ปุ้ย แสงนาค : ทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับน้ำท่วมอยุธยา แต่สู้กับความเห็นแก่ตัวของคน

ปุ้ย แสงนาค : ทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับน้ำท่วมอยุธยา แต่สู้กับความเห็นแก่ตัวของคน

‘ปุ้ย แสงนาค’ นักเคลื่อนไหวเรื่องการจัดการน้ำท่วมเรื่องอยุธยาที่ยืนเคียงข้าง รับฟัง และช่วยเหลือชาวบ้าน ทำให้เสียงของพวกเขาสำคัญและไม่ถูกมองข้าม

KEY

POINTS

เดือนธันวาคม 2568 คือ เดือนที่ 5 ที่ชาวบ้านบางบาลและอีก 5 อำเภอในฝั่งตะวันตกของอยุธยาต้องใช้ชีวิตอยู่กับน้ำ

ขณะที่น้ำที่ภาคใต้ลด ทุกคนได้กลับบ้าน แต่บางบ้านในอยุธยาต้องงัดพื้นบ้านขึ้นมาเป็นที่หลับนอน ต้องย้ายชีวิตมาอยู่บนถนน และยังสัญจรทางเรือจากบ้านมายังถนนใหญ่

“น้ำท่วมภาคใต้เป็นเพราะน้ำหลาก แต่น้ำท่วมภาคกลางมันเป็นเพราะน้ำมือคน”

‘ปุ้ย แสงนาค’ นักขับเคลื่อนเรื่องการจัดการการน้ำบอกว่า น้ำที่เข้าท่วมมาจากน้ำบนภูเขา แต่น้ำท่วมภาคกลางซึ่งรวมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นเพราะการบริหารจัดการที่ผิดพลาด

ตั้งแต่การทำงานแยกส่วนของราชการ การทำให้ถนนเป็นคันกั้นน้ำ ปล่อยให้ประชาชนช่วยเหลือตัวเอง และอยู่กับน้ำ โดยไม่รู้ว่า น้ำจะลดเมื่อไหร่

เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ปุ้ย แสงนาคลุกขึ้นมาเป็นกระบอกเสียงให้อยุธยาและยืนเคียงข้างชาวบ้าน เพราะเขารู้ดีกว่าใคร น้ำไม่ได้พัดแค่บ้าน แต่พัดความโดดเดี่ยวและความหวังของผู้คนให้จมหายไป

สำหรับชาวบ้าน พวกเขาไม่ได้อยากสู้กับน้ำและไม่ต้องการถูกทิ้งไว้ให้สู้เพียงลำพัง

ปุ้ย แสงนาค : ทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับน้ำท่วมอยุธยา แต่สู้กับความเห็นแก่ตัวของคน

The People : เหตุผลที่ทำให้คุณเข้ามาทำงานเป็นกระบอกเสียงให้กับชาวอยุธยาตอนน้ำท่วมคืออะไร

ปุ้ย แสงนาค: ผมเคยเสียลูกกับน้ำท่วมตอนน้ำท่วมปี 54 ไปช่วยคนเดือดร้อนในพื้นที่ หลังจากนั้นก็กลับบ้านมาวิ่งส่งของช่วงประมาณปี 61-62 ตอนวิ่งส่งของเราเห็นเลยว่าบ้านเราท่วมฉิบหาย แต่อีกฝั่งทำไร่ ไถนากันปกติ ไม่รู้ว่าน้ำท่วม เราเลยเข้าใจว่าที่บ้านกูท่วมเพราะธรรมชาติ มันไม่ใช่แล้ว เราสงสัยถึงวิ่งออกมาดูก็เจอสาเหตุที่ทำให้ท่วมเยอะแยะมาก ทั้งการบริหารที่บกพร่อง ทั้งการบริหารที่เราดูเหมือนว่าเขาตั้งใจเจตนาด้วย

ต่อมาปี 64 น้ำท่วมใหญ่ รถก็พัง เสียอาชีพ เสียอนาคต แล้วมันไม่ใช่แค่เราคนเดียวก็คิดว่า ถ้าเราอยู่เฉย ๆ มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น น้ำก็ขึ้นทุกวัน  รู้สึกไม่ไหวก็เลยไปปิดถนนหน้าหมู่บ้านแถวถนนสาย 340 เพราะก่อนหน้านี้ชาวบ้านเคยไปเรียกร้องให้เปิดประตูน้ำ แต่เขาไม่อยากเปิดเพราะกลัวน้ำท่วม เราก็ไม่ได้อยากให้เขาท่วม แต่อยากให้เขาช่วยระบาย เพราะถ้าน้ำไม่ผ่าน ไม่ระบาย เราตาย แช่น้ำตาย 

ก็เลยพาชาวบ้านไปประตูน้ำ แล้วคิดได้ว่า มึงมีประตู กูมีถนน มึงปิดประตู กูปิดถนน มึงไม่เปิดประตู กูก็ไม่เปิดถนน เอาดิ มาแลกกันคนละหมัด หลังจากนั้นเขาก็เปิดมาให้ทุกปี นั่นคือจุดเริ่มต้น

ปุ้ย แสงนาค : ทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับน้ำท่วมอยุธยา แต่สู้กับความเห็นแก่ตัวของคน

The People: เคยคิดไหมว่า สุดท้ายเราจะมาเป็นผู้นำเรียกร้องเรื่องน้ำท่วมให้คนอยุธยา

ปุ้ย แสงนาค: เคยคิดไหมว่าจะเป็นแบบนี้ มันก็ทำไปเรื่อย ๆ พอเราไปปิดถนน เขาก็มองเห็นว่าเราเป็นคนกล้าพูด กล้าทำ คราวนี้ชาวบ้านมีปัญหาอะไรเขาก็จะปรึกษาเรา เขาก็จะมาบอกเรา พี่ปุ้ยบ้านหนูไม่ได้เยียวยา บ้านหนูไม่ได้นู่นนี่หรือ บ้านฉันท่วมบ้านฉันก็เดือดร้อนอย่างนี้หรือแม้กระทั่งว่าประตูน้ำคลองนี้ไม่เปิด คลองนี้ผักติด ตรงนู้นเสียไอ้นี่พังคือข้อมูลทั้งต่าง ๆ มันไหลมาหาเราหมดเลย

เราก็ต้องมานั่งวิเคราะห์ นั่งกลั่นกรอง อันไหนเราทำได้ อันไหนเราดูได้ เราก็ไป โดยเฉพาะเรื่องเยียวยา ขับเคลื่อนตั้งแต่ปี 64 เป็นต้นมา เพราะตั้งแต่หลังปี 54 เราท่วมบ่อย แต่ไม่มีการชดเชยเยียวยาเหมือนว่าเฮ้ยเราถูกละเมิดสิทธิ์ด้วย เพราะส่วนมากชาวบ้าน เขาไม่กล้าที่จะพูด ไม่กล้าที่จะออกตัว หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐบางคนก็ไม่กล้า เขาก็เลยเห็นเราเป็นที่พึ่งไหว้วานอาศัยเรา มันเป็นลักษณะแบบนั้น

The People: ปัญหาที่ทำให้อยุธยาน้ำท่วมทุกปีในสายตาคุณคืออะไร 

ปุ้ย แสงนาค: ต้องยอมรับว่า ภูมิประเทศของอยุธยามันเป็นที่ลุ่มต่ำ แต่ปัญหาส่วนมากเป็นที่การบริหารจัดการ ผมพาดูได้หมด คลองใหญ่ 40 เมตร แต่ทำประตูบานเดียว 4 เมตรมันทำให้อั้นน้ำไว้ หน่วงน้ำไว้ เป็นประตูกันน้ำจริง ๆ กันน้ำไม่ให้ออกตอนท่วม กั้นน้ำไม่ให้เข้าตอนแล้ง ชาวบ้านต้องมาเสียค่าสูบน้ำอีก

แล้วกว่าจะผ่านแต่ละช็อต แต่ละทุ่ง แต่ละพื้นที่ไปได้ มันมีแผนการที่วางไว้แล้วว่า ตรงนี้ต้องท่วม ต้องหน่วงน้ำไว้ เพราะมันจะไปประจวบเหมาะกับสถานการณ์น้ำทะเลหนุนปลายปีพอดี ซึ่งถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นตามธรรมชาติรับรองมันเป็นการสุ่มเสี่ยงที่กรุงเทพมหานครพื้นที่เศรษฐกิจต้องเจอสถานการณ์แบบปี 54 

ปุ้ย แสงนาค : ทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับน้ำท่วมอยุธยา แต่สู้กับความเห็นแก่ตัวของคน

The People: ปกติน้ำท่วมอยุธยานานแค่ไหน

ปุ้ย แสงนาค: ปกติน้ำมาตอนเข้าพรรษา ลดตอนออกพรรษา แต่ปีนี้น้ำอยู่นานเพราะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศด้วย อันนี้เรายอมรับที่จะต้องท่วมยาวนาน 

แต่ว่าความผิดพลาดมันเกิดจากการบริหารจัดการของหน่วยงานรัฐที่ไม่คุยกัน ไม่เชื่อมโยงกัน อย่างกรมอุตุนิยมวิทยากับกรมชลประทานเนี่ยทำงานเหมือนอยู่ดาวคนละดวง 

อย่างน้ำท่วมภาคกลางหลัง ปลายเดือนตุลาคมสถานการณ์มันดีไปแล้ว ชาวบ้านขัดบ้านแล้ว ผลสุดท้ายท่วมหนักกว่าเดิม พังหมดเลย เพราะว่าขาดความแม่นยำในการคาดการณ์

ยกตัวอย่างญี่ปุ่น เขาคาดการณ์แม่น 90% สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า ฝนจะตกที่ไหน จังหวัดไหน ตำบลไหน จะตกเท่าไหร่ เวลาเท่าไหร่ แต่ประเทศไทยคาดการณ์มาภาคกลางฝนจะตก 50% แล้วตกจังหวัดไหน ตกเหนือเขื่อนหรือใต้เขื่อน ภาคกลางติดจันทบุรีหรือว่าติดจังหวัดตาก ชี้เป้าให้ชัดแล้วการบริหารจัดการน้ำเขาจะได้ทำให้สอดคล้องกัน

ถ้ารู้ว่า ฝนจะตกเหนือเขื่อนจะได้เร่งพร่องน้ำ ระบายน้ำ เพราะฉะนั้น ผมถึงได้บอกว่า ต้องด่า ต้องว่าต้องวิจารณ์กรมอุตุฯ ไปด้วย ถ้ายังพยากรณ์แบบนี้ ไม่งั้นก็ใช้พวกเทพธิดาพยากรณ์ เสี่ยงทายโคกินหญ้าแรกนาขวัญไปเลย อาจจะแม่นกว่ากรมอุตุ 

ปุ้ย แสงนาค : ทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับน้ำท่วมอยุธยา แต่สู้กับความเห็นแก่ตัวของคน

The People: นอกจากปัญหาเรื่องการทำงานแยกส่วน ปัญหาการจัดการน้ำเรื่องไหนที่จำเป็นต้องแร่งแก้ไขให้อยุธยาน้ำท่วมน้อยลง 

ปุ้ย แสงนาค: นอกจากกรมอุตุนิยมวิทยา ยังมีกรมชลประทาน กระทรวงทรัพยากร หรือกระทรวงมหาดไทยที่ทำงานแบบตัวใครตัวมัน จริง ๆ มันต้องสอดคล้องกัน ถึงเวลาน้ำท่วมอยุธยาคุณต้องมี Wall Room กรมชลประทาน สทนช. สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย ท้องที่ ท้องถิ่น ผู้ว่าอบจ.อบต. นายอำเภอ ชาวบ้าน ต้องมีเซ็นเตอร์ จัดการจากศูนย์กลางที่เดียวกันไม่ใช่ต่างคนต่างทำ 

เพราะทุกวันนี้จะปล่อยน้ำ จะระบายไปทางไหนก็ไม่ฟังชาวบ้านบริหารแบบวิชาการของเขา ไอ้นี่ก็วิ่งแหกปากไปดิ ไปนู่นปิด ไอ้นี่เปิดท่วมเหรอ ท่วมกูแจก ท่วมกูช่วยกูแจกถุงยังชีพอย่างเดียว ไม่สนใจว่าท่วม เพราะอะไร ต่างคนต่างทำไป ทำแบบนี้ยังไงอีกร้อยปีอยุธยาก็ท่วม 

The People:  แต่ปีนี้อยุธยาท่วมหนักและนานจริง ๆ 

ปุ้ย แสงนาค: ตอนนี้เสนานิคม บางบาลท่วมเข้าสู่เดือนที่ 5 แล้ว มันเกินจำเป็น ปกติท่วมพอลุยร้ำ ไม่ได้ขึ้นบ้านขึ้นหลังคา คนต้องหนีน้ำขึ้นมานอนบนนถนน มันไม่ใช่ เราอยู่ในพื้นที่จัดการน้ำ บางพื้นที่มีคันกันน้ำ ริมน้ำเจ้าพระยาเขาก็มีเขื่อนมากันก่อน คุณสามารถจัดการได้ ทำไมต้องเอามาท่วมให้อยุธยาตาย 20 - 30 ศพ

ถ้าเกิดคุณระบาย 2,000 ลูกบาศก์เมตร ผมอยู่ได้ อาจจะมีแค่ 10% 20%ที่หนุนพื้นบ้าน หนุนขึ้นมาแต่คุณเล่นระบาย 2,500 - 2,900 ลูกบาศก์เมตร ถึงขนาดท่วมชั้น 1 บางบ้านเขามีชั้นเดียว หรือว่าขึ้นไปครึ่งชั้น 2 เขาก็อยู่ไม่ได้แล้วมันก็สุ่มเสี่ยงเกิดภัยต่าง ๆ

ปุ้ย แสงนาค : ทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับน้ำท่วมอยุธยา แต่สู้กับความเห็นแก่ตัวของคน

คุณก็ระบายให้อยุธยา 2,000 ลูกบาศก์เมตร เศษอีก 500-900 ลูกบาศก์เมตร คุณก็ไปทาลพบุรี ไปสุพรรณไปทางไหนก็ได้ซ้ายขวาให้เขาไปท่วมบ้าง ผมเชื่อเหลือเกิน น้ำแค่ไม่กี่ร้อยลูกบาศก์เมตร เต็มที่ก็ไปท่วมไร่ท่วมนา ไม่ท่วมถนน ท่วมบ้านเขาหรอก แล้วคุณก็ไปชดเชยเยียวยา ไปดูแลเขาตรงนั้น ทุกวันนี้ที่เหนื่อยไม่ใช่เหนื่อยเพราะขับรถ เพราะวิ่งไปหรอก เหนื่อยกับการด่า 

ปุ้ย แสงนาค : ทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับน้ำท่วมอยุธยา แต่สู้กับความเห็นแก่ตัวของคน

The People: ปัญหาคือเขาหน่วงน้ำไว้ ไม่ระบายให้พื้นที่อื่นหรือเปล่า 

ปุ้ย แสงนาค: สมัยก่อนเขาเรียกน้ำหลากเขาไม่เรียกน้ำท่วม สมัยก่อนเรียกน้ำหลาก มันก็จะมีวงรอบของมันคือธรรมชาติ ทุก 10 ปีจะมีหนักครั้งหนึ่ง แต่หลังจากปี 60 ท่วมปีเว้นปี พอปี 64-65 ท่วมหนัก คราวนี้ 2 ปีติด พอปี 66-67 ก็ท่วม ปีนี้ก็ท่วมหนัก มันท่วมเกินไป

วิธีระบายน้ำให้เร็วที่สุดมันก็ไปติดเกาะเมืองอยุธยา เพราะไปเจอแม่น้ำ 3 สายที่รวมกันเจ้าพระยา ป่าสัก ลพบุรี คือน้ำมาหลายทาง แต่มีทางออกทางเดียวมันก็ท่วมสะสมในพื้นที่ อันดับ 1 คือบางบาล อันดับ 2 เสนา ผักไห่ บางซ้าย ลาดบัวหลวง บางไทร 6 อำเภอนี้ที่จะโดนหนัก ๆ  

เขาปล่อยน้ำแต่ไม่บริหารน้ำ ไม่บริหารพื้นที่ก็ปล่อย ชาวบ้านด่าคือคุณบอกคุณจัดการน้ำจัดการน้ำ แต่คุณไม่จัดการพื้นที่ไม่จัดการองค์ประกอบอื่น ปล่อยปละละเลยปล่อยผักปล่อยประตูเสียปล่อยเครื่องไม้เครื่องมือพัง ไม่ดูแลอะไรเลย ไม่บริหารคนคือต้องทำให้มันสอดคล้องกันด้วย 

ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรก็ตามที่บอกว่าเป็นหลักอุทกศาสตร์ ต้องเร่งระบายน้ำแนวดิ่ง ระบายลงทะเลให้ไวที่สุด แต่อันนั้นคือคำพูดคือคำกล่าวอ้าง แต่ตอนนี้ข้อเท็จจริงมันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่ว่าคุณเอาวิชาการ เอาหลักการมาอ้างกับชาวบ้านว่าต้องทำแบบนี้ แล้วไม่ดูความเป็นจริง สิ่งที่คุณบอกว่าจำเป็นต้องระบายน้ำ คือความจำเป็นของคุณแต่คุณไม่มาดูความเดือดร้อน

The People: ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง 

ปุ้ย แสงนาค: ความเสียหายก็คนตาย บางคนลูกตาย แม่ตาย เมียตาย หนักสุดก็หัวหน้าครอบครัวตาย นี่คือหนักสุด ร้ายแรงสุด รองลงมา บ้านเรือนเสียหาย ทำมาหากินไม่ได้ เพราะส่วนมากบ้านที่ถูกน้ำท่วม เขาอยู่กันมาตั้งแต่โบราณอยู่มาตั้งแต่ก่อนระบบชลประทาน อยู่มาก่อนทำถนน ทำคันกั้นน้ำ  ไม่ใช่บ้านคนมีตังค์ที่ดีดบ้านหนีน้ำหรือถมที่สูงได้

คนสมัยก่อน เขาไม่โง่ปลูกบ้านให้จมน้ำทุกปี แต่คนสมัยก่อน เขาไม่ทันคนสมัยนี้ว่ามึงจะเหลี่ยมเยอะ น้ำท่วมก็ยกถนน ยกจนท่วม เขาก็อุตส่าห์ดีดหนี หน่วยงานก็ชอบดีดถนน ดีดที 30 เซนติเมตร 50 เซนติเมตร แต่ก่อนบ้านเคยท่วมแค่ถนน พอดีดถนนก็ท่วมถึงพื้น ท่วมอีกก็ดีดถนนอีก ทีนี้ก็อยู่ไม่ได้ คนนู่นก็ดีดบ้าน คนนี้ก็ดีดถนน ทำไปทำมาก็เดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น

ปุ้ย แสงนาค : ทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับน้ำท่วมอยุธยา แต่สู้กับความเห็นแก่ตัวของคน

อีกอย่างคือเรื่องจิตใจ ทำไมคนอยุธยาต้องมารับน้ำรับกรรม แล้วล่าสุดเข้าสู่เดือนที่ 5 อะไรก็ยากไปหมด หลักการเยียวยา 9,000 เสียหายน้อยก็ได้น้อย ประตูต้องเป็นไม้อัด มันเยอะ ผมเจอเยอะ ขับรถส่งของบอกไม่เยียวยา เพราะไม่ได้เป็นรถไถ รถทำนา ก็บอกกูไม่ได้ทำนา กูวิ่งส่งของ เพราะฉะนั้นรถกูก็ต้องเป็นเครื่องมือทำมาหากิน มึงจะบอกกูไม่ทำงานเลย ต้องใช้รถเกี่ยว รถไถ พ่อมึงเอารถเกี่ยว รถไถวิ่งส่งของ เมื่อไหร่จะเสร็จ 

คนอยุธยาท่วมเยอะเยียวยามา 100-120 บาท ค่าถ่ายเอกสารปาไป 200 บาทแล้ว แล้วน้ำท่วมภาคใต้ศพละ 2 ล้าน คนอยุธยาท่วมแทบได้ ถ้าเดินเรื่องไม่เป็นไม่ได้ ถ้าเดินเรื่องเป็นก็ศพละแสน คนใต้บอกไม่ต้องใช้หลักฐาน ใช้เลขบัตรประชาชน 13 หลักพอ แต่คนอยุธยา 3-4 รอบก็ไม่ผ่าน ถ่ายใหม่ก็ไม่ผ่านสักที เรื่องเยอะมาก น้ำไม่ท่วมบ้าน น้ำไม่ล้อมบ้าน 

ที่พูดไม่ได้ว่าคนที่อยู่ในพื้นที่ท่วม เราว่าหลักบริหารจัดการ มาตรฐาน เลือกปฏิบัติ มาตรฐานไม่เหมือนกัน มันยิ่งตอกย้ำให้คนอยุธยารู้สึกยิ่งแย่ เพราะอยุธยาท่วมเพราะป้องกันเศรษฐกิจ เราท่วมเพราะป้องกันเมือง เราไม่ได้ท่วมตามธรรมชาติเหมือนแต่ก่อน

ถ้าท่วมภาคใต้ มันท่วมเพราะน้ำหลาก ตกที่เขาแล้วก็บ่าลงมาเป็นน้ำป่า น้ำหลาก อันนั้นเป็นน้ำฝน น้ำธรรมชาติ แต่ภาคกลางมันน้ำมือคน เพราะมันผ่านประตูน้ำ ผ่านเขื่อน ผ่านการจัดการของคน  

ปุ้ย แสงนาค : ทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับน้ำท่วมอยุธยา แต่สู้กับความเห็นแก่ตัวของคน

The People: ภาครัฐจะเยียวยาจิตใจชาวบ้านอยุธยาได้อย่างไร 

ปุ้ย แสงนาค: ผมยังมองไม่เห็นถึงวิธีการที่ภาครัฐจะเยียวยาจิตใจให้คนอยุธยาได้ แต่สิ่งที่ผมทำ คือ อันดับ 1 ผมไปพื้นที่เดือดร้อน ลุยไปเยอะมาก แต่ผมแทบไม่มีอะไรไปให้เขาหรอก แต่เวลาคนเห็นผม แต่ผมเห็นถึงแววตาที่เขามีความหวังอะไรสักอย่าง อย่างน้อยเหมือนเขาดีใจที่ได้เจอ ผมไปรับรู้ ไปเห็นว่าเขาลำบาก

อย่างคุณจะแจกของ คุณก็ลุยไปแจก ชาวบ้านเขาอยากให้คุณไปเห็นไปรู้เพื่อที่จะได้เข้าใจว่า กูอยู่อย่างนี้ ลำบากแบบนี้ ไม่ใช่ช่วยเหมือนไม่ช่วย ช่วยเหมือนซ้ำ บ้านท่วมอยู่กลางทุ่งกลางนา บ้านออกก็ลำบาก พายเรือไปกับเกือบกิโล แจกของแค่ข้าวสารกับน้ำแพ็คนึงต้องลำบากมา 3 ชั่วโมง รอกว่าจะแจก ร้อนก็ร้อน หิวน้ำก็ไม่ได้กิน ไม่ได้คุ้มกันเลย

The People:  มากกว่าคำพูด มันควรจะเข้าใจคนที่อยู่กับน้ำ

ปุ้ย แสงนาค: มันต้องใช้ความจริงใจ เข้าใจไม่ได้หรอก ต่อให้วันนี้จะมานั่งฟังผมพูด 7 วันก็ไม่เข้าใจหรอก เพราะว่าคนถ้ามันไม่เคยสูญเสีย ไม่เคยประสบด้วยตัวเองจะใช้คำว่าเข้าใจยากมาก แต่เห็นใจได้ เราจริงใจที่จะช่วย เราเห็นใจมาก

ผมว่าทุกคนข้าราชการ ส.ส. ผู้แทน ผู้นำ ถึงสิ้นเดือนก็รับเงินเดือนไม่เข้าใจหรอกว่า น้ำท่วม 3 เดือน 4 เดือนทำมาหากินไม่ได้ แล้วไม่รู้ว่าจะลดเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าเขาอยู่กับความทุกข์ ความเครียดแค่ไหน คุณป้าบางคนเดินไม่ได้ ไป ๆ มา ๆ ติดเตียงไปเลย หัวหน้าครอบครัวรับผิดชอบคนไม่ไหว สุดท้ายผูกคอตายไปเลย มีมาแล้วที่บางบาล

อย่าใช้คำว่าเข้าใจพร่ำเพรื่อ อย่าขอโทษพร่ำเพรื่อ ถ้าเกิดคุณจริงใจที่จะช่วย ที่จะทำจริง ไม่จำเป็นต้องขอโทษ แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไร ดีแต่พูดว่าขอโทษ ๆ ไม่เกิดประโยชน์ กราบตีนก็ไม่ให้อภัยด้วย 

The People: คิดอย่างไรกับคำพูดที่ว่า น้ำท่วมประชาชนก็ต้องช่วยกันเอง 

ปุ้ย แสงนาค: ก็คิดเหมือนทุกคนแหละ ถึงเวลาเกิดภัยพิบัติก็คือระบบจัดการเรื่องบรรเทาสาธารณทุกวันนี้กลายเป็นบรรลัยสาธารณะพังหมดเลย ทำอะไรสวนทางย้อนแย้งความเป็นจริงไปหมด

ปุ้ย แสงนาค : ทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับน้ำท่วมอยุธยา แต่สู้กับความเห็นแก่ตัวของคน

The People: ในมุมของคุณต้องออกแบบหรือจัดการน้ำอย่างไรให้สามารถระบายออกจากอยุธยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปุ้ย แสงนาค: มันก็ต้องสมเหตุสมผล สมส่วนกัน คลองกว้าง 40 เมตร ประตูกว้าง 4 เมตร ไม่จำเป็นต้องมีถึง 10 ประตูหรอกเพราะมันต้องเก็บไว้ทดน้ำ จริงๆมันต้องออกแบบมาเผื่อ ประตู 2 บาน ถึงเวลาน้ำหลากจริงสามารถมีช่องระบายด้านข้างสามารถเปิดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายได้ แต่เขาไม่ทำ 

คือวิวัฒนาการเรื่องการจัดการน้ำไปไหลแค่ไหนแล้ว ถ้าจะเปรียบเปรยจะบอกว่าการวิวัฒนาการระบบชลประทานหรือระบบจัดการเรื่องน้ำท่วมของประเทศไทยมันช้าเหมือนเต่าผมว่าดีไป เหมือนตัวสลอตที่ขยับแล้วก็นิ่งอยู่อีกชั่วโมงนึงนึกขึ้นได้ว่าจะไปไหน แล้วก็ขยับแล้วมานึกต่อว่าจะทำอย่างไรต่อ ประมาณนั้น

The People:  ท้อบ้างไหม 

ปุ้ย แสงนาค: ท้อไม่ได้ ผมบอกเลยเรื่องน้ำอยุธยาถ้าผมท้อไปสักคนผมถอยไปสักคนผมหายไปสักคนผมก็ยังไม่รู้แล้ว แต่ผมก็คิดว่า ณ เวลานี้ ถ้าเกิดผมจะหยุดไม่ทำ มันก็เริ่มมี ปุ้ย 2 ปุ้ย 3แล้วนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ

ผมเห็นแล้วเริ่มมีเครือข่ายเริ่มมีกระบวนการเพราะแต่ก่อนมีคนบอกมันบ้าเปล่า ไปร้องตะโกนโวยวายหน้าประตูน้ำคนเดียว ไปตรงนั้น ตรงนี้ คนสงสัยติดเชื้อกูไปเยอะ แต่ก่อนกูไปคนเดียวก็ว่าไอ้นี่มันบ้าไปโวยวายหน้าประตูน้ำคนเดียว เดี๋ยวนี้คนบ้าเพิ่มขึ้นเยอะเลย

ปุ้ย แสงนาค : ทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับน้ำท่วมอยุธยา แต่สู้กับความเห็นแก่ตัวของคน

The People: ในฐานะคนบ้าคนแรก ๆ รู้สึกอย่างไร 

ปุ้ย แสงนาค: เห็นอนาคตเห็นแนวทางมันดีขึ้นราชการได้ฟังเสียงชาวบ้านมากขึ้น เพราะทุกครั้งที่ใครก็ช่างออกมาโหวกเหวกโวยวาย มันจะมีแรงกระเพื่อมมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย

แต่ก่อนไม่ใช่แบบนี้ พูดดีมาตลอด บอกว่าผักเยอะมาตักผัก บอกว่าได้อีก 4 วันเดี๋ยวไปตัด 4 วัน ผ่านไปเป็น 4 อาทิตย์ ผ่านไปเป็น 4 เดือน หลัง ๆ ไม่เกรงใจแล้วบอกว่า ถ้าพี่ทำส้นตีนแบบนี้ผมไม่เกรงใจนะ

ทุกวันนี้คนอยากจะให้ลงอะไรนะเป็น ส.จ. ส.ส. ทุกวันนี้ผมเป็นส.ซ. สมาชิกสภาโซเชียล ไม่ต้องเลือก ไม่ต้องแต่งตั้ง เสือกเอง

ปุ้ย แสงนาค : ทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับน้ำท่วมอยุธยา แต่สู้กับความเห็นแก่ตัวของคน

The People: การที่รัฐต้องทำงานขับเคลื่อนด้วยแรงด่าเป็นอย่างไร

ปุ้ย แสงนาค: มันเหนื่อยผมอะดิ วัน ๆ ต้องสรรหาเรื่องด่า สรรหาคำด่า สรรหาวิธีด่า ทำไมการที่คุณทำงานเชื่องช้าทำงานไม่ได้เรื่องมันเป็นเพราะอะไร ทั้ง ๆ ที่คุณมีทุกสิ่งทุกอย่าง เครื่องไม้เครื่องมือ ฐานข้อมูลบุคลากร มันขาดแคลนอะไร

ทุกวันนี้ระบบการเมืองไทย ระบบราชการไทยมันอุปถัมภ์กัน เกรงใจกันซะมากกว่าไม่ได้เอาประชาชนเป็นที่ตั้งหรอก เอาประชาชนเป็นที่อ้างมากกว่า 

ตอนคืนแรก เราแค่ตั้งใจปิดถนนประท้วงให้เปิดประตูระบายน้ำ พอนานเข้า  เรารู้ เราไม่ได้สู้อยู่กับน้ำ เราสู้อยู่กับความเห็นแก่ตัวของคนสู้กับผลประโยชน์ของพวกนั้นพวกนี้ แต่เราไม่ได้ไปสนใจเรื่องนั้น

ใครจะโกงจะกินเรื่องของพวกมึง เวรกรรมพวกมึง แต่อย่างน้อยมึงช่วยชาวบ้านบ้าง อย่าเอาชาวบ้านเป็นตัวประกัน จะเอาชาวบ้านมาเป็นข้ออ้าง เอาชาวบ้านไปหาผลประโยชน์ให้มันมากให้มันน่าเกลียดเกิน พูดแล้วจะจี๊ด

ปุ้ย แสงนาค : ทุกวันนี้เราไม่ได้สู้กับน้ำท่วมอยุธยา แต่สู้กับความเห็นแก่ตัวของคน

The People: สิ่งที่เราวาดฝันไว้ว่าอยุธยาที่ที่น้ำไม่ท่วมเนี่ยมันจะสำหรับเรามันต้องใช้เวลาอีกกี่ปีคะ

ปุ้ย แสงนาค: แต่ก่อนเคยคิดว่าลูกหลานโตมาต้องไม่เหมือนกู ต้องลำบากทำมาหากิน แล้วต้องเอาเงินที่หามาทั้งปีมาอยู่กับน้ำ แล้วถ้าไม่พอไปกู้หนี้ยืมสิน พอน้ำลดแล้วก็ต้องหาเงินใช้หนี้ แล้วก็ต้องหาเงินไว้กินเหรอ 

ลูกกูต้องโตมาเหมือนกูเหรอ เพราะตัวเองโดนมาไง ทำงานขับรถหามาทำงานวิ่งรถเดือนหนึ่งได้ 20,000 - 30,000 ถึงเวลาน้ำท่วมรถพังซ่อมรถ 30,000 - 40,000 บาท ถ้าไม่ทำอะไรแม่งก็ชีวิตเหมือนวนลูปเหมือนดจาวู ปีแล้วปีเล่า วนอยู่แบบนี้

The People: ถ้าบอกกับรัฐหรือคนที่จะมาเยียวยาทุกคนเรื่องน้ำท่วม อยากบอกเขาว่าอะไร 

ปุ้ย แสงนาค: พูดได้เหรอ  ไปตายซะ เปลี่ยนคนบริหาร พอใครมาบริหารไม่ได้ก็ไปตายอีก ปลี่ยนจนกว่าจะได้ดี เพราะที่ก็ที่เดิม ปัญหาเดิมๆ แล้วมึงก็ยังใช้คนเดิมบริหารจัดการอยู่ ก็คนกลุ่มเดิม เพราะงั้นพวกมึงไปตาย ถ้าไม่ตายก็ไสหัวไปไกลๆ

 

ภาพ : ดำรงฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม