09 ธ.ค. 2568 | 18:00 น.

KEY
POINTS
“ผมเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง หลังจากถูกจองจำมา 33 ปี คุณปลดปล่อยผมจากการเป็นเชลยของความเจ็บปวด”
หนึ่งในผู้ป่วยของ ‘ดร.โอลิเวอร์ แซคส์’ (Dr. Oliver Sacks) กล่าวขอบคุณ หลังจากหมอปลุกเขาจากการถูกขังทั้งเป็น เพราะอาการป่วยด้วยโรคไข้สมองอักเสบ (encephalitis lethargica) บ้างก็ถูกเรียกว่า โรคนอนหลับ (sleeping sickness) โรคร้ายที่ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถขยับร่างกาย พูดคุย หรือตอบสนองต่อสิ่งรอบกายได้ คล้ายกับอาการ locked-in syndrome แซคส์บรรยายผู้ป่วยว่า “มีสติและรับรู้ แต่ไม่ตื่นเต็มที่”
นี่คือเรื่องจริงที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ Awakenings (1990) ซึ่งดัดแปลงจากหนังสือบันทึกความทรงจำของ ดร. โอลิเวอร์ แซคส์ ที่ตีพิมพ์ในปี 1973 จนถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ บทดัดแปลงยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (โรเบิร์ต เดอ นีโร) และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
นี่คือเรื่องจริงที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ Awakenings (1990) ดัดแปลงจากหนังสือบันทึกความทรงจำของ ดร. โอลิเวอร์ แซคส์ ที่ตีพิมพ์ในปี 1973 จนถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ บทดัดแปลงยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (โรเบิร์ต เดอ นีโร) และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม กำกับโดย เพนนี มาร์แชล (Penny Marshall) และนำแสดงโดย โรบิน วิลเลียมส์ (Robin Williams') และ โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Niro) ทั้งคู่รับบทเป็นแพทย์และคนไข้ ถ่ายทอดเรื่องราวที่ทั้งอบอุ่นหัวใจและสะเทือนใจไปพร้อมกัน เพราะนี่คือการใช้เรื่องจริงที่ปรากฎอยู่ในบันทึกความทรงจำของคุณหมอผู้ช่วยเหลือคนไข้ทุกวิถีทาง โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตน หลังจากภาพยนตร์ออกฉาย ทำรายได้กว่า 52 ล้านดอลลาร์ (Box Office Mojo)
และนี่คือเรื่องราวของ ‘ดร.โอลิเวอร์ แซคส์’ หมอผู้ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อไขปริศนาของโรคร้าย ปลุกพวกเขาให้ฟื้นจากการหลับใหล และคืนชีวิตที่ปกติสุข กลับมาบนโลกใบนี้อีกครั้ง
โอลิเวอร์ แซคส์ เกิดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 1933 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ลูกชายคนสุดท้องจากสี่คนของ ซามูเอล แซคส์ (Samuel Sacks) และ มูเรียล เอลซี แลนเดา (Muriel Elsie Landau) เขาเติบโตท่ามกลางครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ พ่อเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ส่วนแม่เป็นหนึ่งในศัลยแพทย์สตรีกลุ่มแรกของอังกฤษ
วัยเด็กของเขาถูกปกคลุมด้วยเงามืดของสงคราม เมื่อเยอรมนีเริ่มทิ้งระเบิดโจมตีลอนดอนอย่างต่อเนื่อง โอลิเวอร์วัยแปดขวบและพี่ชายของเขาจึงถูกส่งไปยังโรงเรียนประจำในชนบท การต้องแยกจากบ้านและพ่อแม่ รวมถึงระเบียบวินัยอันเข้มงวดของโรงเรียน เป็นประสบการณ์ที่สร้างบาดแผลให้เด็กชายโอลิเวอร์อยู่ไม่น้อย
เพราะเขาเป็นคนเก็บตัว ชอบใช้ชีวิตเงียบ ๆ ตามลำพัง เลยรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตา เมื่อโตขึ้นเขาก็ยิ่งเก็บตัวมากขึ้นทุกขณะ ไม่อยากจะพูดกับใครทั้งนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาป่วยเป็นโรคจำหน้าใบหน้าคนไม่ได้ (prosopagnosia) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นไม่บ่อยในสังคมยุคนั้น
เพื่อให้หลุดพ้นจากโรคร้าย เด็กชายโอลิเวอร์ แซคส์ มุ่งหน้าเข้าหาวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง เขาหลงใหลกับแผนผังตารางธาตุขนาดใหญ่ในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา โดยมีลุงทังสเตน ซึ่งเป็นนักเคมีเป็นผู้สนับสนุนความสนใจด้านเคมีของโอลิเวอร์อยู่ไม่ห่าง
ส่วนผู้เป็นแม่ยังได้แบ่งปันประสบการณ์ทางการแพทย์ให้ลูกชายอยู่บ่อยครั้ง โดยนำตัวอย่างสมองที่มีมีอาการของโรค และทารกที่มีความผิดปกติมาให้เขา เพื่อสร้างความคุ้นชินกับอวัยวะและร่างกายมนุษย์ ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เธอยังพาเขาไปสังเกตการผ่าชันสูตรศพมนุษย์อีกด้วย ว่าดันว่าความสนใจของเขาในด้านประสาทวิทยาและสมอง ถูกหล่อหลอมเพิ่มขึ้นที่โรงเรียนเซนต์พอล สถานที่ซึ่งมีคอลเลกชันสมองมนุษย์ดองในโหล รวมถึงสมองของนักเขียนผู้มีชื่อเสียงหลายคน
เป็นเวลาหลายปีที่โอลิเวอร์เดินตามเส้นทางที่ครอบครัวกำหนดไว้ เขาประสบความสำเร็จในการเรียนและได้รับปริญญาแพทย์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แต่เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ความขัดแย้งก็เกิดขึ้นระหว่างเขากับครอบครัว
“ความสนใจในวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่อยู่ภายในใจของผมมาตลอด แต่เมื่อผมได้เรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน ผมกลับไม่ได้สนุกกับมันเท่าเดิม ผมไม่สนุกกับโรงเรียน ผมสนุกกับการเดินชมพิพิธภัณฑ์ สวนพฤกษศาสตร์ ห้องสมุด ห้องปฏิบัติการ ที่ที่ทำให้ได้สัมผัสกับสิ่งต่างๆ โดยตรง ผมไม่ชอบโรงเรียนและตำราเรียน”
โอลิเวอร์ยอมรับกับพ่อว่าเขาเป็นเกย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่พ่อแม่ไม่สามารถรับได้ นี่คือพฤติกรรมที่ขัดกับหลักคำสอนของศาสนายิวออร์โธดอกซ์ที่ครอบครัวศรัทธา รอยร้ายครั้งนั้นไม่อาจประสานได้อีกต่อไป เขาจึงตัดสินใจแสวงหาชีวิตใหม่ หนีให้พ้นจากอิทธิพลของครอบครัว และย้ายไปยังสหรัฐอเมริกาในปี 1960
โอลิเวอร์เริ่มต้นฝึกงานด้านประสาทวิทยาที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) ซึ่งเขาได้ทำการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านในด้านประสาทวิทยาที่นั่นด้วย
เขาชอบชีวิตที่แคลิฟอร์เนียตอนใต้ ที่นี่โลกของเขาเปิดกว้างได้พบเจอผู้คนที่หลากหลาย แม้จะยังจำหน้าคนไม่ได้ แต่เขาก็รู้สึกมีความสุขกับแคลิฟอร์เนียอยู่ดี เขาตัดสินใจซื้อมอเตอร์ไซค์และออกเดินทางไกลเพื่อเปิดโลกใบใหม่ในซานฟรานซิสโก กระทั่งได้รู้จักกับ ‘ธอม กันน์’ (Thom Gunn) กวีชาวอังกฤษ ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการเข้าสู่วงการเขียนหนังสือของเขา
หลังจากออกมาใช้ชีวิตลำพัง โอลิเวอร์เลือกพักอยู่ในชุมชนริมทะเลที่เวนิส และถึงขั้นทดลองใช้ยาเสพติดหลายชนิดเพื่อทำความเข้าใจโลกของผู้เสพยา โดยเขาได้บรรยายไว้ในบันทึกความทรงจำชื่อ Hallucinations ว่าการทดลองใช้ยา ทำให้เข้าใจอาการหลงผิดของผู้ป่วยจิตเวชได้มากขึ้น แต่มันก็นำพาอันตรายมาสู่ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาเช่นกัน
ในปี 1965 ดร.โอลิเวอร์ในวัยสามสิบต้น ๆ ย้ายไปนิวยอร์กซิตี้ เมืองที่จะกลายเป็นบ้านของเขาตลอดชีวิตที่เหลือ เขาเลิกใช้ยาเสพติด ปรับความคิดใหม่ หันมาให้ความสนใจกับการเป็นแพทย์ประสาทวิทยา หนึ่งในงานชิ้นแรก ๆ ของเขาในนิวยอร์กคือการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลเบธ อับราฮัม (Beth Abraham Hospital) ในย่านบรองซ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง ที่นั่นเขาได้พบกับกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุที่มักยืนนิ่งราวกับรูปปั้น ซึ่งเป็นผลของการระบาดของโรคไข้สมองอักเสบ หรือโรคหลับใหล ที่เคยพัดผ่านโลกตะวันตกตั้งแต่ปี 1916 - 1927
ผู้ป่วยหลายคนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกมานานกว่า 40 ปี เมื่อเขาได้ทำความรู้จักผู้ป่วยเหล่านั้นมากขึ้น ดร.โอลิเวอร์เริ่มเชื่อว่า พวกเขายังคงหลับใหลอยู่ที่ไหนสักแห่ง เพียงแค่ไม่ตอบสนองต่อโลกปัจจุบันเท่านั้น
ดร.โอลิเวอร์เริ่มการรักษาด้วยการใช้ยาแอล-โดปา (L-dopa) หลังจากทดลองให้ปริมาณยาที่แตกต่างกันหลายต่อหลายครั้ง เขาก็สามารถปลุกผู้ป่วยบางรายให้ฟื้นคืนสติ และกลับมามีสำนึกรับรู้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นเสียทีเดียว เพราะทันทีที่ผู้ป่วยลืมตาตื่นขึ้นมา พวกเขาต้องปรับตัวเข้ากับโลกที่กาลเวลาล่วงเลยไปนานถึง 40 ปี ความจริงข้อนี้เป็นเรื่องที่เจ็บปวด ผู้ป่วยจำนวนมากกลับเข้าสู่ภาวะแคทาโทนิกอย่างรวดเร็ว ขณะที่บางคนค่อย ๆ เสื่อมถอยลง มีเพียงไม่กี่รายที่ยังคงรักษาความสามารถบางอย่างไว้ได้หลายปี หลังจากฟื้นจากอาการหลับใหล
ก่อนที่ดร.โอลิเวอร์จะเข้ามาเป็นแพทย์รักษาผู้ป่วย เขาเริ่มต้นอาชีพแพทย์ในฐานะนักวิจัยมาก่อน แต่ยอมวางมือตั้งแต่แรก ๆ โดยยอมรับว่าเขาไม่เหมาะกับงานนั้น
“ผมทำตัวอย่างหาย…
“ผมทำเครื่องจักรพัง ในที่สุดพวกเขาก็บอกผมว่า ‘แซคส์ คุณเป็นตัวอันตราย ออกไปจากห้องเถอะ ไปดูแลผู้ป่วยดีกว่า’”
นับแต่นั้น ดร.โอลิเวอร์จึงห่างหายจากห้องทดลอง และหันมาเอาจริงเอาจังด้านการดูแลผู้ป่วย เขาจดบันทึกรายละเอียดทุกเคส และมักจะเขียนจดหมายหาที่บ้านเพื่อรายงานความคืบหน้าเสมอ นี่คือข้อความในจดหมายส่วนหนึ่งที่เขาเขียนถึงพ่อแม่
26 มีนาคม 1969
ถึง แม่และพ่อ,
หวังว่าพ่อแม่จะยังแข็งแรงและมีกำลังใจดี…
เรื่องราวที่เบธ อับราฮัม ยังคงดำเนินไปอย่างสะเปะสะปะ ยาโดปายังไม่มาสักที (หัวหน้าของผมซึ่งในใจลึก ๆ เป็นพวกชอบขอของฟรี กำลังพยายามไปขอร้องอะไรสักอย่าง… ทั้งที่แท้จริงแล้วเขามีเงินอุดหนุนก้อนโตที่ตั้งไว้เพื่อซื้อยาชนิดนี้โดยเฉพาะ) และผมแทบไม่อยากเผชิญหน้ากับผู้ป่วยพาร์กินสันที่ได้ให้สัญญากับพวกเขาไว้ว่าจะได้รับยา ผมไม่อยากให้พวกเขาผิดหวัง และถูกโกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นสิบครั้งในหกเดือนที่ผ่านมา พ่อแม่คงไม่แปลกใจที่สถานการณ์โง่ ๆ นี้ทำให้ผมเต็มไปด้วยความโกรธและความรู้สึกผิด โชคดียังมีผู้ป่วยอีกไม่กี่คนที่ผมสามารถศึกษาพวกเขาอย่างเงียบ ๆ ในเวลาของผมเอง ด้วยวิธีของผมเอง อย่างไรก็ตาม มันชัดเจนว่าผมไม่สามารถหวังพึ่งอะไรจากเบธ อับราฮัมได้เลย…
ก่อนจะลืม ขอบคุณแม่นะสำหรับเสื้อหนังมอเตอร์ไซค์ที่ส่งมาถึงเมื่อสองสามวันก่อน
คงเป็นช่วงที่ฤดูใบไม้ผลิกำลังมาถึงในอังกฤษ และสิ่งต่าง ๆ ก็คงกำลังผลิขึ้นจากพื้นดิน
รักษาสุขภาพ เขียนมาหาผมเร็ว ๆ หน่อยนะ ฝากสวัสดีพิเศษให้ไมเคิล ป้าเลน เดวิด และครอบครัวทุกคนด้วย
รักเสมอ,
ระหว่างทำงานอย่างหนัก ทุ่มเททุกอย่างเพื่อผู้ป่วยในความดูแลจนแทบไม่ได้หลับได้นอน แต่เขาก็ไม่ลืมความรู้สึกอยากเขียนหนังสือ แม้ชีวิตกลางวันจะอยู่กับการดูแลผู้ป่วย แต่ในกลางคืน ระหว่างว่างเว้นจากการทำงาน เขาก็เขียนหนังสือเล่มแรก Migraine (1970) เสร็จภายในเวลาเพียงสิบวัน ส่วนรายงานกรณีผู้ป่วยโรคหลับใหลของเขา Awakenings ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1973 ช่วงแรกยังไม่มีใครให้ความสนใจมากนัก แต่ผลงานของเขาก็มีผู้อ่านทั้งแพทย์ประสาทวิทยา และผู้อ่านทั่วไป ที่มองเห็นว่าเขาเป็นทั้งนักเล่าเรื่องผู้มีพรสวรรค์และนักคลินิกที่เปี่ยมความสามารถ
ขณะทำงานที่เบธ อับราฮัม ดร.โอลิเวอร์ยังทำงานที่บ้านพัก Holy Family Homes ซึ่งเป็นสถานพยาบาลบริหารโดยคณะแม่ชี Little Sisters of the Poor หลายแห่ง เช่น เมืองบร็องซ์ เมืองควีนส์ และอีกแห่งในบรูคลิน ซึ่งการกระทำของเขาต่างจากแพทย์คนอื่นอย่างสิ้นเชิง
ดร.โอลิเวอร์มักมองหาความเป็นปัจเจกบุคคลที่ซ่อนอยู่หลังอาการป่วย หวังที่จะรักษาผู้ป่วยแม้ในกรณีที่ดูเหมือนสิ้นหวังที่สุด ตลอดช่วงทศวรรษ 1970 ดร.โอลิเวอร์พยายามรวบรวมประวัติผู้ป่วยที่มีความผิดปกติด้านประสาทวิทยาหลากหลายรูปแบบ เช่น ลมชัก โรคพาร์กินสัน ออทิสติก กลุ่มอาการทูเร็ต ภาวะสมองเสื่อม โรคจิตเภท เนื้องอกในสมอง และการบาดเจ็บที่ศีรษะ
อาการประหลาดที่พบเจอในการทำงานคลินิก ทำให้ ดร.โอลิเวอร์เขียนหนังสือ The Man Who Mistook His Wife for a Hat (ชายผู้เห็นภรรยาเป็นหมวก แปลไทยโดย ชัยภัทร ชุณหรัศมิ์) ผู้อ่านและนักวิจารณ์ต่างหลงใหลในเรื่องราวของชายและหญิง แม้จะมีความสามารถในการทำงานในหลายด้าน แต่กลับสูญเสียความสามารถพื้นฐานที่เรามักมองเป็นเรื่องปกติ
บางคนสูญเสียความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมา หรือไม่สามารถจำสมาชิกครอบครัวและวัตถุธรรมดาได้อีกต่อไป บางคนไม่สามารถควบคุมแขนขาหรือแม้แต่การพูด
ขณะที่บางคนดูเหมือนมีพัฒนาการล่าช้า แต่กลับมีความสามารถทางศิลปะหรือคณิตศาสตร์อันน่าทึ่ง
แน่นอนว่าในระหว่างนี้ เขาก็ยังคงเขียนจดหมายหาที่บ้านเป็นระยะ เพื่อรายงานผลการรักษาผู้ป่วยที่เขาภาคภูมิใจ
[ประมาณเดือนเมษายน 1969]
ถึง แม่และพ่อ,
…ผู้ป่วยสามรายของผมตอนนี้อาการดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากได้รับยาโดปา เดิมทีหนึ่งในนั้นแทบจะไม่สามารถพูดหรือขยับตัวได้… ตอนนี้กำลังพูดคุยและเดินเตาะแตะไปตามทางเดิน ผมเริ่มคิดว่ายาโดปาอาจมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยพาร์กินสันได้มากพอ ๆ กับที่อินซูลินมีต่อผู้ป่วยเบาหวาน หรือใกล้เคียงกัน ในระหว่างนี้ ผมได้ศึกษาผู้ป่วยทั้งสามอย่างใกล้ชิด และกำลังรวบรวมความเข้าใจใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับสภาวะของพวกเขา…
เช่นเคย ผมคงพูดมากเกินไปอีกแล้ว แต่พ่อแม่ก็คงได้รู้ ถึงแม้จะไม่ได้รู้อะไรอย่างอื่นอีก (นอกจากงานของผม) แต่อย่างน้อยตอนนี้ “บารอมิเตอร์ทางอารมณ์” (ซึ่งเหนือกว่าเรื่องอื่นทั้งหมด) ได้ขยับไปที่ระดับ “แจ่มใส” มีฝนประปรายนาน ๆ ครั้ง แต่ก็มีช่วงเวลาสดใสแทรกอยู่…
ฝากความรักถึงทุกคน
17 พฤษภาคม 1969
ถึง แม่และพ่อ,
…ตอนนี้ผมมีผู้ป่วย 15 รายที่ได้ยาโดปา และผมรู้สึกทั้งตะลึงและพึงพอใจอย่างยิ่งกับความสามารถของมัน (ในหลาย ๆ ราย แม้ไม่ใช่ทั้งหมด) ที่ทำให้ผู้ป่วยซึ่งแทบจะกลายเป็น ‘หิน’ มานานหลายปีฟื้นคืนชีพขึ้นมา… แน่นอนว่าเรื่องนี้เองก็นำไปสู่สถานการณ์ที่ซับซ้อน คุณไม่สามารถฟื้นความสามารถในการเคลื่อนไหวและความเป็นอิสระให้กับคนที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นจนแทบทำอะไรเองไม่ได้มาหลายสิบปี… ผมรู้สึกทึ่งกับประเด็นนี้เช่นเดียวกับประเด็นอื่น ๆ…
ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมทำงานอย่างบ้าคลั่ง… ผมกำลังเก็บข้อมูลมากเสียจนแทบจัดการไม่ไหว และกำลังเริ่มมองหางานทางวิชาการที่เกี่ยวกับโรคพาร์กินสัน…
ชาร์ลส์ เมสเซลอฟ (ผู้อำนวยการแพทย์ของเบธ อับราฮัม) ยังคงต้องการให้ทุกคนเข้าไปเกี่ยวข้อง… ตามแนวคิดแบบอเมริกันอันฝันเฟื่องของเขาเรื่อง ‘โครงการใหญ่โต’ และ ‘การทำงานแบบสหสาขาวิชาชีพ’ ผมพยายามเพิกเฉยทุกอย่างเหล่านี้ และถือเอาผู้ป่วยมาเป็นกิจของผมเอง…
ผมมีเรื่องจะเล่าแค่เล็กน้อย เพราะความจริงคือผมแทบไม่มีชีวิตนอกโรงพยาบาลเลย… หวังว่าทุกคนจะสบายดี
รักเสมอ,
นอกจากหนังสือและบทความในวารสารทางการแพทย์แล้ว ดร.โอลิเวอร์ยังเป็นผู้เขียนบทความให้กับนิตยสารหลายฉบับ เช่น The New York Review of Books และ The New Yorker ความเห็นของเขาเป็นที่ต้องการในทุกเรื่องเกี่ยวข้องกับสมอง และผลงานของเขาได้รับการยกย่อง จาก The New York Times ว่าเขาคือ ‘มหากวีแห่งวงการแพทย์’ และมหาวิทยาลัยร็อกกีเฟลเลอร์ได้มอบรางวัล Lewis Thomas Prize แก่เขา รางวัลซึ่งมอบให้แก่นักวิทยาศาสตร์ในฐานะกวี
แม้ชื่อเสียงจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดร.โอลิเวอร์ก็ยังคงตรวจรักษาผู้ป่วย พร้อมกับเขียนหนังสืออยู่ตลอด ถึงเขาจะเป็นคนใช้ชีวิตเงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร แต่กลับมีงานอดิเรกที่น่าสนใจ ดร.โอลิเวอร์ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง เขาเป็นนักว่ายน้ำผู้เก่งกาจ เวลาว่างก็มักจะไปขี่มอเตอร์ไซด์สำรวจโลกอันกว้างใหญ่นี้
ดร.โอลิเวอร์ใช้ชีวิตตามลำพัง ไม่เคยมอบหัวใจหรือรู้สึกรักใคร่ใครเป็นพิเศษ กระทั่งในปี 2008 หลังจากอยู่ลำพังมานานถึง 35 ปี เขาก็ได้สร้างสายสัมพันธ์กับ ‘บิล เฮย์ส’ (Bill Hayes) นักเขียน ที่มีความสนใจด้านประวัติศาสตร์การแพทย์เช่นเดียวกัน
น่าเศร้าที่ทั้งคู่ใช้ชีวิตร่วมกันได้ไม่นานนัก เมื่อ ดร.โอลิเวอร์ตรวจเจอมะเร็ง
“ในหัวของผมไม่ได้คิดถึงมะเร็งเลย ผมยังคงฝากความหวังไว้กับความเป็นไปได้ของนิ่วในถุงน้ำดี ผมคิดว่า อย่างแย่ที่สุด โอลิเวอร์อาจต้องผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก” เฮย์สเล่าย้อนกลับไปช่วงที่ต้องทนทุกข์กับอาการป่วยของคนรัก
“ผมจำได้ว่าหมอเดินเข้ามาในห้องตรวจพร้อมกับแพทย์ฝึกหัดหนุ่มคนหนึ่ง (ผมคิดว่าเขามาจากอิตาลี) และจำได้ว่าเขาดูประหม่ามาก หมอเข้าเรื่องทันทีและบอกเราว่า ได้ตรวจดูผลซีทีสแกนอย่างละเอียด รวมถึงตรวจชิ้นเนื้อเพื่อยืนยัน เขามั่นใจ 90% กับการวินิจฉัย ซึ่งเขาค่อนข้างหนักใจกับเรื่องที่จะพูดกับผม
“ผมจำคำนี้ได้ ‘หนักใจ’ หมอถามโอลิเวอร์ว่าอยากดูผลซีทีสแกนไหม โอลิเวอร์ตอบว่าอยากดู แล้วเขาก็เปิดภาพขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
“เขารู้ทันทีว่าภาพนั้นหมายความว่าอะไร ผมไม่รู้ ผมถึงกับช็อกเมื่อรังสีแพทย์อธิบายว่าสิ่งที่เรากำลังดูอยู่คือการกลับมาอีกครั้งของมะเร็งยูวีอัลเมลาโนมา ที่โอลิเวอร์เคยเป็นเมื่อเก้าปีก่อน มะเร็งที่เกิดจากเซลล์สีในดวงตาขวาของเขา เวลาผ่านไปมันได้แพร่กระจายไปที่ตับของโอลิเวอร์ ซึ่งตอนนี้ตับของเขาพรุนเหมือนชีสสวิส ปกคลุมด้วยเนื้องอกจำนวนมาก เขาขยายภาพบนจอให้ใหญ่ขึ้นจนจุดสีขาว เนื้องอก ดูใหญ่เท่ารอยเจาะกระดาษ
“เมื่อพิจารณาถึงอายุของโอลิเวอร์ หมอบอกว่า การผ่าตัดตัดส่วนของตับหรือการปลูกถ่ายตับเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ติดอยู่ในหัวผมจนถึงตอนนี้คือความสงบของโอลิเวอร์เมื่อได้รับข่าวนี้ ราวกับว่าเขาคาดไว้แล้ว ซึ่งบางทีเขาอาจจะคาดจริง ๆ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย ลูบเครา และถามถึงการพยากรณ์โรค ซึ่งหมอบอกว่า ‘หกถึงสิบแปดเดือน’”
แทนที่จะทดลองรักษาหลาย ๆ แบบ โอลิเวอร์ตัดสินใจทำหัตถการอย่างหนึ่งที่เรียกว่า embolisation ซึ่งจะตัดการไหลเวียนเลือดไปยังเนื้องอกในตับ เพื่อฆ่ามันแต่เป็นเพียงชั่วคราว (มะเร็งจะกลับมาแน่นอน หมอบอกไว้)
หลังจาก ดร.โอลิเวอร์จากไปในวันที่ 30 สิงหาคม 2015 ขณะอายุ 82 ปี ทิ้งคนรักอย่างเฮย์สไว้เบื้องหลัง ต่อมาเขาก็ได้เผยบันทึกความทรงจำต่อคนรัก ในช่วงหนึ่งวันก่อน ดร.โอลิเวอร์จากไปตลอดกาล
29 สิงหาคม 2015
ผมอยู่ข้างกายเขา ในห้องนอนของเขา ซึ่งเคท (เพื่อนของโอลิเวอร์) และผมผลัดกันเฝ้าอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เมื่อมอรีน (พยาบาล) มาปลุกผมจากอีกห้อง “บิลลี่ มาตอนนี้เลย การหายใจของเขาเปลี่ยนไปแล้ว” การหายใจของเขาช้าลงเหลือเพียงสามหรือสี่ครั้งต่อนาที มีช่วงเงียบยาวระหว่างแต่ละครั้ง เขาไม่รู้สึกตัวอีกต่อไป เขานอนเหยียดยาวบนเตียง แลดูสบายดี
มอรีน ซึ่งเคยอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยจำนวนมากในวาระสุดท้าย บอกเราว่านี่คือช่วงสุดท้าย แต่ก็อาจยืดไปอีกหลายชั่วโมง หรือหลายวัน ผมมองไปรอบห้องที่เต็มไปด้วยผ้าปูเตียง ผ้าเช็ดตัว แผ่นรอง ยา ถังออกซิเจน และอุปกรณ์การแพทย์อื่น ๆ
ผมเริ่มเคลียร์มันออกทั้งหมด นำกองหนังสือของโอลิเวอร์เข้ามา จัดโต๊ะข้างเตียง วางมันไว้ที่นั่น ผมนำไซแคดหนึ่งต้นและเฟิร์นมาวาง เคทมาช่วย ผมจัดโต๊ะอีกตัวให้วางแร่และธาตุที่เขารัก ปากกาหมึกซึม ซากฟอสซิล นาฬิกาพก ส่วนในที่อื่น ๆ เราวางหนังสือของฮีโร่ของเขา ดาร์วิน ฟรอยด์ ลูเรีย เอดัลมาน ธอม กันน์ และรูปถ่ายพ่อและแม่ของเขาที่ถ่ายเมื่อครั้งโอลิเวอร์ยังเป็นเด็ก นำภาพร่วมกับพี่น้องออกมาวาง เรานำดอกไม้ เทียน เข้ามาวางเพิ่ม
ผมใจสลาย แต่ก็รู้สึกสงบ เมื่อคืนก่อนผมนอน ผมเข้ามาดูว่าเขาต้องการอะไรไหม
“คุณรู้ไหมว่าฉันรักคุณมากแค่ไหน?” เฮย์สถาม
“ไม่รู้” โอลิเวอร์ตอบ ทั้งที่หลับตาอยู่ เขายิ้ม ราวกับเห็นสิ่งสวยงาม
“รักมากนะ”
“ดี” โอลิเวอร์พูด “ดีมาก”
“ฝันดีนะ”
สิ้นคำบอกฝันดี ดร.โอลิเวอร์ก็ค่อย ๆ หมดลม และจากไปท่ามกลางม่านหมอกแห่งรัตติกาล
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : Getty Images
อ้างอิง
Awakenings True Story: Real Life Doctor & Drug Experiments Explained.
My life with Oliver Sacks: ‘He was the most unusual person I had ever known’
Oliver Sacks, Neurologist Who Wrote About the Brain’s Quirks, Dies at 82.
‘Oliver Sacks: His Own Life’ Review: All Was Not Well With the Doctor.