ภาษา รากเหง้า และอนาคต: เยาวชนชนเผ่ากับบททดสอบ AI

ภาษา รากเหง้า และอนาคต: เยาวชนชนเผ่ากับบททดสอบ AI

ในวันที่กฎหมายคุ้มครองวิถีชีวิตชาติพันธุ์ถูกบังคับใช้ เยาวชนชนเผ่าต้องเผชิญบททดสอบครั้งใหม่ ระหว่างการรักษาภาษาและรากเหง้าของตนเอง กับการก้าวสู่โลกอนาคตที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังมีบทบาท พวกเขาจะรักษาอัตลักษณ์ได้อย่างไรท่ามกลางความท้าทายของยุคดิจิทัล

KEY

POINTS

เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทาง ‘IMN’ ได้จัดทำรายงานพิเศษในชื่อ ‘เกิดในป่า หากินในเมือง ทางแยกของ ‘ชาติพันธุ์รุ่นใหม่’ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเยาวชนชนกลุ่มชาติพันธุ์ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อน และเจเนอเรชันที่จะดำรงรักษาอัตลักษณ์ของชนเผ่าตนเองในวันข้างหน้า

ความสำคัญดังกล่าวได้รับการตอกย้ำอีกครั้ง ภายในงานวันชนเผ่าพื้นเมืองประจำปี 2025 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กรุงเทพฯ ภายใต้วงเสวนาหัวข้อ : ‘เยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองและปัญญาประดิษฐ์ ร่วมปกป้องสิทธิและกำหนดอนาคตที่สดใส’ ที่ร่วมเสวนาโดยเยาวชนชนเผ่าจากทั่วประเทศทั้ง มาริสา ยาแปงกู่ แกนนำเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมือง ภาคเหนือ, ธนากร บุญแปง แกนนำเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองภาคกลาง-ออก-ตก, สุประดิษฐ์ สงณรินทร์ : แกนนำเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมือง ภาคใต้, รสิตา เชิดโฉม แกนนำเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมือง ภาคอีสาน

ภาษาถิ่นกำลังหายไปและความท้าทายในการกลับมา

“สังคมบอกเราตลอดว่า ถ้าอยากเข้าถึงโอกาสต้องเรียนภาษาที่สอง ไม่เคยมีใครชี้ให้เห็นถึงการกลับมาศึกษาภาษาแม่เลยว่า มันมีความสำคัญกับเราอย่างไร”

มาริสา แกนนำเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองภาคเหนือ เริ่มต้นตั้งคำถามจากค่านิยมที่หล่อหลอมเธอขึ้นมา เธอยังกล่าวอีกว่าภายใต้การแข่งขันในโลกปัจจุบัน ชนเผ่าอ่าข่าอย่างเธอต้องฝึกฝนตนเองให้เรียนภาษาไทยให้ได้เป็นอันดับแรก เพื่อที่จะมีโอกาสเข้าเรียนในระบบการศึกษา และหากต้องการโอกาสในชีวิตที่เปิดกว้างขึ้น เธอต้องเรียนรู้และฝึกฝนภาษาอังกฤษเพื่อที่จะทำให้สื่อสารกับคนทั้งโลกได้ แต่แค่นั้นยังไม่เพียงพอ

“ถ้าคุณได้ภาษาที่สามมันจะยิ่งดีขึ้นไปอีกกับชีวิต”

มาริสาพูดในฐานะตัวแทนคนรุ่นใหม่ว่า พวกเขาแทบไม่มีโอกาสในการเรียนรู้ภาษาถิ่นของตัวเอง และการเรียนรู้นั้นก็กลายเป็นเรื่องยากลำบาก เมื่อโลกภายนอกไม่ได้ร้องขอให้พวกเขาสื่อสารภาษาถิ่น 

แม้ว่ามาริสาจะพยายามกลับมาหัดพูดภาษาอ่าข่า เธอก็ได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัวของเธอเองว่ากลับไม่ได้รับกำลังใจสักเท่าไหร่

“มีคนมาบอกว่าฉันพูดภาษาอ่าข่าไม่ชัด เสียชาติเกิด เกิดมาเป็นคนอ่าข่าทำไมถ้าพูดภาษาอ่าข่าไม่ได้”

มาริสาทิ้งท้ายในประเด็นนี้ว่า ถ้าอยากสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม จำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อม ให้พวกเขาอยากกลับมาเรียนรู้ภาษารากเหง้าของตัวเองด้วย

“ผู้ใหญ่เองต้องเสริมแรงให้กำลังใจเด็ก ๆ ด้วย” มาริสากล่าว

ทางฝั่งรสิตา แกนนำเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองภาคอีสาน ได้เล่าต่อว่าตอนนี้ชาติพันธุ์กุยมีพจนานุกรมเป็นของตนเองแล้ว เธอเล่าถึงภาษากุยด้วยความภาคภูมิใจว่าเป็นภาษาที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงรัตนโกสินทร์ และเมื่อสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า ภาษากูยจัดอยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขามอญ-เขมร ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าพันปี

แต่แม้จะมีการพยายามอนุรักษ์ภาษากุยไว้ รสิตากลับพบว่าวัยรุ่นบางส่วนไม่สามารถพูดภาษากุยได้แล้ว 

“ฉันอยากเป็นครูสอนภาษากูย” รสิตากล่าว “ฉันรักในภาษากูย เพราะภาษาทำให้ตอนเด็ก ๆ เรามีกิจกรรมร่วมกัน ทุกวันนี้สิ่งต่าง ๆ เริ่มสูญหาย แต่ก่อนมีการเล่นพิธีแกลมอเกือบทุกบ้าน แต่ทุกวันนี้แทบไม่เหลือแล้ว”

โดยพิธีแกลมอ เป็นพิธีกรรมสำคัญของคนเชื้อสายกูย พิธีแกลมอเป็นการฟ้อนรำประกอบดนตรีที่ทำขึ้นในโอกาสต่าง ๆ เช่น เพื่อรักษาอาการป่วยและเรียกขวัญคนป่วย, การเข้าทรงเพื่อเสี่ยงทายปลอบขวัญให้คลายทุกข์, และการเข้าทรงเพื่อบูชาครูกำเนิดเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน โดยนิยมเล่นในช่วงเดือนยี่และเดือนสาม (มกราคมและกุมภาพันธ์)

ด้านธนากร แกนนำเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองภาคกลาง-ออก-ตก ได้ให้ความเห็นในเรื่องภาษาว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สามารถเข้ามาช่วยดำรงไว้ซึ่งภาษาได้ อีกทั้งยังสามารถทำให้คนนอกสามารถเข้ามาเรียนรู้ภาษาปลังของเขา 

อย่างไรก็ดีความเหลื่อมล้ำยังคงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การเข้าถึงปัญญาประดิษฐ์และนวัตกรรม เป็นไปอย่างไม่ทั่วถึงสำหรับกลุ่มเยาวชนชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล

เมื่อ AI เข้ามา-ภัยคุกคามหรือโอกาสให้กับกลุ่มชาติพันธุ์

“โลกยุคใหม่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า AI เข้ามามีบทบาท แต่ในขณะเดียวกัน AI ไม่ได้มีทุกอย่างที่เราต้องการ”

มาริสา แกนนำเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองภาคเหนือ มองว่าทุกวันนี้ข้อมูลของชนเผ่ายังคงไม่ได้ถูกนำไปบันทึกมากพอ นำมาซึ่งโอกาสในการประมวลผลข้อมูลที่ผิดพลาด เมื่อมีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมือง

มาริสาอธิบายว่าวิธีการทำงานของ AI ในปัจจุบัน คือการเก็บรวบรวมข้อมูลจำนวนมหาศาล และแสดงผลข้อมูลที่รวบรวมมาได้ สิ่งที่ควรระวังคือเรื่องอคติเพราะ AI เรียนรู้จากข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าไปในระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ดังนั้นในฐานะเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์มาริสากล่าวว่า 

“พวกเราต้องมีศักยภาพมากพอ ที่จะนำข้อมูลที่แท้จริงของแต่ละชนเผ่าเข้าไปอยู่ในระบบฐานข้อมูล”

ทางฝั่งสุประดิษฐ์ สงณรินทร์ แกนนำเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองภาคใต้ มองว่า AI จะเป็นสะพานเชื่อมให้กับชุมชนของเขากับโลกภายนอก ปัจจุบันเยาวชนมอแกลนเริ่มหันมาใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT หรือ Google Gemini ทดแทนการใช้เครื่องมือค้นหาดั้งเดิมแบบ Search engine เพราะเครื่องมือข้างต้นสามารถอำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูลที่พวกเขาต้องการ อีกทั้งสุประดิษฐ์กล่าวว่า

“เมื่อเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์เริ่มใช้เครื่องมือเหล่านี้จนคล่องแคล่ว มันจะเป็นช่องทางหนึ่งให้ชุมชนของเราได้นำมาประยุกต์ใช้การประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมของชาติพันธุ์ตนเอง”

เช่นเดียวกับรสิตา แกนนำเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองภาคอีสาน ที่แสดงความคิดเห็นว่าวันนี้ AI เข้ามามีบทบาทกับชีวิตของเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอคิดว่ามีความเป็นไปได้ในอนาคตที่ภาษากูยจะเข้าไปอยู่ในระบบของ AI ทำให้คนทุกคนบนโลกใบนี้สามารถศึกษาวัฒนธรรมของเธอได้จากทั่วทุกมุมโลก

การมีส่วนร่วมของพรบ.คุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ของกลุ่มเยาวชน

“ที่ผ่านมาสิทธิและวิถีชีวิตของเราไม่เคยถูกยอมรับอย่างเป็นทางการ กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่แค่การคุ้มครอง แต่ยังพูดถึงการส่งเสริมและการยอมรับในตัวตนของเราอย่างแท้จริง”

มาริสา แกนนำเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองภาคเหนือ เปิดประเด็นตอบคำถามต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ พ.ศ.2568 ในฐานะเยาวชน เธอมองว่าที่ผ่านมาอัตลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์ถูกนำไปเผยแพร่ผ่านคนภายนอก ทั้งในด้านการสื่อสาร, การท่องเที่ยว, และโครงการต่าง ๆ 

มาริสาคาดหวังให้กฎหมายใหม่ที่ประกาศใช้ สามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมของคนชาติพันธุ์ จากที่เคยเป็นคนปลายน้ำในการเข้ามาพัฒนาของคนภายนอก เธออยากให้คนชาติพันธุ์สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นคนต้นน้ำในการสร้างสรรค์การพัฒนาชุมชนของตนเอง

“ภาพฝันที่เราอยากเห็นสำหรับเยาวชนชนเผ่ากับพ.ร.บ.นี้ เราคาดหวังว่าอยากให้คนชนเผ่ามีส่วนร่วมในการทำงานพัฒนา ไม่ใช่แค่ผู้รับความอนุเคราะห์ แต่เป็นคนแก้ไขปัญหาของตนเองด้วยตนเอง”

ทางฝั่งธนากร แกนนำเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองภาคกลาง-ออก-ตก แสดงความดีใจเมื่อเห็นว่าพ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ พ.ศ.2568 ประกาศใช้ และมองว่ากฎหมายฉบับนี้จะไม่สามารถสำเร็จขึ้นมาได้ หากภาคประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้ร่วมมือกันขับเคลื่อนมานานกว่าสิบปี

ธนากรมองว่าแม้ว่าวันนี้ เยาวชนปลังบางส่วนไม่ยอมรับอัตลักษณ์ของตนเองเพราะว่าความอาย แต่เมื่อวันนี้มีกฎหมายคุ้มครองความเป็นชาติพันธุ์ขึ้นมาแล้ว เขาคาดหวังอยากเห็นเยาวชนปลังยอมรับความเป็นชนเผ่าตัวเองมากขึ้น 

ในขณะที่รสิตา แกนนำเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองภาคอีสาน ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของวัฒนธรรม เธอกล่าวว่าในมาตรา 8 ของพ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ พ.ศ.2568 มีการพูดถึงการสนับสนุนทางการศึกษาและการเรียนรู้ที่เคารพในความหลากหลายทางวัฒนธรรม

ทำให้รสิตาคาดหวังว่าสามารถบรรจุพจนานุกรมกูยที่มีการจัดทำขึ้น เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรการศึกษา ในฐานะที่เธอเป็นคุณครู

“ผมติดตาม พรบ.คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์อยู่เสมอ” สุประดิษฐ์กล่าวในตอนท้าย “แม้กฎหมายที่ออกมาไม่ได้ดั่งที่หวัง 100% แต่ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่พวกเราได้ร่วมกันผลักดันมาตั้งแต่ปี 2553”

แกนนำเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองภาคใต้อ้างถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ฉบับที่เกี่ยวข้องกับชาวกะเหรี่ยงและชาวเล 

สุประดิษฐ์เชื่อมั่นว่าพรบ.นี้จะกลายเป็นกฎหมายหลักที่ออกมาปกป้อง และคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วประเทศไทย แต่ต้องแลกมาด้วยข้อท้าทายที่ทุกคนต้องจัดทำข้อมูลรองรับให้เพียงพอต่อการคุ้มครองวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ตนเอง นั่นจึงเป็นสาเหตุที่คนรุ่นใหม่ถือเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนในการขับเคลื่อนสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ในเชิงข้อมูลและการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้

 

เรื่อง: ณฐาภพ สังเกตุ

ภาพ: เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง