เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ชีวิตและบทบาทของเจ้านายสตรีล้านนาภายใต้สยามหลัง 2475

เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ชีวิตและบทบาทของเจ้านายสตรีล้านนาภายใต้สยามหลัง 2475

‘เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่’ เจ้า D2 (เจ้าดีที่สอง) ผู้เป็นแบบอย่างของเจ้านายในระบอบใหม่

KEY

POINTS

“มาเถิด เชิญมา ฟังเจ้าดวงเดือนเล่า ถึงเรื่องราวเก่าก่อน ครั้งยังละอ่อนเยาว์วัย เธอเป็นเจ้าหญิงของเวียงเชียงใหม่ ครั้นวารผ่านไป เปลี่ยนเสียงเรียกหา เป็นลูกสาว เป็นเมียแก้ว เป็นยอดมารดา เป็นยอดหญิงของล้านนา ตลอดกาล เอยฯ”

ความนำ ว่าด้วย ‘เจ้านายสตรีล้านนา’ ผู้เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า

ข้อความไพเราะข้างต้นที่ยกมานี้ คัดมาจากบทนำของบทความเรื่อง ‘ดวงเดือน... เจ้าหญิงของล้านนา’ ในหนังสือเรื่อง ‘เดือนส่องหล้า สืบสานล้านนา’ หนังสือที่สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเชียงใหม่จัดทำเนื่องในโอกาสงานครบรอบ 80 วัสสา เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 22-24 พฤษภาคม พ.ศ.2552   

ในทัศนะของผู้เขียน เห็นว่าหนังสือเรื่อง ‘เดือนส่องหล้า สืบสานล้านนา’ นี้ เป็นเล่มสำคัญสำหรับการศึกษาประวัติชีวิตของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เพราะไม่เพียงแต่เป็นเล่มที่มีการรวบรวมประวัติของเจ้านายสตรีล้านนาท่านหนึ่งไว้อย่างเป็นระบบ เรียบร้อย กะทัดรัดแล้ว ในเล่มดังกล่าวนี้ยังมีการนำเสนอมุมมองของเจ้าดวงเดือนเองที่มีต่อภูมิหลัง ชาติกำเนิด และความเป็นมาของตระกูล ณ เชียงใหม่ ถือได้ว่าเป็น ‘ประวัติเจ้าดวงเดือน ตามมุมมองของเจ้าดวงเดือน’ เพราะเรียบเรียงมาจากคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าดวงเดือนเอง  

หนังสือเล่มดังกล่าวนี้ได้ให้ข้อมูลว่า เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เกิดเมื่อปีมะเส็ง พ.ศ.2472 ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 เจ้าพ่อคือ ‘เจ้าราชภาคินัย’ (เจ้าเมืองชื่น ณ เชียงใหม่) จึงตั้งชื่อให้ว่า ‘ดวงเดือน’ เจ้านายในราชวงศ์ทิพย์จักร ก็ให้ความเคารพเชื่อถือด้วยเป็นคนเกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า คือ ‘วันวิสาขบูชา’

เจ้าแม่ของเจ้าราชภาคินัยคือ ‘เจ้าหญิงฟองนวล’ ธิดาของ ‘เจ้ามหายศฯ’ ซึ่งเป็นโอรสของ ‘เจ้าไชยลังกา พิศาล โสภาคุณ’ เจ้าผู้ครองนครลำพูนลำดับที่ 6 น้องสาวของเจ้ามหายศ คือ ‘เจ้าแม่รินคำ’ เป็นเทวีอันดับ 1 ของ ‘พระเจ้าอินทวิชยานนท์’ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ลำดับที่ 7 โอรสของเจ้าแม่รินคำคือ ‘เจ้าอินทวโรรส’ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ลำดับที่ 8 

ดังนั้น เจ้าพ่อ (เจ้าราชภาคินัย) จึงเป็นเจ้านายสืบสายมาจากเจ้าหลวงทั้งฝ่ายบิดาและมารดา คือทั้งเจ้าลำพูนและเจ้าเชียงใหม่ ตัวเจ้าราชภาคินัยเองก็รับราชการกับสยามมีบรรดาศักดิ์เป็น ‘เจ้าทักษิณนิเวศน์’ (ต่อมาได้เลื่อนเป็น ‘เจ้าราชภาคินัย’) ทางเหนือเรียกว่า ‘เจ้าสัญญาบัตร 2 ชั้น’

เดิมทีเจ้าราชภาคินัยสมรสกับเจ้าด้วยกันคือ ‘เจ้าหญิงบัวทิพย์’ ธิดาของเจ้าแก้วนวรัฐ แต่ไม่มีทายาท ต่อมาจึงได้สู่ขอสาวงามมาเป็นหม่อม ชื่อว่า ‘หม่อมจันทร์เทพ’ จึงมีทายาท 4 คน คือ เจ้าอาทิตย์ ณ เชียงใหม่, เจ้านิภาพันธ์ ณ เชียงใหม่, เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ และเจ้าประเวศ ณ เชียงใหม่ เป็นต้น เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เป็นลูกคนที่ 3 ของเจ้าราชภาคินัย (เมืองชื่น ณ เชียงใหม่) 

จาก ‘ลาวดวงเดือน’ ถึง ‘เจ้าดวงเดือน’ & ล้านนา: จาก ‘ลาว’ เป็น ‘ไทย’

อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่าการที่เจ้าราชภาคินัยเป็นเจ้านายเชียงใหม่ที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับชนชั้นนำสยาม เป็นศิษย์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ คำว่า ‘เจ้าราชภาคินัย’ เองก็เป็นตำแหน่งราชทินนามที่ได้รับแต่งตั้งจากสยาม จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญที่เจ้าราชภาคินัยตั้งชื่อธิดาคนหนึ่งด้วยคำเรียกที่พ้องกับ ‘เพลงลาวดวงเดือน’


 

‘ลาว’ ที่แต่ก่อนนั้นไม่ได้หมายถึงแต่เฉพาะ ‘ลาวอีสาน’ หรือ ‘ลาวล้านช้าง’ หากแต่ยังมี ‘ลาวล้านนา’ คือชาวล้านนาก็ถูกเรียกเป็น ‘ลาว’ ยังไม่ถือว่าเป็น ‘ไทย’ หรือ ‘ไท’ เหมือนอย่างในยุคหลัง คำว่า ‘ลาวดวงเดือน’ ในเพลงลาวดวงเดือน ที่มีเนื้อร้องเริ่มต้นว่า “โอ้ละหนอ... ดวงเดือนเอย’” นั้นจึงคือ ‘ลาวล้านนา’    

เพลงลาวดวงเดือนนั้นเป็นที่รู้กันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้วว่า เป็นพระนิพนธ์ของ ‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม’ พระราชโอรสใน ‘พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ กล่าวกันว่ากรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ทรงประพันธ์เพลงนี้ขึ้นมาหลังจากที่คลั่งรักสาวล้านนาแล้วไม่สมหวัง สาวล้านนานางนั้นคือ ‘เจ้าทิพเกษร’ เจ้านายสตรีจากเชียงใหม่พระองค์แรกที่ถูกส่งมาถวายตัวให้กับราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ 5 

(3) เจ้า D2 (เจ้าดีที่สอง) & ชีวิตภายใต้ ‘คุ้มหลวง’ ของเมืองเชียงใหม่เดิม

ในจำนวนคำยกย่องที่มีต่อเจ้าดวงเดือน มีคำยกย่องหนึ่งที่มีนัยยะทางประวัติศาสตร์ คือยกย่องว่าเป็น ‘เจ้า D2’ (เจ้าดีที่สอง) เพราะ ‘เจ้า D1’ นั้น ในหมู่เจ้านายฝ่ายเหนือจะหมายถึง ‘เจ้าดารารัศมี’ พระราชชายาใน ‘พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ แต่เจ้านางทั้งสองพระองค์ก็มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ด้วยเกิดคนละยุคสมัยกัน 

จากเล่ม ‘เดือนส่องหล้าฯ’ เจ้าดวงเดือนได้เล่าว่า “ข้าเจ้าเติบโตจากคุ้มหลวง ชีวิตที่สัมผัสเมื่อครั้งเจ้านายยังรุ่งเรืองก็ถูกอบรมมาแบบชาวคุ้ม” คำว่า ‘ชาวคุ้ม’ นั้นหมายถึงเป็นเจ้านายของล้านนา ‘คุ้มหลวง’ ยังเป็นคำเรียกที่ใช้แทนหรือเทียบเท่ากับ ‘พระราชวัง’ หรือ ‘วังหลวง’ ของภาคกลาง ตามความทรงจำในวัยเยาว์ เจ้าดวงเดือนได้เล่าถึงลักษณะความใหญ่โตโอ่อ่าของสถานที่ทรงถือกำเนิดและเติบโตมาไว้ดังนี้:      

“คุ้มหลวงนั้นสร้างด้วยไม้ 2 ชั้น หลังใหญ่โตมาก หลังคาก็มุงด้วยแป้นเกล็ดไม้สัก มีห้องหลายห้อง หน้าต่างเป็นไม้ แผ่นใหญ่หนานั่งได้ กลอนประตู หน้าต่างเป็นเหล็กยาวอย่างดี ตัวคุ้มกว้างแผ่เป็นซีกซ้ายขวา เจ้าแม่จะอยู่ซีกด้านตะวันออก เจ้าพ่อจะอยู่ซีกด้านตะวันตก

“...ระเบียงชั้นล่างชั้นบนรอบตัวคุ้มก็เป็นไม้สัก ฉลุลวดลายโบราณงดงาม ชั้นล่างนอกจากห้องต่าง ๆ ยังมีระเบียงไว้นั่งเล่นหรือรับแขก ต่อหลังคาไม้โปร่งเป็นเรือนกล้วยไม้ ด้านหน้าเป็นบันไดหินอ่อนสีดำ ลดหลั่นลงสู่พื้นซีเมนต์ออกประตูหน้า มีขอบกั้นบริเวณสนามหน้าคุ้ม มีสระเลี้ยงปลา 2 สระ ด้านซ้ายขวาจัดหินประเภทเขามอ บนขอบจะรายรอบด้วยกระถางลายคราม ปลูกต้นตะโกดัดรูปร่างแปลก ๆ รอบขอบสนามหน้าตัวคุ้มจะปลูกต้นไม้ดอกในวรรณคดีไทยนานาชนิด เช่น ต้นจันทน์กระพ้อ สารภี จำปี จำปา เข็มเศรษฐี ยี่โถสีต่าง ๆ กุหลาบและมะลิ”

แต่ทุกอย่างก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อล้านนาถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ประเทศสยาม’ และในช่วงเดียวกันนั้นสยามก็นำเอาระบบการปกครองแบบเจ้าอาณานิคมเข้ามาปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางกับหัวเมือง อีกทั้งยังรวมศูนย์อำนาจมาที่สถาบันพระมหากษัตริย์ตามรูปแบบที่เรียกว่า ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ (Absolute monarchy) ยกเลิกระบบเก่าที่ถือว่าพระมหากษัตริย์ส่วนกลางมีสถานะแบบ ‘จักรพรรดิราช’ (Chakaravatin)  

สมัยจักรพรรดิราชนั้นเป็นระบบแบบมีกษัตริย์หลายพระองค์ ครองแว่นแคว้นต่าง ๆ โดยพระมหากษัตริย์ที่ส่วนกลางทรงมีสถานะเป็น ‘ราชาเหนือราชาทั้งหลาย’  แต่ละแว่นแคว้นมีอิสระปกครองภายในของตนเอง โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่พระมหากษัตริย์ส่วนกลาง 3 ปี 1 ครั้ง หรือ 2 ปีต่อ 1 ครั้ง แล้วแต่ยุคสมัย 

ขณะที่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นยุคที่มีพระมหากษัตริย์เพียงองค์เดียว คือองค์ที่ครองราชย์อยู่ที่ส่วนกลาง (คือกรุงเทพฯ) เท่านั้น ที่อื่นมีไม่ได้ ถ้ามีหรือมีใครตั้งตนเป็นกษัตริย์ที่หัวเมือง จะต้องถูกกองทัพจากส่วนกลางเข้าไปปราบปราม  

จากจุดนี้จึงทำให้เจ้านายท้องถิ่นที่เคยมีอดีตรุ่งเรือง ก็ถึงคราต้องปรับตัวกันอย่างปัจจุบันทันด่วน ที่ปรับไม่ทัน ช้าไป หรือไม่ยอมปรับตัว ก็ต้องมีอันต้องแพ้ไป ไม่ได้เป็นเจ้าอยู่ต่อ หมดสิ้นบุญวาสนา ที่ปรับตัวได้ก็มีชีวิตอยู่อย่างรุ่งเรืองต่อไป กรณีเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ และครอบครัว เป็นอย่างในกรณีหลังนี้ คือยอมปรับตัวเข้ากับระบบใหม่แล้วเกิดได้ใจประชาชน โดยเฉพาะคนท้องถิ่นล้านนาด้วยกัน      

‘เจ้านายหัวเมืองเหนือ’ ภายใต้สมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม

ในคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าว เจ้าดวงเดือนยังได้เล่าถึงความแตกต่างระหว่างชีวิตเจ้านายฝ่ายเหนือยุคก่อนหน้าและหลังจากขึ้นกับสยามยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ดังนี้:  

“สมัยเจ้าหลวงองค์ก่อน ๆ เชียงใหม่มีอิสระในการปกครองตนเอง สามารถเก็บภาษีอากรต่าง ๆ ได้เอง มีอำนาจในการตัดสินลงโทษคนและประหารชีวิตได้ ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบทอดกันถึงสมัยพระเจ้าชีวิตอ้าวว่า ทรงปกครองบ้านเมืองได้เข้มแข็งและเด็ดขาดนัก จนไพร่ฟ้าข้าทาสเกรงกลัว สมัยก่อนเจ้านายเป็นเจ้าของไร่นาสาโทมากมาย แม้กระทั่งวัวควายที่ทำนาเมื่อตกลูกตกหลานก็เป็นของท่านหมด”

แต่แม้จะถูกลดสถานะและบทบาทลงไปกว่าในอดีตมาก ก็มีสิ่งที่ชดเชย และดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ยังความพึงพอใจให้แก่เจ้านายฝ่ายเหนือเป็นอย่างมาก ก็คือการที่เจ้านายฝ่ายเหนือได้ไปสมรสสร้างความเป็นเครือญาติกับเจ้านายพม่า ทำให้ได้รับสิทธิ์ในการค้าไม้ เรื่องนี้เจ้าดวงเดือนก็เล่าไว้ เช่นที่ว่า: 

“เจ้าเชียงใหม่ของเราไปสมรสกับเจ้าพม่าได้เป็นเจ้าของป่าไม้หลายป่า และรายได้จากป่าไม้นี้ ทำให้ชีวิตของเจ้านายมีความสุขสบายกัน”

เรื่องที่เจ้านายเชียงใหม่สมรสกับเจ้านายพม่าและได้สิทธิ์ผูกขาดการค้าไม้นี้ที่จริงก็เป็นที่รู้กันในหมู่ชนชั้นนำสยาม แต่ที่ไม่ถูกขัดขวางก็เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ได้กระทบต่อการปรับเปลี่ยนสถานะของพระมหากษัตริย์ส่วนกลางที่ทรงมีปณิธานจะเป็น ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ อีกทั้งเจ้านายที่ไปสมรสกับเจ้านายพม่ายังไม่ใช่ชั้นพระธิดาองค์สำคัญ เพราะพระธิดาองค์สำคัญนั้นได้ถูกส่งมาอภิเษกสมรสกับกษัตริย์สยาม และเจ้านายสตรีองค์สำคัญองค์หนึ่งที่ถูกส่งมาในยุคสมัยดังกล่าวนี้ก็คือ ‘เจ้า D1’ คือเจ้าดารารัศมี ธิดาของ ‘พระเจ้าอินทวิชยานนท์’ เจ้านครเชียงใหม่  

เมื่อยังคงสถานะเป็น ‘เจ้า’ และมีชีวิตสุขสบายเพราะมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการผูกขาดการค้าไม้ ก็ไม่อนาทรร้อนใจต่อเรื่องอื่น ๆ ที่กำลังเกิดกับล้านนา การต่อต้านการยึดครองแบบอาณานิคมที่สยามกระทำต่อล้านนา ไปแสดงออกและรวมศูนย์อยู่ที่เรื่องของ ‘ตนบุญ’ คือ ‘ครูบาศรีวิชัย’ ผิดกับกรณีภาคใต้ที่ผู้นำการต่อต้านเป็นเจ้า เช่น กรณีเจ้าแขกเจ็ดหัวเมือง และกรณีขบถผู้มีบุญอีสาน ผู้นำขบวนการต่อต้านเวลานั้นบางส่วนได้ประกาศตั้งตัวเป็นเจ้า เพื่อเรียกฟื้นแรงศรัทธาจากไพร่ฟ้าประชาชน เป็นต้น  

“โอ้ละหนอ ดวงเดือนเอย” & ชีวิตหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

ในความทรงจำของเจ้าดวงเดือน เจ้านายเชียงใหม่ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถึงจะถูกลดบทบาทลงไปมาก ก็ยังเป็น ‘เจ้า’ แต่ในช่วงหลังจากที่สยามเปลี่ยนการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 แล้ว เจ้านายเชียงใหม่รวมถึงเจ้านายท้องถิ่นอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบด้วย:   

“เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในบ้านเมือง ยุคเจ้าแก้วนวรัฐองค์ที่ 9 เราหมดอำนาจสิทธิ์ขาด และป่าไม้ถูกยึดเป็นของหลวง เจ้าหลวงต้องกินเงินเดือนจากรัฐบาลตามที่เขากำหนดให้ รายได้จากป่าไม้ก็หมดไป ทำให้เจ้านายบุตรหลานรุ่นหลังปรับตัวไม่ทัน ในที่สุดเมื่อหมดบุญเจ้าแก้วนวรัฐแล้ว ทางการก็ยุบตำแหน่งเจ้าหลวงเสีย เป็นอันว่าองค์ท่านก็เป็นเจ้าผู้ครองนครองค์สุดท้าย”

ผลกระทบที่ว่านี้ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไม่เพียงเจ้านายฝ่ายเหนือต้องหลบลี้หนีภัยสงคราม ออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปอยู่ในท้องที่ที่ไม่เป็นเป้าหมายการทิ้งระเบิด แล้วยังเป็นช่วงที่มีวิกฤติเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพง กระทั่งต้องขายคุ้มหลวง: 

“พอข้าเจ้าอายุได้ 12 - 13 ขวบ ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเราย้ายไปหลบภัยที่อำเภอสันกำแพง ทิ้งคุ้มหลวงไว้ให้ผจญภัยกับการขาดคนดูแลอย่างที่ควรจะเป็น ความฝืดเคืองนานัปการจากภัยสงครามคงจะเป็นปัญหาให้ท่านขบคิดหนัก ข้าเจ้าเคยเห็นพ่อค้าที่ร่ำรวยจากสงคราม มาติดต่อขอซื้อคุ้ม คิดว่าท่านคงจะปลงกับความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตและตัดสินใจเลือกทางที่สุขสงบและเป็นสุขในบั้นปลาย ในที่สุดคุ้มหลวงก็ถูกขายไป คนเก่าแก่บางคนได้แบ่งปันทุนรอนออกไปตั้งตัว ใครสมัครใจจะอยู่รับใช้ก็อยู่กันไป มาสร้างคุ้มใหม่ที่สันกำแพง แม้ไม่ใหญ่โต แต่ก็มีชีวิตสงบสุข”

‘ความเป็นเจ้า’ เหลือไว้แต่คำนำหน้ากับเกียรติยศที่จะได้การยอมรับจากสังคม แต่ก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขของการเป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์เป็นแบบอย่างแก่ประชาชนคนอื่น ๆ เพราะระบบใหม่นั้นถือว่าอำนาจสูงสุดเป็นของปวงประชาราษฎร    

“เมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนแปลง เจ้าทางเหนือถูกลดบทบาทลง ลูก ๆ ของเจ้านาย ทางการท่านให้คงไว้แต่เพียง ‘เจ้า’ เป็นคำนำหน้านาม ส่วนรุ่นลูก ๆ ของ ‘เจ้า’ ท่านก็ให้คงไว้แต่เพียงนามสกุล ‘ณ เชียงใหม่’ ทำให้พวกเราต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์บ้านเมือง แต่ดูเหมือนเจ้าพ่อเจ้าแม่ท่านจะรับกับการเปลี่ยนแปลงได้ดี”

การเมืองระบอบใหม่ & ‘เจ้าจันทร์ผมหอม’ ในชีวิตจริง (ที่ยิ่งกว่านิยาย) 

สิ่งที่สะท้อนว่า เจ้าพ่อเจ้าแม่ของเจ้าดวงเดือนรับกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยได้ดีนี้ นอกจากการตัดสินใจขายคุ้มหลวงแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญไปกว่านั้นอีกคือการไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางเมื่อธิดา ซึ่งเป็นถึงเจ้านายสตรีชั้นสูงของเชียงใหม่ จะมีสามีเป็นสามัญชน ไม่ได้แต่งกับเจ้าด้วยกันเอง แถมยังเป็นสามัญชนชาวเชียงใหม่ในตระกูลที่นับถือคริสเตียนมีหัวเสรีนิยมอีก คือ ‘คุณพิรุณ อินทราวุธ’ 

แต่ทั้งนี้คุณพิรุณ เป็นทายาทของ ‘พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง’ คือเป็นบุตรคนสำคัญของนายทุนกระฎุมพีท้องถิ่นชาวเชียงใหม่ การที่เจ้านายในระบบศักดินาเก่าเผชิญความเปลี่ยนแปลงแล้วต้องเลือกแต่งงานกับคนชนชั้นนายทุนที่ร่ำรวย เพื่อความอยู่รอดนี้ เป็นเรื่องที่ถูกนำเอามาเรียบเรียงเป็นนวนิยายคลาสสิคอยู่หลายเรื่องด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือเรื่อง ‘เจ้าจันทร์ผมหอม: นิราศพระธาตุอินแขวน’ แต่งโดยนักเขียนนาม ‘มาลา คำจันทร์’ นางเอกของเรื่องก็เป็นเจ้านายสตรีที่ต้องแต่งงานกับสามัญชน (ชั้นนายทุนกระฎุมพี)  

ผู้อ่านที่ไม่เคยถูกสปอยล์ ต้องอ่านอย่างมีลุ้นว่าท้ายสุดแล้ว พ่อเลี้ยงผู้เป็นพระเอกของเรื่อง ‘เจ้าจันทร์ผมหอม’ จะเผย ‘ปานแดงที่แก้มก้น’ เมื่อไหร่ ในระหว่างทางที่พาเจ้านางไปนมัสการพระธาตุอินแขวน แต่จนแล้วจนรอด อ่านจนจบไป มาลา คำจันทร์ ก็ไม่ได้ให้พ่อเลี้ยงเผยปานแดง อันเป็นสัญลักษณ์ว่าเดิมทีพ่อเลี้ยงผู้นี้มีชาติกำเนิดเป็นชนชั้นสูงด้วยกัน จึงมีสถานะคู่ควรแก่การเป็นสามีของเจ้านางแต่อย่างใด ตรงข้ามกลับเป็นเจ้านางที่ต้องละทิ้งขนบความคิดเดิมและธรรมเนียมเก่า ปรับเข้าหายุคใหม่ โดยมีเส้นผมเป็นสัญลักษณ์ที่เอาไปตัดถวายแด่พระบรมธาตุ 

เมื่อได้อ่านประวัติของเจ้าดวงเดือน ตามที่เจ้าดวงเดือนได้ให้สัมภาษณ์ไว้นี้แล้ว เชื่อว่าหากผู้อ่านเคยอ่านเรื่อง ‘เจ้าจันทร์ผมหอม’ มาก่อน ย่อมอดคิดไม่ได้ว่า เจ้าดวงเดือนนี้คือ ‘เจ้าจันทร์ผมหอมตัวจริงเป็น ๆ’ ในแง่ที่เป็นเจ้านายสตรีหัวเมืองเหนือที่ปรับตัวเข้าหายุคใหม่ได้ดี 

นับแต่เข้าเรียนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกลับบ้านที่เชียงใหม่ แล้วแต่งงาน สามี (คุณพิรุณ อินทราวุธ) เริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็นทนายความ ต่อมาเข้าสู่ชีวิตทางการเมือง เริ่มตั้งแต่การเมืองระดับท้องถิ่นในสภาเทศบาล สภาจังหวัด และระดับชาติคือเป็น ‘สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร’ 

ไม่เพียงแต่กรณีของเจ้าดวงเดือนกับคุณพิรุณ เจ้านายหัวเมืองฝ่ายเหนือคนอื่น ๆ ที่ไม่เพียงอยู่รอดปลอดภัย ยังปรับตัวเข้ากับระบบใหม่ได้เป็นอย่างดี ไม่ได้รังเกียจการเมืองของการเลือกตั้งจากประชาชน “ครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง (ของเจ้าดวงเดือน) จะอยู่ในกระแสผูกพันเกี่ยวข้องในแวดวงการเมืองทุกระดับ”

สรุปและส่งท้าย: ‘เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่’ คือแบบอย่างของเจ้านายในระบอบใหม่

‘ความเป็นเจ้า’ (ที่แท้จริง) นั้นอยู่ที่การได้รับความรักความศรัทธาจากประชาชน ไม่ใช่เป็นได้เพราะมีอำนาจแบบจารีตดั้งเดิมที่เคยมีมา ดูเหมือนเจ้านายหัวเมืองฝ่ายเหนือ รวมทั้งครอบครัวของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ จะเข้าใจดีในจุดนี้ จึงเห็นได้ว่าเป็นเจ้าที่ปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี ในเมื่อชีวิตภายใต้ระบอบใหม่นั้นก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาหลอกลวงกันมา (เท่าไรนัก)  

สำหรับหัวข้อคำถามที่ใครหลายคนสงสัยใคร่รู้ที่ว่า ถ้าสยามตกเป็นอาณานิคมแล้ว ชนชั้นนำสยามจะเป็นอย่างไร? คำตอบหนึ่งก็ดูได้จากตัวอย่างที่ ‘เจ้าล้านนา’ เป็นให้เห็นในชีวิตจริง แต่ทั้งนี้ขึ้นกับว่า ‘เจ้าสยาม’ จะปรับตัวได้ดีเพียงใดเมื่อเทียบกับที่ ‘เจ้าล้านนา’ กระทำให้เห็นกันมา   

เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ จะไม่ใช่ ‘เจ้า’ ในแบบที่เรารู้จัก หากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475  คือเป็น ‘เจ้า’ ในแบบที่ผู้คนเคารพรักและศรัทธา โดยที่ไม่ได้มีอำนาจตามระบบโครงสร้างแบบดั้งเดิม เป็นอำนาจแบบใหม่ภายใต้วัฒนธรรมของการเมืองแบบที่เสียงของประชาชนเป็นผู้กำหนด จาก ‘ไพร่ฟ้า’ มาสู่ ‘ปวงประชา’ ไพร่ฟ้าที่เดิม เจ้าเป็น ‘เจ้าชีวิต’ มีอำนาจตัดสินชี้เป็นชี้ตาย มาสู่ ‘ประชาชน’ ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยสูงสุด  

อันที่จริงแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ จริยวัตรที่งดงาม การอุทิศตนเป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมท้องถิ่นล้านนา แบบที่เจ้าดวงเดือน และครอบครัว ทำมาโดยตลอดนี้ แทบจะไม่ได้แตกต่างอย่างมีสาระสำคัญไปกว่าที่เจ้านายในพระราชวงศ์ของญี่ปุ่น เป็นและทำกันเท่าไรเลย การใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนคนธรรมดาไม่ทำให้ผู้ใดตกต่ำ และลำพัง ‘ชาติกำเนิด’ ก็ไม่ทำให้ใครสูงส่งไปกว่าผู้อื่น สังคมวัฒนธรรมของแต่ละยุคสมัยยังมีองค์ประกอบอย่างอื่นในการสร้างบุคคลอันเป็นที่เคารพสักการะอย่างแท้จริง 

ถ้าจะมีเรื่องใดที่จัดเป็น ‘ไฮไลท์’ สำหรับประวัติชีวิตของเจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ ก็คงเป็นเรื่องนี้ แน่นอนว่ายังมีเรื่องอื่นอีก แต่เรื่องอื่นนั้นไม่รู้ ถ้าอยากรู้ก็คงต้องไปถามน้องหมูเด้งที่เขาเขียวเอาเองเถิดนะขอรับ...      

 

เรื่อง: กำพล จำปาพันธ์
ภาพ: เพจเฟซบุ๊ก เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ 

อ้างอิง:
    กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม. ‘รักแสนเศร้า (?) ของ ‘กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม’ ผู้แต่ง ‘ลาวดวงเดือน’’ (เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567). 
    เดือนส่องหล้า สืบสานล้านนา ในโอกาสครบรอบ 80 วัสสา เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่. เชียงใหม่: สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเชียงใหม่, 2552. 
    มาลา คำจันทร์. เจ้าจันทร์ผมหอม: นิราศพระธาตุอินแขวน. กรุงเทพฯ: บุ๊ครีวิว, 2534.  
สารานุกรมเสรี (Wikipedia). ‘เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่’ (สืบค้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567).