13 ส.ค. 2568 | 19:00 น.
KEY
POINTS
“หากเราจะแบ่งมนุษย์ออกเป็นผู้ใหญ่กับเด็ก และแบ่งชีวิตออกเป็นวัยเด็กกับวัยผู้ใหญ่ เราจะพบว่าเด็กครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกและของชีวิต แต่ช่างน่าขัน เรากลับมองไม่เห็นค่าของเด็ก เฉกเช่นเดียวกับที่เราเคยมองไม่เห็นความสำคัญของผู้หญิง ชาวนา กลุ่มสังคมที่ถูกขูดรีด และชนชาติที่ถูกกดขี่”
‘ยานุช คอร์ชัค’ (Janusz Korczak) มีชื่อเดิมว่า ‘เฮนรีค โกลด์ชมิต’ (Henryk Goldszmit) เกิดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 1878 ในครอบครัวชนชั้นกลางชาวยิว ณ กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ เขาเป็นนักคิด นักเขียน กุมารแพทย์ และนักการศึกษา บ้างก็ว่าเป็นทูตสวรรค์ เพราะชายคนนี้ ไม่ต่างจากของขวัญจากพระเจ้า เขาคือคนที่ทุ่มพลังอย่างหนักในการศึกษาพฤติกรรมของเด็ก ทั้งในเชิงทางการแพทย์และการออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอน
เมื่อปี 1896 บิดาของเขาซึ่งเป็นทนายชื่อดัง และเป็นเสาหลักของบ้าน เสียชีวิตลงกระทันหัน หลังจากทนทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยมาอย่างยาวนาน ราวกับลมพายุโหมกระหน่ำ ครอบครัวที่เคยมั่นคง กลับสูญเสียคนสำคัญของบ้านไปในพริบตาเดียว คอร์ซัคในฐานะลูกชาย จึงจำใจต้องขึ้นมาเป็น ‘เสาหลัก’ คนใหม่ของบ้าน เขาต้องดูแลแม่ ยาย และน้องสาว ด้วยความยากลำบาก แต่โชคดีที่ผู้หญิงที่อยู่ในชีวิตเขา พร้อมให้กำลัง ยืนหยัดเคียงข้างไม่ห่างไปไหน และด้วยการใช้ชีวิตวัยเด็กเช่นนี้ ได้หล่อหลอมให้เขาเติบโตมาพร้อมกับหัวใจที่มองเห็น ‘คุณค่า’ ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยเฉพาะมนุษย์ตัวจิ๋วที่เรียกว่า เด็ก
คอร์ซัคคือเด็กหนุ่มที่ชื่นชอบการอ่านและการเรียนเป็นชีวิตจิตใจ ในปี 1898 มีการประกวดงานเขียนจัดขึ้น เขาลองส่งงานเขียนเข้าประกวด ใช้นามปากกว่า Janusz Korczak เป็นครั้งแรก โดยได้รับแรงบรรดาลใจมาจากหนังสือ Janasz Korczak and the Pretty Sword Sweeper Lady ของนักเขียนชาวโปแลนด์ ‘ยูเซฟ อิกนาซี คราเชฟสกี’ (Józef Ignacy Kraszewski) และนั่นทำให้เขาเป็นที่รู้จักในชื่อยานุส คอร์ซัคเป็นต้นมา
ระหว่างปี 1898-1904 คอร์ชัคเข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยวอร์ซอ และเขียนบทความให้หนังสือพิมพ์หลายฉบับ เขาเชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ และเข้าทำงานที่โรงพยาบาลเด็ก
ระหว่างปี 1905-1906 ช่วงเวลาที่สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นเปิดฉากขึ้น ในเวลานั้น เขาเป็นแพทย์จบใหม่ เพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน แต่ด้วยหัวใจรักชาติ และไม่อยากเห็นเพื่อนมนุษย์ถูกคร่าชีวิตไปราวใบไม้ร่วง จึงตัดสินใจเข้ารับราชการเป็นแพทย์ทหาร ในระหว่างสงคราม คอร์ซัคยังเลือกทำงานในโรงพยาบาลสำหรับคนยากจนอีกด้วย
แต่สงครามกลับทำให้ใจของคอร์ซัคแหลกสลาย เขาไม่อาจทนเห็นภาพคนบาดเจ็บ ล้มตาย และเสียงกรีดร้องด้วยความทรมานเช่นนี้อีกแล้ว เพราะทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ไม่ต่างกัน คอร์ซัคจึงได้ข้อสรุปว่า แทนที่จะเป็นหมอ ดูเหมือนว่าการเป็นนักการศึกษา จะทำให้เขาสร้างร่องรอยและคุณูปการแก่โลกได้ยั่งยืนกว่าการเป็นหมอเพียงอย่างเดียว
ปี 1908 คอร์ชัคเข้าร่วมสมาคมช่วยเหลือเด็กกำพร้า และในปี 1910 ได้พบกับสเตฟาเนีย วิลชินสกา (Stefania Wilczyńska หรือ Stefa) ผู้ที่จะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดที่สุดของเขา
ผลงานของเขาไม่ว่าจะเป็นบ้านเด็กกำพร้า หรือว่างานเขียน ทั้งหมดล้วนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แม้ว่ารายได้จากการทำงานจะไม่มากนัก แต่ก็มากพอให้เขาสามารถสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าขึ้นมา และเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้อำนวยการ Dom Sierot สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสำหรับเด็กยิวในวอร์ซอ ซึ่งเขาออกแบบเองทั้งหมด
คอร์ซัคแต่งตั้งสเตฟาเป็นรองผู้อำนวยการ และพี่เลี้ยงดูแลเด็กที่มีอยู่ราว 100 คน และเพื่อให้เด็กทุกคนมีสิทธิ มีเสียงเท่าเทียมกัน คอร์ซัคจึงจำลองสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าให้เป็น ‘สาธารณรัฐของเด็ก’ ที่มีรัฐสภา ศาล และหนังสือพิมพ์ของตนเอง
คอร์ซัคเชื่อมโยงรูปแบบการทำงานนี้ในสาธารณรัฐเด็กขนาดเล็กของเขา เข้ากับความพยายามในเวทีนานาชาติที่จะสร้างปฏิญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเป็นครั้งแรก เขาเขียนว่า
“หากผมมอบพื้นที่อย่างมากแก่เรื่องของศาล (court) ก็เพราะผมเชื่อว่าศาลสามารถมีส่วนสร้างความเสมอภาคของเด็ก ปูทางสู่รัฐธรรมนูญ และบังคับให้เกิดการประกาศสิทธิเด็ก เด็กมีสิทธิให้ปัญหาของตนได้รับการจัดการอย่างจริงจัง และรอบคอบด้วยความยุติธรรม จนถึงตอนนี้ ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับอารมณ์ดีหรือร้ายของครู เด็กไม่มีสิทธิที่จะประท้วง ระบอบเผด็จการเช่นนี้ต้องสิ้นสุดลง”
ชายคนนี้ยังต่อต้านการลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีหรือการลงโทษที่โหดร้าย ซึ่งเป็นการกระทำที่พบเห็นได้ตามปกติในยุคนั้น เขายังทำงานในระบบศาลเยาวชนวอร์ซอว์ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ และได้เห็นผลกระทบของการลงโทษรุนแรงต่อเยาวชน ในทางตรงกันข้าม จากหนึ่งร้อยข้อแรกของ comrade court codex คือ การให้อภัย สิ่งนี้สะท้อนมุมมองของคอร์ชัคต่อการเลี้ยงดู เด็กต้องเรียนรู้ทั้งหน้าที่และสิทธิ ต้องได้รับการแก้ไข ตักเตือน เมื่อกระทำผิด แต่ทั้งหมดต้องอยู่ในบรรยากาศแห่งความเข้าใจและการให้อภัย
การปลูกฝังความรับผิดชอบที่พัฒนาในบ้านเด็กกำพร้าภายใต้การนำของคอร์ชัค คือ ทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต้องมีส่วนร่วมในงานบ้าน สิ่งนี้ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ และก่อให้เกิดการสนทนาระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ และระหว่างเด็กด้วยกันเอง เด็กได้ฝึกการแสดงความคิดเห็นและปกป้องตนเองในกิจกรรมประจำวัน พวกเขาเขียนและวาดภาพประกอบในหนังสือพิมพ์ของตนเอง และทำทุกอย่างเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสนทนาและความร่วมมือ
นี่คือการฝึกการทำงานในรูปแบบประชาธิปไตยบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน ผู้ใหญ่เองก็ต้องเรียนรู้ที่จะรับฟัง และในฐานะผู้มีประสบการณ์มากกว่า ต้องรับผิดชอบในฐานะคู่สนทนา ผู้นำทาง และผู้บ่มเพาะ ที่เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ข้างหน้าอยู่เสมอ
การกระทำของเขาสร้างความฮือฮาในสังคม ณ ห้วงเวลานั้นอย่างมาก เขากลายเป็นนักการศึกษาที่โดดเด่น และนับตั้งแต่ปี 1912 ชื่อของเขาก็ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง งานเขียนของเขาทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับสิทธิของเด็ก ผู้คนเริ่มเข้าใจว่า เด็กเองก็มีสิทธิในตนเอง ผู้ใหญ่ควรปฏิบัติกับพวกเขาด้วยการให้เกียรติ โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังหรือฐานะ เพื่อให้เด็ก ๆ เหล่านี้ ได้เติบโตเป็นพลเมืองที่มีความสุขและไม่เขินอายที่จะแสดงออกทางความคิดเห็น
คอร์ซัคยึดมั่นในความยุติธรรมทางสังคม และเชื่อว่าการศึกษามีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ นี่คือแนวคิดที่เรียกได้ว่า ก้าวล้ำเสียจนไม่มีใครเข้าใจได้ และเพราะความสร้างสรรค์ของคอร์ซัคนี่เอง ทำให้ผลงานของเขาเป็นที่รู้จักในระดับโลก
ตลอด 25 ปีที่ทำงานในบ้านเด็ก เขาเป็ฯคุณหมอที่คอยชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง เพื่อดูการเจริญเติบโตของเด็กทุกคนอย่างสม่ำเสมอ บันทึกผลอย่างเป็นระบบ พร้อมข้อสังเกตอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้ในที่สุดกลายเป็นข้อมูลขนาดใหญ่ที่เขาไม่เคยมีโอกาสนำมาใช้ เพราะถูกทำลายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
“สิ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับเด็กต้องใช้เวลาศึกษาทางคลินิกหลายปีกว่าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ การศึกษาไม่ควรทำเฉพาะเวลาที่โรคกำลังระบาด แต่ต้องพิจารณาช่วงเวลาธรรมดาที่เต็มไปด้วยความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีด้วย”
และคอร์ซัคก็ได้พบช่วงเวลาเช่นนั้น กับเด็กกำพร้าในความดูแลของเขา
“ในฐานะแพทย์ ผมจดบันทึกอาการ ผมเห็นผื่นผิวหนัง ผมฟังเสียงไอ ผมจับความร้อนจากไข้ ผมได้กลิ่นอะซีโตนจากลมหายใจของเด็ก บางอาการ ผมก็สังเกตเห็นทันที และผมพยายามค้นหาอาการที่ซ่อนอยู่
“ในฐานะนักการศึกษา ผมก็มีอาการให้สังเกตเช่นกัน ไม่ว่าจะรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ การแดงของใบหน้า การร้องไห้ การหาว การร้องครวญ การถอนหายใจ เสียงไออาจแห้ง กระชาก หรือเปลี่ยนเป็นสำลัก เช่นเดียวกับการร้องไห้ที่อาจมีน้ำตา หรือแทบไม่มีเลย
ผมจดบันทึกอาการเหล่านี้โดยปราศจากอคติ เด็กคนหนึ่งมีไข้ อีกคนหนึ่งมีพฤติกรรมผิดปกติ ผมลดไข้โดยการขจัดสาเหตุถ้าเป็นไปได้ และผมก็ปรับช่วงเวลาที่ผิดปกตินั้นให้เบาบางลงที่สุด โดยไม่ให้เด็กได้รับบาดเจ็บทางจิตใจ”
เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเปิดฉากขึ้น คอร์ชัครับราชการเป็นแพทย์ทหารในกองทัพรัสเซีย และในสงครามโปแลนด์-โซเวียต ปี 1919-1920 เขารับราชการอีกครั้งในตำแหน่งพันตรี
ระหว่างว่างเว้นจากสงคราม คอร์ซัคยังคงทำหน้าที่ดูแลเด็ก ๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่ตลอด ในปี 1926 คอร์ซัคก่อตั้งหนังสือพิมพ์สำหรับเด็กยิว Mały Przegląd (The Small Review) เขียนเป็นภาษาโปแลนด์ ขณะเดียวกัน หนังสือเด็กของเขาอย่าง King Matt the First และหนังสือสำหรับผู้ใหญ่อย่าง How to Love a Child ก็ทำให้เขามีชื่อเสียงและผู้อ่านกว้างขวาง และในบันทึกเพิ่มเติม ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่สอง คอร์ซัคเขียนว่า
… สิทธิขั้นพื้นฐานและไม่อาจโต้แย้งได้ของเด็ก คือสิทธิในการแสดงความคิดเห็น การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการพิจารณาและตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา เมื่อเราได้รับความเคารพและความไว้วางใจจากพวกเขา เมื่อพวกเขาเต็มใจที่จะเปิดใจเล่าให้เราฟังว่าพวกเขามีสิทธิอะไร เด็ก ๆ จะมีช่วงเวลาที่น่าสับสนน้อยลง ความผิดพลาดก็จะลดลงด้วย
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวระหว่างการสอน และการเฝ้ามองเด็ก ๆ ใช้ชีวิตในแต่ละวัน ราวกับเป็นการพบกันระหว่าง ‘หมอกับคนไข้’ หรือ ‘ครูกับเด็ก’ ซึ่งทุกการกระทำ ทุกการจับจ้อง ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเคารพต่อสถานการณ์ของเด็กในช่วงเวลานั้น
“หัวใจร้อยดวงเต้นอยู่ใต้อาภรณ์ที่เหมือนกัน แต่ละดวงย่อมมีปัญหาเฉพาะตัว ความพยายามเฉพาะตัว ความเศร้าและความทุกข์เฉพาะตัว เด็กหนึ่งร้อยคน คือมนุษย์หนึ่งร้อยคน ไม่ใช่คนในอนาคต ไม่ใช่เพียงพรุ่งนี้ แต่เป็นตอนนี้… เดี๋ยวนี้… วันนี้”
นี่คือภาพชีวิตประจำวันในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของคอร์ชัค เป็นการแก้ไขความฝันด้านการศึกษา (educational vision) และนั่นสามารถกลั่นออกมาเป็นสารพัดคำถาม
“ฉันกลายมาเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ได้อย่างไร?”
“ตอนที่ฉันยังเล็ก ชีวิตของฉันเป็นอย่างไร?”
“การเป็นเด็กในสมัยนั้นเป็นอย่างไร และการเป็นเด็กในวันนี้เป็นอย่างไร?”
“แล้วสิทธิของเด็กที่จะได้รับความเคารพล่ะ?”
เขายังตั้งคำถามต่ออีกว่า งานของเจ้าหน้าที่ในบ้านเด็กกำพร้าส่วนใหญ่ มักเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง และจากการสังเกต เขาเห็นว่าภาระของเจ้าหน้าที่มีเพียงไม่กี่อย่าง แต่กลับไม่สามารถทำให้ดีได้สักอย่างเดียว
“พวกเขาดูแลกำแพงและข้าวของเครื่องใช้ รักษาความเรียบร้อยในสนามเด็กเล่น ตรวจหูให้สะอาด และทำให้พื้นเงาวับอยู่เสมอ ไม่ต่างจากผู้คุมฝูงวัว ที่คอยดูไม่ให้เด็กไปรบกวนผู้ใหญ่
“บ้างก็เป็นผู้เฝ้าหารอยชำรุดของกางเกงและรองเท้าที่ขาด
“บ้างก็ผันตัวมาเป็นผู้ตักอาหารอย่างตระหนี่ถี่เหนียว
“บ้างก็เป็นผู้พิทักษ์สิทธิพิเศษของผู้ใหญ่ และผู้ปฏิบัติงานตามอำเภอใจอย่างเกียจคร้าน”
เขายอมรับว่าปัจจัยภายนอกที่หนักหน่วงย่อมต้องการการควบคุมบ้าง แต่หากให้สิ่งเหล่านี้ครอบงำจนบั่นทอนเนื้อหาการศึกษา ก็จะนำไปสู่การกดขี่เด็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่คอร์ชัคพบในระบบการศึกษาสมัยนั้น
จากการเฝ้าสังเกต ศึกษา มาอย่างยาวนาน ในทศวรรษ 1930 เขาจึงจัดรายการวิทยุของตนเองที่ออกอากาศทั่วโปแลนด์ แต่ก็ถูกสั่งปิดลง เพราะกระแสต่อต้านยิวที่รุนแรงขึ้น
ปี 1934 และ 1936 คอร์ชัคเดินทางไปปาเลสไตน์ภายใต้การปกครองของอังกฤษ พักที่คิบุตซ์เอน ฮารอด และศึกษาระบบการศึกษาในคิบุตซ์ เมื่อสถานการณ์ในโปแลนด์เลวร้ายลง เขาตั้งใจจะอพยพไปปาเลสไตน์ และในปี 1939 ได้ปรึกษากับยิตซัก กรูเอนบอม (Yitzhak Gruenbaum) จาก Jewish Agency เกี่ยวกับแผนการย้ายถิ่น
เมื่อฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจและเริ่มนโยบายรุกราน กองทัพนาซีได้บุกครองยุโรปตะวันออก ตามอุดมการณ์เหยียดเชื้อชาติ ทหารนาซีขับไล่ครอบครัวยิวออกจากบ้าน และบังคับให้อาศัยอยู่ในเขตที่กำหนด หรือ เกตโต ซึ่งเป็นเหมือนค่ายกักกันขนาดใหญ่ที่ถูกควบคุมและคุ้มกันอย่างเข้มงวด
อันที่จริง คอร์ชัคตั้งใจจะอาสาเข้ากองทัพโปแลนด์ แต่เพราะข้อจำกัดทางอายุ เขาจึงเลือกอยู่ดูแลเด็กในวอร์ซอ เดือนพฤศจิกายน 1939 ทางการเยอรมันบังคับให้ชาวยิวทุกคนต้องสวมปลอกแขนสีขาวติดดาวดาวิดสีน้ำเงิน แต่คอร์ชัคปฏิเสธที่จะสวม รวมถึงถอดเครื่องแบบนายทหารโปแลนด์ แม้รู้ว่าเสี่ยงต่อการถูกจับกุมก็ตาม
ปี 1940 เมื่อเยอรมันสร้างเกตโตวอร์ซอ สถานเลี้ยงเด็กของเขาถูกบังคับให้ย้ายเข้าไปในเกตโต คอร์ชัคเลือกไปกับเด็ก ๆ เพราะเห็นว่าพวกเขาต้องการเขามากกว่า และรับหน้าที่ดูแลเด็กยิว 200 คน อายุระหว่าง 7-14 ปี ทั้งที่มีคนเชิญให้ไปอยู่ฝั่งอารยันหลายครั้ง แต่เขาปฏิเสธเสมอเพราะบอกว่าไม่อาจทอดทิ้งเด็กได้ ระหว่างอยู่ในเกตโต สิ่งที่คอร์ชัคและสเตฟาเป็นห่วงที่สุดคืออาหารของเด็ก ๆ เขาเคาะประตูตามบ้านเพื่อขออาหาร เสื้อกันหนาว และยาให้เด็ก แม้สุขภาพย่ำแย่ และมีปัญหาส่วนตัว เขาก็พยายามทำทุกทางเพื่อให้ชีวิตเด็กดีขึ้น
แม้จะอยู่ท่ามกลางความโหดร้าย เขายังคงแนวทางการศึกษาเดิม สถานเลี้ยงเด็กยังดำเนินตามระบบก่อนสงคราม เด็กมีส่วนร่วมบริหารและจัดศาลเยาวชน จัดการแสดงละคร คอนเสิร์ต และทุกวันเสาร์หลังการประชุมครู เขาจะเล่านิทานที่เด็ก ๆ เลือกให้ฟัง คอร์ซัคยังพยายามปลูกฝังความซื่อสัตย์ และการให้ความเคารพระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ท่ามกลางค่านิยมที่กำลังสูญสลายนอกกำแพงเกตโต
คอร์ซัคยังเป็นผู้วางหลักการ ‘ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก’ (the child’s best interests) ซึ่งต่อมาถูกนำมาใช้เป็นแนวคิดหลักของอนุสัญญาว่าด้วยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ (UN Convention on the Rights of the Child - CRC) หลักจริยธรรมพื้นฐานที่ใช้เป็นแนวทางในทุกการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นส่วนตัว วิชาชีพ หรือการเมืองที่เกี่ยวข้องกับเด็ก
โดยมีคำเรียกแนวคิดที่ดูเข้าใจยากเช่นนี้อย่างย่นย่อว่า “สิทธิของเด็กที่จะได้รับความเคารพ”
คำว่า ความเคารพ อาจทำให้บางคนประหลาดใจ เพราะโดยปกติแล้ว เด็กต่างหากที่ต้องเคารพผู้ใหญ่ แต่สำหรับคอร์ซัค เขามองต่างออกไป เขาตั้งใจจะท้าทายความคิดนี้ให้ไปไกลกว่าถ้อยคำแบบประนีประนอมแบบในอดีตที่ผ่านมา
คอร์ซัคมองว่า ความเคารพ หมายถึงการยอมรับคุณค่าความเป็นมนุษย์ของทุกคน และการเคารพต่อชีวิตในตัวตนของแต่ละคน เขาเผยแพร่ความคิดนี้ในหนังสือเล่มบาง The Child’s Right to Respect ซึ่งเกิดจากชุดบรรยายที่มหาวิทยาลัยวอร์ซอว์ โดยอ้างถึงปฏิญญาเจนีวา 1924 หนังสือนี้อาจมองได้ว่าเป็นบทกวีทางการศึกษา ที่รวบรวมข้อคิดเชิงไตร่ตรองของเขา ต่อการทำงานเพื่อสิทธิเด็กในเวทีโลก
อีกด้านของเหตุผลเรื่องสิทธิที่จะได้รับความเคารพ คือการประเมินสภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการศึกษา เขาเขียนไว้ในหนังสือว่า “ประสบการณ์หลายปีทำให้ผมเห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเด็กสมควรได้รับความเคารพ ความไว้วางใจ และความเมตตา ด้านดีของพวกเขาจะเผยออกมาในบรรยากาศแห่งความเปิดกว้างอันละเอียดอ่อน เสียงหัวเราะอันมีความสุข ความพยายามครั้งแรกที่ยังเงอะงะ และความประหลาดใจจากเรื่องเล็ก ๆ ที่ไร้การปรุงแต่ง ความพยายามเช่นนี้ กระตุ้นให้เกิดผลงานที่อุดมสมบูรณ์และน่ารื่นรมย์”
หากพิจารณาจากอีกด้านหนึ่งจะพบว่า ความต้องการให้เด็กได้รับความเคารพ ยังหมายรวมถึงข้อเรียกร้องเชิงจริยธรรมและการเมืองอีกด้วย
“เราบังคับให้เด็กแบกรับความรับผิดชอบของมนุษยชาติในวันพรุ่งนี้ แต่ไม่ให้สิทธิมนุษยชนแก่พวกเขาในวันนี้… หากเราจะแบ่งมนุษย์ออกเป็นผู้ใหญ่กับเด็ก และแบ่งชีวิตออกเป็นวัยเด็กกับวัยผู้ใหญ่ เราจะพบว่าเด็กครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกและของชีวิต แต่ช่างน่าขัน เรากลับมองไม่เห็นค่าของเด็ก เฉกเช่นเดียวกับที่เราเคยมองไม่เห็นความสำคัญของผู้หญิง ชาวนา กลุ่มสังคมที่ถูกขูดรีด และชนชาติที่ถูกกดขี่”
ในระหว่างที่เขาและเด็ก ๆ อยู่ในเกตโต คอร์ชัคจดบันทึกประจำวันอยู่ไม่ห่าง รวมถึงบันทึกความทรงจำและข้อสังเกตทุกสิ่งที่เห็นอย่างละเอียด พยายามถ่ายทอดชีวิตในเกตโตให้โลกภายนอกรับรู้ถึงความน่าอดสู
“สภาพความเป็นอยู่ในเกตโตเลวร้ายอย่างยิ่ง ครอบครัวต้องเบียดเสียดอยู่ร่วมกันโดยไม่มีอาหารและน้ำเพียงพอ หลายคนเสียชีวิตจากความอดอยาก โรคภัย หรือถูกนาซีประหารอย่างไม่ไยดี ในที่สุดเกตโตต่าง ๆ ก็ถูก ‘กวาดล้าง’ และทำลายลง ตามแผนการอย่างเป็นระบบของนาซี เพื่อกำจัดชาวยิวออกจากยุโรป
“ส่วนผู้ที่ยังไม่ตายก็จะถูกส่งไปค่ายสังหาร ผมไม่สามารถช่วยเด็ก ๆ ได้ เพราะชาวยิวทุกคนถูกกำหนดให้เนรเทศออกไป ในที่สุดวันของพวกเขาก็มาถึง และเด็ก ๆ ก็ถูกบังคับให้ขึ้นขบวนรถไฟ”
การหลบหนีจากเกตโตแทบเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีเด็กจำนวนมาก หากหลุดออกไปได้ ชาวบ้านภายนอกก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเป็นคนจากสถานที่แห่งนี้ และมีโทษร้ายแรงหากไม่รายงานต่อเจ้าหน้าที่ พวกเขาจำเป็นต้องมีบ้านพักลับ เอกสารปลอม และความช่วยเหลือจากภายนอกอย่างมาก ซึ่งแทบจะไม่มีทางเกิดขึ้น
ใช่ว่าคอร์ชัคจะอยู่เฉยเสมอไป เขาได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ภายนอก โดยเฉพาะเด็ก ๆ จากสถานเลี้ยงเด็กก่อนสงคราม ได้เตรียมห้องลับและเอกสารปลอมให้เขา อดีตเด็กกำพร้าชาวโปแลนด์ชื่อ อีกอร์ เนเวอร์ลี (Igor Neverly) ปลอมตัวเป็นผู้ตรวจสอบท่อระบายน้ำเพื่อเข้าไปเยี่ยมคอร์ชัคในเกตโต และอ้อนวอนให้เขาหนีออกมาซ่อนตัว จนกว่าสงครามจะสิ้นสุด เพราะคอร์ซัคยังมีคุณูปการอีกมากในโลกหลังสงคราม แต่คอร์ชัคกลับเลือกอยู่กับ ‘ลูก ๆ’ ของเขาแทน แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความกลัว กลัวจนสั่นสะท้าน กลัวจนแทบไม่กล้าปริปาก แต่เขาก็ยังยืนยันว่าจะไม่ทิ้งเด็ก ๆ ไปไหน
และเมื่อถึงเวลา ทหารนาซีพาเด็ก ๆ เดินเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ 5 แถว ผ่านถนนในเกตโตไปยังตู้สินค้าที่รออยู่ คอร์ซัคพยายามปลอบเด็กเล็กและให้กำลังใจแก่ทุกคน แม้จะรู้ดีว่าปลายทางของพวกเขา คือประตูนรก บานประตูที่เปิดออกไปเพียงหนึ่งครั้ง ก็ไม่อาจหวนคืนสู่โลกมนุษย์ได้อีก
วันที่ 5 สิงหาคม 1942 คอร์ซัคและเด็ก ๆ ราว 192 คน ถูกส่งขึ้นรถไฟไปทรีบลิงกา มุ่งตรงสู่ห้องรมแก๊ส ส่วนสเตฟา และเจ้าหน้าที่สถานเลี้ยงเด็กอีก 12 คน ทุกคนต่างถูกสังหารในห้องรมแก๊ส และบันทึกเล่มนี้ได้ตีพิมพ์ในโปแลนด์เมื่อปี 1958
ผลงานของคอร์ชัคยังคงส่งอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน หนังสือกว่า 20 เล่มของเขาถูกเปิดอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นไม่มีที่สิ้นสุด โดยผลงานที่ทรงอิทธิพล เช่น How to Love the Child (1921), King Matt the Reformer (1928), The Child’s Right to Respect (1929) และ Rules for Living (1930)
แม้คอร์ชัคไม่อาจพาเด็ก ๆ หลุดพ้นจากเงื้อมมือของนาซีได้ แต่เขาก็ได้กรุยทางทำให้โลกรู้จัก 'สิทธิเด็ก' ทำให้เห็นว่าในห้วงเวลาที่มืดมิดที่สุด ยังมีชายคนหนึ่งที่พร้อมอุทิศตนเพื่อปกป้อง ดูแลเด็กอยู่ไม่ห่าง ถึงจะอยู่ท่ามกลางยุคและสถานที่ที่สิทธิมนุษยชนถูกเหยียบย่ำอย่างโหดร้ายก็ตาม
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
อ้างอิง
The Child’s Right to Respect – Janusz Korczak’s legacy – Lectures on today’s challenges for children