเป็นศูนย์กลาง” (Euro-Centrism)  หันมาเน้นมุมมองแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นศูนย์กลาง (Southeast Asian- Centrism)           

แต่ถึงจะต่อต้านลัทธิอาณานิคมตะวันตก  สเมลก็ไม่ได้เห็นด้วยกับคู่ตรงข้ามของอาณานิคมอย่างลัทธิชาตินิยม หลายคนเชื่อว่าลัทธิชาตินิยมต่อต้านหรืออยู่ฝั่งตรงข้ามกับลัทธิอาณานิคม แต่ที่จริงรัฐชาติของขบวนการเอกราช ล้วนแต่สืบทอดโครงสร้างอำนาจที่เจ้าอาณานิคมสถาปนาขึ้นไว้  

สเมลเสนอว่าความเป็นอิสระสัมพัทธ์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้  มีลักษณะเปิดกว้างและลงรอยไปกับประวัติศาสตร์สากล (Universal history or Global history)  พัฒนาการด้านต่างๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นในขอบเขตโลกสากล  สเมลจึงไม่ได้พูดถึงความโดดเด่นอันเป็นอัตลักษณ์เฉพาะของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  อันจะนำไปสู่การสนับสนุนลัทธิชาตินิยมโดยอ้อม   

อีกทั้งการอภิปรายความสำคัญของลักษณะความเป็นอิสระ (Autonomously) ในกรณีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ยังเป็นสิ่งจำเป็น  เพราะนักวิชาการแอนตี้ยุโรปเป็นศูนย์กลาง (Anti-Euro-Centrism) ต้องแสดงให้เห็นทั้งโดยตรงและโดยนัยยะว่า  คนพื้นเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเป็นมนุษย์ที่ทรงภูมิปัญญาเทียบทียมกับชนผิวขาวชาวยุโรปอีกด้วย  ลักษณะสากลทางความคิดในแบบของประวัติศาสตร์สากล (Universal history)  จึงเป็นพื้นฐานให้กับความเป็นไปได้ของประวัติศาสตร์อิสระสัมพัทธ์โดยตัวมันเอง 

นอกจากนี้สเมลยังเสนอความเป็นไปได้ที่จะใช้แนวคิดแบบ ฟาน เลอร์  มาวิเคราะห์สังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคหลังการเข้ามาสถาปนาระบอบอาณานิคมตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 19  เพราะเดิมในกรณีของ ฟาน เลอร์ เขาศึกษาสังคมอินโดนีเซียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-18  ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนหน้าที่ดัตช์จะเข้าปกครองด้วยมาตรการเข้มงวดต่ออินโดนีเซีย  

คำถามที่เกิดตามมาก็คือ  ในช่วงยุคที่ลัทธิอาณานิคมสถาปนาอำนาจเต็มตัวนั้น  ยังจะสามารถเห็นลักษณะที่เป็นอิสระสัมพัทธ์ (Autonomous) ของคนพื้นเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างไร?   

ต่อปัญหาข้อนี้  สเมลได้หยิบยกตัวอย่างกรณีสงครามอาเจะห์ที่ต่อต้านการปกครองของดัตช์มาเป็นกรณียืนยันความเป็นอิสระของสังคมพื้นเมืองอินโดนีเซีย  แม้ในยุคที่ดัตช์ใช้มาตรการเข้มงวดในการปกครองที่เรียกว่า “นโยบายเพาะปลูก” (Cultural system)  การมองไปที่กบฏของคนพื้นเมืองและให้ความสำคัญต่อบทบาทของคนธรรมดาสามัญชนหรือชนชั้นผู้ถูกปกครอง  ทำให้แนวคิดประวัติศาสตร์อิสระสัมพัทธ์นี้เข้ากันได้กับแนวคิดใหม่ๆ ที่เสนอกันภายหลัง เช่น Social history, Subaltern history, History from below และแนวคิดสกุลหลังอาณานิคม (Post Colonialism perspective) เป็นต้น 

ดังที่ลอรี ซีร์ส (Laurie J. Sears) ชี้ให้เห็นในบทความชื่อ “The Contingency of Autonomous History” ซึ่งเป็นบทนำของหนังสือรวมบทความเพื่อเป็นเกียรติแด่จอห์น สเมล เมื่อปี 1993 ว่า ถึงแม้เขาจะเห็นพ้องกันกับแนวคิดและมุมมองที่แพร่หลายภายหลังข้างต้น (แม้แต่ Subaltern history)  ซีร์สก็ไม่ได้ยกย่องสเมลในแง่ที่เป็นนักวิชาการผู้มีความคิดก้าวหน้า  เพราะคู่ตรงข้ามของแนวคิดประวัติศาสตร์อิสระสัมพัทธ์อย่างเช่นระบอบอาณานิคมก็เป็นคู่ตรงข้ามที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยนักวิชาการที่ใช้แนวคิดทั้งสามข้างต้น   

จังหวะนี้แหละที่ชื่อ “แอนโทนี รีด” (Anthony Reid) เริ่มปรากฏขึ้นในบทความชื่อ “John Smail, Jacob van Leur, and the Trading World of Southeast Asia” รีดชวนกลับไปอ่านฟาน เลอร์ ใหม่ เสนอว่าความพยายามแรกเริ่มเดิมทีนั้น  ฟาน เลอร์ ต้องการสืบค้นต้นกำเนิดของระบบเศรษฐกิจการค้าของเมืองท่าสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างหมู่เกาะชวา  โดยมีกรอบแนวคิดที่เป็นตัวเลือกอยู่ 2 ชุดความคิดที่มีอิทธิพลอยู่ในยุคของฟาน เลอร์ คือ แนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองแบบมาร์กซิสต์ที่คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เสนอไว้ในหนังสือ “ว่าด้วยทุน” (Das Kapital) กับแนวคิดเกี่ยวกับการจัดองค์กรและการสร้างสถาบันของแมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมันที่เสนอเกี่ยวกับบทบาทของศาสนาคริสต์รนิกายโปรแตสแตนท์ในเล่มชื่อ “The Protestant Ethic and the Spirit of Capitalism”  

จากสองทางเลือกข้างต้น  ฟาน เลอร์ เลือกแนวทางแบบของเวเบอร์  แล้วนำมาประยุกต์ใช้อธิบายสังคมอินโดนีเซีย  มีจุดเน้นตรงบทบาทการเข้ามาของอิสลามในฐานะศาสนาของพ่อค้า การยอมรับอิสลามของชนชั้นนำหมู่เกาะอินโดนีเซียเป็นไปเพราะผลประโยชน์ทางการค้าที่สอดคล้องต้องกัน  เมื่อโลกการค้าของฮินดู-พุทธ ที่เคยเฟื่องฟูพังทลายลงในขณะที่เครือข่ายการค้าตามเมืองท่าต่างๆ ยังคงดำเนินการค้าของตนต่อไป  

ฟาน เลอร์ มองว่าอิสลามนั้นไปกันได้หรือเป็นศาสนาที่ไม่กีดกันการค้า การสะสมทุน อัตรากำไร  ที่แต่เดิมศาสนาจากอินเดียที่เข้ามาก่อนหน้า เช่น ฮินดูและพุทธศาสนา  ต่างมองเรื่องนี้ในแง่ลบและถือเป็นอันตรายต่อวิถีทางบรรลุธรรมขั้นสูง  แต่ก็ยังคงแอบปฏิบัติกันในชีวิตประจำวัน  คล้ายคลึงกับประเด็นการยอมรับนิกายโปรแตสแตนท์ของเหล่าพ่อค้าวาณิชย์และชนชั้นนำในยุโรป  ที่เวเบอร์เคยเสนอไว้ 

อย่างไรก็ตาม  เป้าหมายของรีดในงานชิ้นดังกล่าว  ก็มิได้จะตำหนิการนำเอาแนวคิดที่เกิดจากการวิเคราะห์ของที่หนึ่งไปใช้อีกที่หนึ่ง  ตรงข้ามงานของรีดเองก็สะท้อนการรับเอาแรงบันดาลใจและอิทธิพลจากตัวแบบการวิเคราะห์ของแฟร์นันด์  โบรเดล (Fernand Braudel) นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสสำนักอันนาล (Annales school) ที่ใช้ในกรณีการค้าของย่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  อย่างเรื่อง “The Mediterranean and the Mediterranean World in the Age of Philip II.” มาใช้ในงานของตน  จนเป็นที่มาของงานสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาอย่างเล่มที่ชื่อ “Southeast Asia in the age of Commerce, 1450-1680”  

ข้อเสนอของรีดที่นำเอางานของฟาน เลอร์  ไปเทียบเคียงสืบหาที่มาของแนวคิดที่ใช้ในการวิเคราะห์ จนพบความเป็นเวเบอเรียนของฟาน เลอร์ แม้หลายคนยอมรับและยกย่องฟาน เลอร์ จนเกือบจะเป็นผู้นำเสนอความคิดใหม่โดยตนเอง แต่ดูเหมือนรีดจะตอบโต้อยู่โดยนัย  ต่อกลุ่มนักวิชาการที่โจมตีเขาว่า เขาไปเอากรอบการวิเคราะห์ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาใช้ในทะเลจีนใต้  

ขณะที่นักวิชาการเหล่านี้ ยกย่องฟาน เลอร์ ในฐานะต้นทางแนวคิดและมุมมองแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นศูนย์กลาง (Southeast Asia-Centrism) และหรือชวาเป็นศูนย์กลาง (Javanese Centrism)  ที่สเมลนำเอามาพัฒนาเป็นประวัติศาสตร์อิสระสัมพัทธ์อีกต่อหนึ่ง  ถึงแม้งานของสเมลจะอภิปรายกรณีของอินโดนีเซีย  แต่เขาก็ระบุไว้ในบางแห่งว่า  เขามีความปรารถนาที่จะเห็นการนำเอาแนวคิดที่เขาเสนอใหม่ในตอนนั้นไปใช้สำหรับกรณีอื่นทั่วไปด้วย  ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะกรณีอาเจะห์และอินโดนีเซียแต่อย่างใด 

สำหรับแนวคิดประวัติศาสตร์อิสระสัมพัทธ์ในงานชิ้นต่อมาของรีด  อย่างเช่นเรื่อง “The Last Stand of Asian Autonomies: Response to Modernity in the Diverse State of Southeast Asia and Korea, 1750-1900”  รีดใช้แนวคิดนี้อธิบายขยายความเปรียบเทียบกรณีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับคาบสมุทรเกาหลี (ที่ดูไม่น่าเปรียบเทียบกันได้)  ในประเด็นถกเถียงเรื่องการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่  โดยมีข้อเสนอใหญ่ว่า ภาวะสมัยใหม่ในเอเชีย  มีรากกำเนิดจากการพัฒนาภายในของสังคมรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่ก่อนการสถาปนาระบอบอาณานิคมของชาติตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 19  โต้แย้งกลุ่มงานที่มองว่าการเข้ามาของลัทธิอาณานิคมในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก่อให้เกิดการพัฒนาสู่ยุคสมัยใหม่  ซึ่งหากมองในเรื่องเครือข่ายการค้าจะพบว่า ลัทธิอาณานิคมตะวันตกต่างหากที่ทำให้เกิดภาวะชะงักงันของการพัฒนาที่กำลังดำเนินมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15   

นับเป็นการผลักมุมมองแบบแอนตี้ยุโรปเป็นศูนย์กลางในประวัติศาสตร์นิพนธ์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ออกไปอย่างสุดขั้วอีกกรณีหนึ่ง  เมื่อการเข้ามาของลัทธิอาณานิคมตะวันตกไม่ได้ส่งผลให้เกิดภาวะสมัยใหม่อย่างที่หลายคนเข้าใจ  ชาวยุโรปมีความเชื่อและมุ่งมั่นว่าการเข้ามาของพวกตนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 นั้นเป็น “ภารกิจของคนผิวขาว” (White mission) ที่ต้องนำพาความก้าวหน้าศิวิไลซ์มาให้แก่พวกที่ตนมองเป็นชนชาติป่าเถื่อนด้อยอารยธรรม  

แต่ในทางกลับกันลัทธิอาณานิคมกลับนำพาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าสู่ยุคมืดมน (Dark age) ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์  ต่อมารีดพัฒนาชุดคำอธิบายในแนวทางนี้อย่างเป็นระบบไปอีกขั้นจนนำมาสู่ข้อเสนอเรื่อง “ยุคแรกเริ่มสมัยใหม่” (Early Modern) ในงานที่ชื่อ “Charting the Shape of Early Modern Southeast Asia” ในเวลาต่อมาไม่นานหลังจากนั้น  

หลายท่านที่ศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19  ต่างขานรับแนวคิดนี้ของรีด เช่น เจฟฟ์ เวด (Geoff Wade), โรเบิร์ต คริบบ์ (Robert Cribb), ปิแอร์ แมนคายน์ (Pierre-Yves Manguin), เจมส์ ฟรานซิส วอร์เรน (James Francis Warren), เจฟฟรี ซี. กันน์ (Geoffrey C. Gunn) เป็นต้น 

หลังจาก “Charting the Shape of Early Modern Southeast Asia” ชื่อของรีดก็เด่นชัดขึ้น ในฐานะนักคิดและนักประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ที่สำคัญและโดดเด่น กลายเป็น “ยักษ์ใหญ่” อีกคนหนึ่งของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นพื้นที่ศึกษาหลัก (Main field) ของรีด ยุคเดียวกับเบน แอน เดอร์สัน (Ben Anderson), เจมส์ ซี. สก็อต (James C. Scott) และคลิฟฟอร์ด เกียร์ซ (Clifford Geertz) เป็นต้น       

จาก “ศูนย์กลาง” สู่ “ชายขอบ” ใน “ไทยศึกษา” (Thai Studies) 

เนื่องจากในช่วงที่สเมลเขียนบทความที่ทรงอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์อิสระสัมพัทธ์  จนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบบ “สำนักคอร์แนล” (Cornell school)  ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในฐานะแนวคิดหนึ่งในการศึกษายังไม่เป็นกระแสที่ได้รับความสนใจมากนัก  จึงเกิดช่องว่างบางอย่างที่นำไปสู่การมองได้ว่า  หากสเมลยังมีชีวิตและผลิตงานอยู่จนถึงปัจจุบัน  เขาอาจเห็นพ้องด้วยกับแนวคิดประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่แพร่หลายในช่วงหลังสงครามเย็นมาจนปัจจุบัน  เพราะโดยโครงสร้างความคิดแล้ว  ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่มุ่งประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างศูนย์กลางกับชายขอบ  ก็เป็นประเด็นที่แนวคิดประวัติศาสตร์อิสระสัมพัทธ์แบบสเมลให้ความสำคัญ  

ในแง่หนึ่ง  การนำเอาแนวคิดนี้ไปใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์ของช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19  โดยทั้งสองท่าน  ก็ทำให้แนวคิดและวิธีการแบบนี้กลับไปเป็นเครื่องมือการศึกษายุคก่อนอาณานิคม  เช่นเดียวกับกรณีของฟาน เลอร์ ที่ใช้อภิปรายสังคมเศรษฐกิจของอินโดนีเซียในช่วงที่ดัตช์ยังไม่ได้เข้ามาสถาปนาอำนาจอาณานิคมเต็มรูปแบบ  ขณะที่สเมลพยายามลากยาววิธีการศึกษาแบบนี้ (ของฟาน เลอร์) มาที่ยุคสมัยใหม่ด้วย (ตอนนั้นสเมลน่าจะหมายถึงยุคหลังศตวรรษที่ 19  เพราะยังไม่มีข้อเสนอเรื่อง Early Modern แบบที่รีดทำในภายหลัง  และสำหรับสหรัฐอเมริกาก็ยังเป็นช่วงที่ทำสงครามเวียดนามอยู่) 

ประวัติศาสตร์อิสระสัมพัทธ์มีจุดเด่นหนึ่งตรงที่สามารถตีความได้หลากหลาย  เพียงแค่มีจุดเริ่มจากการเสนอภาพประวัติศาสตร์ที่สร้างบทบาทตัวตนของคนพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ต่อต้านประวัติศาสตร์นิพนธ์ที่ให้ความชอบธรรมแก่ลัทธิอาณานิคมเท่านั้น  สเมลเองก็ไม่ได้เสนอกรอบการตีความคำว่า “อิสระ” (Autonomous) ที่เคร่งครัดตายตัวเท่าไรนัก  เป็นความมีอิสระโดยสัมพัทธ์  ไม่ใช่อิสระโดยสมบูรณ์  สเมลเสนอวิธีรูปธรรมในทางปฏิบัติหรือเขียนประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ด้วยแง่มุมที่มองจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอง  มากกว่าจะนำเสนอหลักทฤษฎีที่เคร่งครัดแต่อย่างใด   

ประวัติศาสตร์อิสระสัมพัทธ์ที่เป็นแนวคิดเดิมของสเมลนั้น  นอกจากได้รับอิทธิพลมาจากการตีความงานของ ฟาน เลอร์  ยังเป็นแนวคิดอีกแขนงหนึ่งของนักวิชาการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา  ที่พยายามจะแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับขอบเขตนิยามอำนาจของรัฐพื้นเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนยุคอาณานิคม  ในจำนวนนี้นอกจากประวัติศาสตร์อิสระสัมพัทธ์ก็มีแนวคิดเกี่ยวกับระบบปริมณฑล (Mandala system) ที่เสนอโดย โอลิเวอร์ ดับบลิว. โวลเตอร์ส (Oliver W. Wolters)  ซึ่งทั้งสองแนวคิดมีข้อสรุปหนึ่งตรงกัน คือประเด็นเรื่องความยืดหยุ่นและเป็นอิสระโดยสัมพัทธ์ของท้องถิ่นจากอำนาจการควบคุมของศูนย์กลาง 

จุดนี้จึงเปิดโอกาสให้เกิดการตีความไปใช้ในแบบอื่นๆ  ประยุกต์เข้ากับสภาพข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์แต่ละพื้นที่  รวมทั้งการตีความที่เชื่อมโยงประวัติศาสตร์อิสระสัมพัทธ์เข้ากับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น  ต่างก็ประสบความสำเร็จในการโยงกรอบคิดทั้งสองเข้าด้วยกัน  

อย่างไรก็ตาม การศึกษาที่มีมิติทั้งด้านกว้าง (พื้นที่ครอบคลุมหลากหลาย) และลึก (ครอบคลุมช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคสมัยใหม่)  ชวนให้นึกถึงอิทธิพลจากงานของโบรเดลและรีด  มากกว่าสเมลและโวลเตอร์ส ซึ่งมุ่งศึกษาประเด็นเฉพาะ  ในภาษาไทยงานเรื่อง “ประวัติศาสตร์มหาสมุทรอินเดีย” ซึ่งเปรียบเหมือนอนุสาวรีย์ที่ตั้งตระหง่านของธิดา สาระยา ดูจะเข้าข่ายงานแบบดังกล่าวข้างต้น ธิดาเรียกวิธีการที่ใช้ในงานข้างต้นนี้ว่า “ประวัติศาสตร์บริเวณ” (Total history) แม้ว่าธิดาจะไม่ได้บอกว่าได้วิธีการนี้มาจากไหน แต่ในบริบทอุษาคเนย์ศึกษาแล้ว งานของรีดทรงอิทธิพลอยู่ในแนวทางดังกล่าวนี้มาได้ระยะหนึ่งแล้ว  

อย่างไรก็ตาม นอกจากฝั่งอันดามันหรือมหาสมุทรอินเดีย  แนวทางแบบนี้ (Total history) ยังน่าจะใช้ศึกษาฝั่งทะเลอ่าวสยาม (ปัจจุบันเรียก “อ่าวไทย” แต่กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย เขาไม่เรียกด้วย)  รวมทั้งชายฝั่งทะเลตะวันออกได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่สยามมีการค้าที่สัมพันธ์กับจีนมาก  ทำให้ต้องอาศัยบทบาทของเมืองท่าชายฝั่งทะเลตะวันออก  ในกระบวนการเชื่อมต่อทั้งทางการค้าและเส้นทางคมนาคม  

ทั้งนี้นอกจากประเด็นเรื่องเศรษฐกิจการค้าระดับสากลแล้ว  การที่จะเข้าใจกระบวนการเกิดขึ้นและดำเนินไปของการค้านานาชาติได้  ยังจำเป็นต้องเข้าใจสภาพสังคมวัฒนธรรมด้วย  ไม่ใช่แต่เพียงในด้านที่สังคมวัฒนธรรมจะเป็น “ผล” ที่ก่อเกิดมาจากการค้า  ดังที่มีงานศึกษาประวัติศาสตร์การค้า  เสนอไว้กันมามากแล้วเท่านั้น  หากแต่สภาพสังคมวัฒนธรรม  โดยตัวมันเองยังเป็น “เหตุ” ให้การค้าทั้งภายในและภายนอก (นานาชาติ)  สามารถเกิดขึ้นและดำเนินไปได้โดยไม่สะดุดหรือสิ้นสุดไปได้ง่ายๆ  การค้ากับสังคมวัฒนธรรมจึงมีประเด็นเกี่ยวข้องกับ “วิภาษวิธี” (Dialectical) หรือการสะท้อนกลับไปกลับมามีอิทธิพลซึ่งกันและกัน        

ยุคจารีต/ก่อนสมัยใหม่ vs. ยุคแห่งการค้า/ยุคแรกเริ่มสมัยใหม่ 

สำหรับประเด็นการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่  โดยเป็นผลคลี่คลายมาจากปัจจัยภายในของสังคมนั้น ๆ เอง  ไม่ใช่เพราะการเข้ามาของลัทธิอาณานิคมตะวันตก  ในไทย นิธิ เอียวศรีวงศ์เคยเสนอต่อกรณีการเข้าสู่ “ยุคสยามใหม่” ว่าสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดก่อนหน้าการเข้ามาทำสนธิสัญญาเบาริงในสมัยรัชกาลที่ 4  อย่างกรณีการเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2310  ส่งผลต่อการปรับตัวทางวัฒนธรรมของชนชั้นนำสยามจาก “ศักดินา” กลายเป็น “กระฎุมพี” (หรือกระฎุมพีต้นรัตนโกสินทร์)  ยอมรับวิธีคิดการมองโลกแบบ “มนุษยนิยม” (Humanism) และ “สัจนิยม” (Realism) มากขึ้น  

ดังจะสังเกตเห็นได้จากตัวบทวรรณกรรม (ปากไก่) ที่สัมพันธ์กับการค้าทางทะเล (ใบเรือ) ของสยามในต้นรัตนโกสินทร์ เป็นต้น ซึ่งหากมองในแง่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแล้ว  ก็ชวนให้นึกถึงข้อเสนอเรื่อง “ประวัติศาสตร์จากภายใน” (History from within) ของแฮร์รี เบนดา (Harry J. Benda) ในบริบทของอุษาคเนย์ศึกษาแล้ว นิธิไม่ได้เสนออะไรใหม่เลย คุณูปการของนิธิคือการนำเอาตัวแบบและข้อถกเถียงที่มีในอุษาคเนย์ศึกษามาสู่ชุมชนวิชาการไทยต่างหาก  

ขณะที่รีดมองในขอบเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  และเขียนประวัติศาสตร์ในลักษณะสหวิทยาการ (Interdisciplinary) มีเนื้อหาครอบคลุมหลากหลายมิติ (แบบ Total history) ในงานสองเล่มจบ เช่น “Southeast Asia in the age of Commerce, 1450-1680”  รีดเสนอภาพความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรมของยุคแห่งการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-17 อันเป็นยุคเฟื่องฟูของการค้าของชนพื้นเมือง  ก่อนการเข้ามาของสถาปนาระบอบอาณานิคมของดัตช์  ความคล้ายคลึงเมื่อเทียบกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  ก็มีอยู่อย่างปฏิเสธไม่ได้ อาทิ เมดิเตอร์เรเนียนรองรับการค้าโดยรอบจากภูมิภาคต่างๆ  เมื่ออยู่ใต้การควบคุมโดยพ่อค้ามุสลิม  ในช่วงหลังเมื่อชาวยุโรปที่เป็นอริกันเนื่องจากสงครามครูเสด  ก็ถอนตัวออกจากระบบ  

ขณะที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เปิดการค้าท้องถิ่นสู่อิทธิพลภายนอก  เป็นระบบเปิด (Open System)  ก่อนที่ยุโรปจะเข้ามาสร้างระบบปิด (Close System) ทำลายด้วยลัทธิอาณานิคมสร้างพรมแดนให้แก่รัฐชาติ  จากเดิมที่บ้านเมืองเหล่านี้มีความสัมพันธ์ทางการค้าและสังคมวัฒนธรรมกับดินแดนทั้งใกล้ชิดติดกันและมีเครือข่ายในระดับนานาชาติ ทว่านับตั้งแต่ลัทธิอาณานิคมสถาปนาอำนาจเป็นต้นมา  บ้านเมืองเหล่านี้กลับถูกปิดกั้นความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านข้างเคียงและเครือข่ายการค้าทางไกล หันมาปฏิสัมพันธ์กับเจ้าอาณานิคมเป็นหลักแทน      

ตรงนี้ วิคเตอร์ ลีเบอร์แมน (Victor B. Lieberman) นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์พม่าโต้แย้งว่า  สภาพการณ์ที่รีดกล่าวถึงเป็นสภาพการณ์ของชวาภายใต้ปกครองของดัตช์  เพราะดัตช์ในช่วงหลังได้ดำเนินการปกครองคนพื้นเมืองอย่างเข้มงวด  มีการวางมาตรการนโยบายบังคับเพาะปลูก  ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วนของระบบการค้าและสังคมเมืองท่าชายฝั่งทะเลในหมู่เกาะและคาบสมุทรทางตอนใต้  แต่สำหรับในกรณีของภาคพื้นทวีป (Main Land) เช่น พม่า, สยาม, กัมพูชา, เวียดนาม  การเข้ามาของชาติตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถือเป็นการเปิดระบบการค้าของท้องถิ่นสู่โลกภายนอกต่างหาก  

ข้อวิจารณ์นี้ของลีเบอร์แมนอยู่บนฐานความรับรู้ชุดหนึ่งที่มีต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีปช่วงก่อนและหลังการเข้ามาของลัทธิอาณานิคมตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อเทียบกันแล้ว ก็ปฏิเสธได้ยากว่าผลของลัทธิอาณานิคมในภาคพื้นทวีปกับคาบสมุทรมีข้อแตกต่างกันอยู่  บางกรณีการเข้ามาของลัทธิอาณานิคมในภาคพื้นทวีปถูกมองแง่บวกว่าส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมที่ชนชั้นนำจารีตกุมอำนาจ ผูกขาดการค้า และกดขี่การปกครอง ซึ่งตรงกันข้ามกับบริเวณคาบสมุทรและหมู่เกาะ  เมื่อชนชั้นนำจารีตพ่ายแพ้ต่ออาณานิคม ชาวยุโรปก็กลายเป็นผู้กุมอำนาจ ผูกขาดการค้า และกดขี่ปกครองแทนเจ้าพื้นเมืองเดิมแทน

รีดมองว่า  ดัตช์เริ่มแผนการปกครองแบบอาณานิคมต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนชาติอื่น ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18  ขณะที่อังกฤษกับฝรั่งเศส เริ่มกระบวนการนี้ตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ดังนั้นการสิ้นสุดยุค Early modern จึงไม่เท่ากันระหว่างเขตอิทธิพลของดัตช์  กับเขตที่อยู่ในช่วงแข่งขันกันระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส  

กรณีมาเลเซีย ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลอังกฤษ  แต่อยู่ในคาบสมุทร เลียวโอนาร์ด และ บาร์บารา วัตสัน อันดายา (Leonard and Barbara Watson Andaya) จึงเสนอการสิ้นสุดยุค Early modern เป็นช่วงเดียวกับภาคพื้นทวีป คือปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 

อย่างไรก็ตาม เราคงไม่สามารถประเมินลัทธิอาณานิคม  โดยมุ่งไปที่ชาติยุโรปเป็นตัวละครหลักได้  จริงอยู่ที่ลัทธินี้มีจุดกำเนิดจากผลประโยชน์ของชนชั้นนำยุโรป  แต่เมื่อ “ผู้เล่น” ของลัทธินี้กระจายตัวมาที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ไม่จำเป็นที่เหล่าผู้เล่นจะต้องเป็นชนชั้นนำของยุโรปอีกต่อไป  ตรงข้าม ลัทธินี้อาจไม่สามารถบรรลุผลได้เลย  หากปราศจากการมีชนพื้นเมืองเป็นผู้ร่วม “เล่น” ด้วยจนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 

สิ่งที่เราจะพบเห็นในภาคพื้นทวีป  โดยเฉพาะสยามและพม่า  ก็คือการแสดงตัวเป็นเจ้าอาณานิคมแข่งขันทางอำนาจกับชาติตะวันตก  โดยชนชั้นนำพื้นเมืองเอง  

เพียงแต่เจ้าอาณานิคมพื้นเมืองที่ยอมรับความคิดโลกทัศน์ตามแบบลัทธิอาณานิคม  มีข้อจำกัด กล่าวคือ เสียเปรียบทางเทคโนโลยีทางการทหารและขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญความรู้เฉพาะด้านเมื่อเทียบกับยุโรป  เจ้าอาณานิคมพื้นเมืองจึงพ่ายแพ้ต่อเจ้าอาณานิคมยุโรปอย่างรวดเร็ว  เมื่อต้องเผชิญหน้ากันในสงครามการใช้ความรุนแรงโดยตรง 

ดังเช่น กรณีสงครามระหว่างพม่ากับอังกฤษ  หรือกรณีเหตุการณ์ ร.ศ.112 ที่สยามพิพาทกับฝรั่งเศสเรื่องเขตแดนลุ่มแม่น้ำโขง  ความทรงจำรับรู้ของสยามที่มีต่อการเสียดินแดนจึงเป็นความทรงจำและแรงปรารถนาในฐานะ “เจ้าอาณานิคม”  ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำจากเจ้าอาณานิคมยุโรป  หากแต่ร่วมเป็นผู้กระทำภายใต้ลัทธิอาณานิคมด้วยเช่นกัน   

ในทางกลับกัน  แนวคิดประวัติศาสตร์อิสระสัมพัทธ์ก็ไม่ได้ปฏิเสธเกี่ยวกับบทบาทของชาติตะวันตกที่อยู่นอกปริมณฑลของลัทธิอาณานิคม  โดยเฉพาะสำหรับกรณีของช่วงเวลายาวนานก่อนหน้าคริสต์ศตวรรษที่ 19  ร่นขึ้นไปจนถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-16  ซึ่งชาติตะวันตกยังมิได้เข้ามาเพื่อสถาปนาระบอบอาณานิคม  มีเพียงเรื่องการค้าและศาสนาอยู่ในเป้าหมายของชาติตะวันตก คือ การค้าและศาสนา  ส่วนประเด็นที่ว่า 2 เรื่องข้างต้นนี้จะนำมาสู่ลัทธิอาณานิคมในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ด้วยหรือไม่นั้น  คงต้องพิจารณาแยกออกไปต่างหาก  เพราะเป็นไปได้ยากที่จะมีกลุ่มชนชาติใดที่จะกระทำการด้วยวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดร่วมกันเป็นเวลายาวนานหลายร้อยปีขนาดนั้น  

อย่างไรก็ตาม  การเปิดประเด็นข้อถกเถียงที่ว่า “ยุคจารีต” ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงสยามสิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 หลังเกิดการติดต่อค้าขายข้ามดินแดน เชื่อมโยงในระดับโลกสากลไปแล้วตั้งแต่สิ้นสุดยุคแห่งการค้าบนเส้นทางสายไหมในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14  หรือยุคจารีตที่เคยเข้าใจกันว่าดำรงอยู่อย่างยาวนานมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ปิดฉากตัวเองลงไปถูกแทนที่ด้วย “ยุคแห่งการค้า” ไปแล้ว  ก็ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงสำคัญอยู่จนทุกวันนี้  

แม้ว่าเราอาจไม่เห็นด้วยกับรีด  แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยุคจารีตสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในตลอดช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการค้าข้ามทะเลเชื่อมต่อถึงกันในขอบเขตสากลเกิดขึ้นและเฟื่องฟูอยู่ก่อนหน้าคริสต์ศตวรรษที่ 19 มาเป็นเวลาช้านานนั่นเอง...         

บทสรุปและส่งท้าย

ในยุคของรีด เมื่อพูดถึงความสำคัญของการค้าในมิติทางประวัติศาสตร์ นักวิชาการอุษาคเนย์คนอื่นๆ ต่างนึกถึงแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองแบบมาร์กซิสต์เป็นหลัก เนื่องจากเป็นแนวคิดที่โดดเด่นในการชี้ให้เห็นบทบาทของการค้าที่มีต่อการเปลี่ยนผ่านทางสังคม แต่สำหรับมาร์กซิสต์แล้ว การค้าเป็นเพียงกิจกรรมที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการผลิต พวกเขาจึงให้ความสำคัญแก่การผลิตในฐานะโครงสร้างพื้นฐานส่วนล่างมากกว่า 

ขณะที่งานของรีดทำให้เห็นการค้าในมิติที่เป็นพื้นฐานสังคม ไม่เพียงแค่เป็นภาพสะท้อนระบบเศรษฐกิจการเมือง แต่ครอบคลุมถึงเรื่องสังคมวัฒนธรรม เราจึงเห็นงานอย่าง “ยุคแห่งการค้า” ที่เต็มไปด้วยการนำเสนอข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของวัฒนธรรม ที่ไม่รู้จะนำเอาไปไว้ในส่วนไหนของงานวิชาการประวัติศาสตร์ แต่รีดสามารถนำมาเชื่อมโยงเข้ากับภาพใหญ่อย่างการค้าสากลได้อย่างลงตัว สะท้อนการคัดกรองข้อมูลปลีกย่อยต่างๆ มาเป็นอย่างดี 

ข้อมูลทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับงานของรีด ถึงแม้งานของรีดจะเป็นงานที่มีข้อเสนอภาพใหญ่ที่มีระยะช่วงเวลายาวนาน (Longue durée) อย่าง “ยุคแห่งการค้า” (Age of Commerce) ที่คาบเกี่ยวระยะเวลาของอุษาคเนย์ตั้งแต่คริสต์กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17    

ในยุคของรีด นักประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ส่วนใหญ่ใช้คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นเส้นแบ่งระหว่างยุคจารีตกับสมัยใหม่ แต่รีดพาย้อนกลับไปพิจารณาคริสต์ศตวรรษที่ 15 ทำให้เห็นพัฒนาการทางประวัติศาสตร์จากของสังคมภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแม้ไม่มีระบอบอาณานิคมในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ด้วยตนเอง ไม่ต้องถูกบีบคั้นให้ต้องพัฒนาโดยเจ้าอาณานิคมตะวันตก งานของรีดประสบความสำเร็จอย่างสูงในการพิสูจน์ประเด็นเรื่องนี้ เขาจึงเป็นนักประวัติศาสตร์ของอุษาคเนย์โดยแท้   

นอกจากนี้ งานแบบรีดยังเป็นตัวอย่างที่ดีมากของการสร้างประวัติศาสตร์แบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary) เราจึงเห็นงานที่แม้จะอภิปรายถึง “ยุคแห่งการค้า” แต่ไม่ได้อภิปรายแค่ระบบเศรษฐกิจการค้า ยังมีตัวแปรอื่นๆ อยู่เต็มไปหมด ให้ความสำคัญกับข้อมูลปลีกย่อยเล็กๆ เต็มไปหมด แม้แต่การฝังวัตถุในอวัยวะเพศของคนอุษาคเนย์ อาหารการกิน การละเล่น การสร้างบ้านพักที่อยู่อาศัย ทรงผม รอยสัก การแต่งกายที่ดูแปลกขนบ ฯลฯ รวมถึงบทบาทของคนตัวเล็กตัวน้อยและสัตว์มากมายหลายชนิดเต็มไปหมด แถมยังฉายภาพให้เห็นปัจจัยที่ไม่ใช้มนุษย์และสัตว์ อย่างภูมิศาสตร์ สภาพแวดล้อม อากาศ ฤดูกาล ลมมรสุม ฯลฯ เป็นต้น 

ผู้เขียนเห็นว่าตรงนี้แหละที่เป็นคุณูปการและทำให้รีดไม่ใช่แค่นักวิชาการระดับอุษาคเนย์ หากแต่เป็นระดับโลก (อันนี้ไม่ได้เคลมเว่อแต่อย่างใดเลย) เพราะรีดประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่การชี้ให้เห็นว่าโลกสากลมีอิทธิพลต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไร ยังชี้ให้เห็นว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีผลต่อโลกสากลไม่น้อยทีเดียว และที่สำคัญคือเขาเสนอประเด็นข้อค้นพบนี้บนพื้นฐานมุมมองและวิธีคิดแบบ Anti-Europe centrism 

การที่รีดเป็นชาวเกาะนิวซีแลนด์ ดินแดนชายขอบของอารยธรรมแบบยุโรเปี้ยน เคยเดินทางท่องเที่ยวในแถบเมดิเตอร์เรเนียน เรียนจบจากอังกฤษ สอนหนังสืออยู่ที่มาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ก่อนที่จะย้ายไปสหรัฐอเมริกา แต่เป็นนักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แถบหมู่เกาะ (Peninsular) เลยทำให้เขาโอเคกับแนวทางดังกล่าวนี้และพัฒนามาจนกลายเป็นแนวคิดสำคัญหนึ่งที่นักศึกษาประวัติศาสตร์อุษาคเนย์จะต้องได้เรียนและอ่านกันไปอีกนาน (จนกว่าจะตุยกันไปข้างหนึ่ง)   

 

อ้างอิง

กำพล จำปาพันธ์. “แนวคิดประวัติศาสตร์อิสระสัมพัทธ์ (Autonomous History) กับการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมเมืองท่าชายฝั่งทะเลตะวันออก” วารสารประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ปีที่ 45 (ฉบับประจำเดือนมกราคม-ธันวาคม 2563). 

ธิดา สาระยา. (2554). ประวัติศาสตร์มหาสมุทรอินเดีย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. 

นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2543). ปากไก่และใบเรือ: ว่าด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์-วรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: อัมรินทร์วิชาการ. 

รีด, แอนโทนี. (2548).  เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคการค้า ค.ศ.1450-1680 เล่ม 1 ดินแดนใต้ลม. แปลโดย พงษ์ศรี เลขะวัฒนะ, กรุงเทพฯ: สกว. 

รีด, แอนโทนี. (2548). เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคการค้า ค.ศ.1450-1680 เล่ม 2 วิกฤติการณ์และการขยายตัว. แปลโดย พงษ์ศรี เลขะวัฒนะ, กรุงเทพฯ: สกว. 

Andaya, Leonard and Barbara Watson. (1995). “Southeast Asia in the Early Modern Period: Twenty-five years” Journal of Soueast Asian Studies. 26 (1) (March). 

Benda, Harry J. (1962). “The Structure of Southeast Asian History: Some Preliminary Observations” Journal of Southeast Asian History. 3 (1) (March). 

Braudel, Fernand. (1973). The Mediterranean and the Mediterranean world in the age of Philip II. translated from the French by Sian Reynolds, New York : Harper & Row. 

Fernando, M. R. (2003). “Quantifying the Economic and Social History of Southeast Asia: a Quest for new Evidence and Methods” in New Terrains in Southeast Asian History. Ohio: Ohio University Press.  

Gungwu, Wang. (2012). “A Two-Ocean Mediterranean” in Wade, Geoff and Tana, Li. (ed.). (2012). Anthony Reid and the Study of Southeast Asian Past. Singapore: Institute of Southeast Asian Studies.   

Kleinen, John and Osseweijer, Manon. (ed.). (2010). Pirates, Ports, and Coasts in Asia: Historical and Contemporary Perspectives. Singapore: Institute of Southeast Asian Studies. 

Lieberman, Victor B. (1993). “Local Integration and Eurasian Analogies: Structuring Southeast Asian History, c.1350-1830” Modern Asian Studies, 27 (3) (July).   

Lockard, Craig A. (2009). Southeast Asia in World History. Oxford: Oxford University Press. 

Mantienne, Frederic. (2003). “The Transfer of Western Military Technology to Vietnam in the late Eighteenth and Early Nineteenth Centuries : the Case of the Nguyen”  Journal of Southeast Asian Studies. 34 (3) (October).  

Reid, Anthony. (1988). Southeast Asia in the age of Commerce, 1450-1680. New Haven: Yale University Press. 

Reid, Anthony. (1993). “John Smail, Jacob van Leur, and the Trading World of Southeast Asia” in Sears, Laurie J. (ed.). (1993). Autonomous Histories, Particular Truths: Essays in Honor of John R. W. Smail. Madison: Center for Southeast Asian Studies University of Wisconsin.   

Reid, Anthony. (1997). The Last Stand of Southeast Asian Autonomies: Response to Modernity in the Diverse State of Southeast Asia and Korea, 1750-1900. London, Macmillan and New York: St. Martin’s Press.  

Reid, Anthony. (1999). Charting the Shape of Early Modern Southeast Asia. Chiangmai: Silkworm Books. 

Sears, Laurie J. (1993). “The Contingency of Autonomous History” in Autonomous Histories, Particular Truths: Essays in Honor of John R. W. Smail. Madison: Center for Southeast Asian Studies University of Wisconsin.   

Sirisena, W. M. (1995). “Cultural Relations between Ayudya and Sri Lanka” in Proceedings for the International Workshop Ayutthaya and Asia. Bangkok: Thammasat University and Kyoto University. 

Smail, John R. W. (1993). “On the Possibility of an Autonomous History of Modern Southeast Asia”, Sears, Laurie J. (ed.). (1993). Autonomous Histories, Particular Truths: Essays in Honor of John R. W. Smail. Madison: Center for Southeast Asian Studies University of Wisconsin.   

Sutherland, Heather. (2003). “Southeast Asian History and the Mediterranean Analogy” Journal of Southeast Asian Studies, 3 (1) (February).  

Wade, Geoff and Tana, Li. (ed.). (2012). Anthony Reid and the Study of Southeast Asian Past. Singapore: Institute of Southeast Asian Studies. 

Wilcox, Wynn W. G. (2015). “Autonomous Histories and World History” World History Connected, 9 (3) (November).  

Wolters, Oliver W. (1982). History, Culture, and Region in Southeast Asian Perspectives. Singapore: Institute of Southeast Asian Studies.