Skilled Veterans Corps : อาสาสมัครวัยเกษียณกอบกู้ฟุกุชิมะ เพื่อให้คนหนุ่มสาวได้มีชีวิตต่อ

Skilled Veterans Corps : อาสาสมัครวัยเกษียณกอบกู้ฟุกุชิมะ เพื่อให้คนหนุ่มสาวได้มีชีวิตต่อ

กลุ่มอาสาสมัครผู้สูงวัยชาวญี่ปุ่นในนาม "Skilled Veterans Corps" รวมตัวกันเพื่อปฏิบัติภารกิจเก็บกวาดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องคนหนุ่มสาวจากความเสี่ยงในการรับสารกัมมันตรังสี

KEY

POINTS

“ผมอายุ 72 ปีแล้ว คงเหลือเวลาเฉลี่ยในชีวิตอีกแค่ 13-15 ปี ผมรู้ว่าการเข้าไปปฏิบัติการครั้งนี้จะเสี่ยงต่อการได้รับรังสี และลุกลามกลายเป็นมะเร็ง 

“แต่ผมคิดว่าอาจต้องใช้เวลา 20-30 ปี หรือมากกว่านั้นมะเร็งถึงจะพัฒนา แต่ถึงจะตายไปก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยคนหนุ่มสาวจะได้มีชีวิตต่อ”

‘ยาสุเตรุ ยามาดะ’ (Yasuteru Yamada) วิศวกรเกษียณวัย 72 ปี จากบริษัท ซูมิโตโม เมทัล อินดัสตรี หนึ่งในผู้ผลิตเหล็กระดับโลก กล่าว เขาเป็นผู้ริเริ่มความคิดที่จะรวมกลุ่ม Skilled Veterans Corps ขึ้นมาในช่วงเดือนเมษายน ปี 2011 หลังจากที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิที่ฟุกุชิมะไดอิจิในวันที่ 11 มีนาคม 2011 และเห็นข่าวทางโทรทัศน์ว่าระบบหล่อเย็นของโรงไฟฟ้าทำงานผิดปกติจนเกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี ทำให้พื้นที่บริเวณโดยรอบปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีไปด้วย

การรวมกลุ่มของ ‘ฮีโร่’ วัยเกษียณเหล่านี้ มีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว คือ ถึงเวลาแล้วที่คนรุ่นเขาจะต้องลุกขึ้นมารับผิดชอบ ไม่ใช่เป็นแค่กลุ่มคนผู้สังเกตการณ์ เฝ้ามองประเทศชาติล่มสลายไปอย่างช้า ๆ 

การรวมตัวของเหล่า ‘ฮีโร่’ วัยเกษียณ

กลุ่ม Skilled Veterans Corps รวมตัวกันอย่างรวดเร็วในเดือนเมษายน 2011 เขาและเพื่อนร่วมงานสองคนได้ติดต่ออาสาสมัครราว 2,500 คนผ่านโทรศัพท์และอีเมล ไม่นานคำเชิญก็ถูกแชร์ต่อในทวิตเตอร์และบล็อกออนไลน์ 

และนั่นทำให้สายโทรศัพท์ของเขาแทบไหม้ เพราะผู้คนต่างโทรเข้ามาสอบถามถึงคุณสมบัติของการเป็นอาสาสมัครกันอย่างล้นหลาม เพียงไม่กี่สัปดาห์ มีผู้สมัครแล้วกว่า 430 คน อายุเฉลี่ย 60 ปีตอนปลาย ส่วนคนที่อายุมากที่สุดคือ 82 ปี 

ยามาดะยังบอกอีกว่า การอาสาแทนคนหนุ่มสาวที่โรงไฟฟ้า ไม่ใช่เรื่องกล้าหาญ แต่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

เมื่อถูกถามว่าการรวมตัวของพวกเขา หมายถึงการพลีชีพเหมือนปฏิบัติการกามิกาเซ่ได้หรือไม่ ยามาดะตอบว่า เขาไม่ได้มองว่าการอาสาเข้าไปช่วยเก็บกวาดในครั้งนี้ จะหมายถึงการพลีชีพเสียทีเดียว เพราะสุดท้ายแล้ว เป้าหมายคือการส่งมอบประเทศให้คนรุ่นหลังได้มีชีวิตต่อ และเขาเองก็ยังอยากอยู่ในโลกใบนี้ โดยไม่ต้องคิดเสียดายหรือรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตวัยเกษียณอยู่ในประเทศนี้

“เราไม่ใช่กามิกาเซ่ กามิกาเซ่ไม่ได้มองเรื่องของการจัดการความเสี่ยง พวกเขายินดีพลีชีพเพื่อชาติ แต่เราต่างกัน เราจะกลับมา เราจะไม่พลีชีพในการทำงานอาสาครั้งนี้”

‘มิจิโอะ อิโตะ’ (Michio Ito) อดีตครูประถมวัยเกษียณ ทำงานอยู่ในคาเฟ่แห่งหนึ่ง เขาเองก็ตั้งใจเปลี่ยนจากสวมผ้ากันเปื้อนเป็นชุดป้องกันรังสี

“ผมไม่คิดว่าตัวเองพิเศษอะไร และผมเชื่อว่าคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีความรู้สึกนี้อยู่ในใจ คำถามคือคุณจะก้าวออกไปหรือเลือกจะยืนดูอยู่ข้างหลัง”

เขาบอกว่าการก้าวออกไปต้องใช้ความกล้า แต่หวังว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ “คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็อยากช่วยเท่าที่ทำได้”

เขาเชื่อว่าคนรุ่นเขามีหน้าที่ในการช่วยโรงไฟฟ้า เนื่องจากเคยได้รับประโยชน์จากพลังงานนิวเคลียร์ทำให้ญี่ปุ่นหลังสงครามมีไฟฟ้าใช้ “คนรุ่นเรายิ่งต้องช่วยกัน โดยเฉพาะคนที่เคยเชื่อคำขวัญว่า ‘พลังนิวเคลียร์ปลอดภัย’ ควรเป็นคนกลุ่มแรกที่เข้าร่วม นี่คือหน้าที่ของเราต่อคนรุ่นต่อไป”

แม้การรวมกลุ่มครั้งนี้จะได้รับเสียงชื่นชม ถึงความเสียสละของคนรุ่นปู่อย่างล้นหลาม แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยังคงเป็นกังวลว่าประชาชนที่เคารพรักจะได้รับอันตราย จึงออกมาคัดค้านในช่วงแรก

ยามาดะจึงต้องพยายามกดดันรัฐบาล เพื่อให้พวกเขายินยอมให้คนรุ่นเขาเข้าไปทำงานในพื้นที่เสี่ยง

Skilled Veterans Corps : อาสาสมัครวัยเกษียณกอบกู้ฟุกุชิมะ เพื่อให้คนหนุ่มสาวได้มีชีวิตต่อ

“ผมพูดคุยกับคนสำคัญทั้งในรัฐบาลและบริษัทเทปโก้ แต่ผมยังบอกอะไรมากไม่ได้ มันเป็นประเด็นอ่อนไหวทางการเมือง” ยามาดะให้สัมภาษณ์หลังจากพยายามรวมกลุ่มอาสาสมัครในช่วงปี 2011 

ด้าน ‘โกชิ โฮโซโนะ’ (Goshi Hosono) ที่ปรึกษาพิเศษนายกรัฐมนตรีตอนแรกเปรียบข้อเสนอของยามาดะว่าไม่ต่างจากภารกิจฆ่าตัวตาย และแนะว่าอาจไม่ต้องไปถึงขั้นนั้น แต่ต่อมาเขาแสดงท่าทีสนับสนุนมากขึ้น

“คนที่พร้อมเสียสละชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยชาติแก้ปัญหาเหล่านี้มีค่ากับเรามาก

“แต่เราต้องตรวจสุขภาพก่อน เพราะคนสูงอายุอาจเจ็บป่วยได้ง่ายในสภาพแวดล้อมแบบนั้น”

ส่วนผู้ดำเนินการโรงไฟฟ้าอย่างเทปโก้ ยืนยันแล้วว่าเครื่องปฏิกรณ์ 3 เครื่องน่าจะหลอมละลายแล้ว เป้าหมายคือทำให้โรงไฟฟ้าหยุดการทำงานอย่างปลอดภัยภายในเดือนมกราคม 2012 แม้ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าเป็นไปได้ยาก และเพื่อรับมือภัยพิบัติ ญี่ปุ่นได้เพิ่มเพดานรับรังสีของเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินจาก 100 มิลลิซีเวิร์ต (mSv)  เป็น 250 มิลลิซีเวิร์ต 

บันทึกของชาวต่างชาติ ถึงการรับมือภัยพิบัติของญี่ปุ่น

ใช่ว่าจะมีแค่ในบริเวณฟุกุชิมะเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ จากการลงสำรวจพื้นที่ของ ‘โรเบิร์ต ปีเตอร์ เกล’ (Robert Peter Gale) นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยาและการรักษาผู้ได้รับผลกระทบจากรังสี เข้ามาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและรักษาผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ภัยพิบัตินิวเคลียร์ รวมทั้งเหตุการณ์ภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่เชอร์โนบิลในปี 1986 และเหตุการณ์ฟุกุชิมะในปี 2011 ได้เขียนบรรยายถึงเหตุการณ์เมื่อปี 2011 ไว้ว่า 

ในโตเกียวที่อยู่ห่างจากเมืองฟุกุชิมะ 250 กิโลเมตร ประชาชนก็แตกตื่นไม่แพ้กัน น้ำดื่มบรรจุขวดหายเกลี้ยงจากชั้นวางของซูเปอร์มาร์เก็ตทันที ผู้คนกว้านซื้อเครื่องวัดกัมมันตรังสีมาตรวจข้าวถุง ซึ่งนักวิชาการต่างออกมาให้ความเห็นว่า การจะตรวจพบรังสีตกค้างอยู่ในข้าวได้นั้น จะต้องทานข้าวครึ่งกิโลต่อวัน นานหนึ่งปีจึงจะได้รังสีในระดับอันตราย

แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีเรื่องโชคดีอยู่บ้าง เช่น โรงไฟฟ้าตั้งอยู่ริมทะเลและมีกระแสลมพัดออกไปทางตะวันออก ทำให้ 90% ของกัมมันตรังสีพัดออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ถึงจะฟังดูแย่ แต่มหาสมุทรก็มีรังสีตามธรรมชาติอยู่มากพอแล้ว และหากมีน้ำปนเปื้อนรังสีจากโรงไฟฟ้ารั่วลงทะเล ปริมาณก็ยังน้อยเมื่อเทียบกับรังสีธรรมชาติ (เช่น โพแทสเซียม-40) หรือของเสียกัมมันตรังสีที่ถูกทิ้งลงทะเลโดยชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์ อย่าง สหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต (ในช่วงสงครามเย็น) รวมทั้งจากการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ในชั้นบรรยากาศ 

อีกเรื่องที่โชคดีคือสามารถกักกันนมและผลิตภัณฑ์นมจากภูมิภาคโทโฮคุได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วงแรกรัฐบาลไม่สามารถทำได้ทันทีในอุบัติเหตุเชอร์โนบิล การที่เด็ก ๆ ดื่มนมจากวัวที่กินหญ้าปนเปื้อนกัมมันตรังสีกลายเป็นปัญหาใหญ่ในเชอร์โนบิล

ขณะเดียวกัน ในญี่ปุ่นเองมีการบริโภคไอโอดีนตามปกติที่สูงในภาคเหนือของญี่ปุ่นและการแจกจ่ายยาไอโอดีนอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงในกลุ่มเด็ก ๆ ที่จะเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ และไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าความเสี่ยงมะเร็งต่อมไทรอยด์ จะเพิ่มขึ้นจากอุบัติเหตุในครั้งนี้

ยอดผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวใหญ่ในภาคตะวันออกของญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่าแผ่นดินไหวและสึนามิโทโฮกุ อยู่ที่ 16,000–18,000 คน และยังมีผู้สูญหายกว่า 2,500 คน ส่วนใหญ่จมน้ำที่บ้าน ไม่ก็ถูกพัดออกทะเล ไม่มีผู้เสียชีวิตจากการได้รับรังสีโดยตรง แม้อุบัติเหตุครั้งนี้ถือเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์นิวเคลียร์ก็ตาม

“ผมและคนอื่น ๆ ประเมินว่ามะเร็งส่วนเกินจากรังสีที่ปล่อยออกมาจากฟุกุชิมะในช่วง 80 ปีข้างหน้าอาจมีราว 1,500 ราย ทำไมถึงน้อยน่ะเหรอ ผมจะอธิบายตามนี้เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ลองดูปริมาณรังสีส่วนเกินตลอดชีวิตของบุคลากรบรรเทาเหตุ คุณจะเห็นว่ามีปริมาณ 50 มิลลิซีเวิร์ต ส่วนผู้ที่อพยพ 30 มิลลิซีเวิร์ต และคนที่อยู่ในพื้นที่ปนเปื้อน 10 มิลลิซีเวิร์ต

“ค่าเฉลี่ยการได้รับรังสีพื้นหลังของคนอเมริกันอยู่ที่ 3 มิลลิซีเวิร์ตต่อปี ดังนั้นการได้รับรังสีส่วนเกินเทียบได้กับการอยู่ในสหรัฐฯ อีก 3 ปี 

“ข้อสำคัญยิ่งกว่านั้น คือ 1. โดนพื้นฐานของการเกิดมะเร็งในคนญี่ปุ่น คาดว่าจะมีอยู่ราว 20 ล้านราย ทำให้ 1,500 รายเป็นจำนวนที่น้อยกว่า 0.01% 2. การคำนวณใช้วิธีการอ้างอิงจากโมเดลเชิงเส้นไม่มีเกณฑ์ (Linear No-Threshold Model - LNT) หมายถึง การประมาณความเสี่ยงต่อสุขภาพโดยล็อกว่าไม่มีระดับรังสีใดที่ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ และอัตราความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอตามปริมาณรังสีที่ได้รับ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางคนไม่เห็นด้วย และ 3. ความเสี่ยงมะเร็งตลอดชีวิตราว 40% การเพิ่มขึ้นเล็กน้อยนี้แทบตรวจไม่พบ โดยเฉพาะหากการสูบบุหรี่ในญี่ปุ่นลดลงใน 70 ปีข้างหน้า

เพื่อให้เห็นภาพ ความเสี่ยงมะเร็งของผู้ถูกอพยพจากฟุกุชิมะเทียบเท่ากับการทำ PET/CT ช่องท้อง (25 มิลลิซีเวิร์ต) ความเสี่ยงเสียชีวิตจากรังสี 1 มิลลิซีเวิร์ต เทียบได้กับการสูบบุหรี่ 14 มวน (ไม่ใช่ต่อวัน) หรือกินเนยถั่ว 25 ถ้วย (อะฟลาท็อกซิน) บางคนบอกว่าเนยถั่วลดมะเร็งหลอดอาหารและเต้านมได้ แต่ก็ต้องรับกับความเสี่ยงโรคอ้วนและโรคหัวใจด้วย

ชายคนนี้ยังได้กล่าวยกย่องความเข้มแข็งของชาวญี่ปุ่นในเหตุการณ์เมื่อปี 2011 เอาไว้ว่า “ผมต้องกล่าวถึงความเข้มแข็งและจิตวิญญาณของคนญี่ปุ่น ผมไปเยี่ยมศูนย์ผู้พลัดถิ่นหลายครั้งพร้อมของขวัญเล็ก ๆ ผมได้พบผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่บนเสื่อขนาด 2×2 เมตรกับคนอีกหลายร้อยในโรงยิมของโรงเรียน พวกเขาอัธยาศัยดี ชวนผมดื่มชาและมักปฏิเสธของกินเล็ก ๆ ในตอนแรก

“ขณะที่ในโตเกียว ผมและทีมงานใช้ชีวิตหลายเดือนโดยไม่มีลิฟต์ในตึกสูงและไม่มีแอร์ในหน้าร้อน เพราะจำกัดพลังงาน เสื้อเชิ้ตแขนสั้นไม่มีเนกไทกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แตกต่างจากภาพพนักงานญี่ปุ่นทั่วไป

“และในทุกคริสต์มาส เพื่อนร่วมงานผมในโตเกียวจะซื้อขนมที่ทำในฟุกุชิมะไปแจกผู้พลัดถิ่น ผมยังได้ผลไม้และผักจากจังหวัดฟุกุชิมะส่งมาที่แคลิฟอร์เนีย นี่คือ โทโฮคุดามาชิ (วิญญาณโทโฮคุ)

“หลายเดือนหลังอุบัติเหตุ ผมพบหญิงตั้งครรภ์จำนวนมากที่กังวลเรื่องความพิการแต่กำเนิด ผมยืนยันกับพวกเธอว่าไม่มีความเสี่ยง เราไม่พบหลักฐานที่น่าเชื่อว่าความพิการแต่กำเนิดเพิ่มขึ้นหลังเชอร์โนบิลแม้จะมีการกล่าวอ้างมากมาย

“ผมยังได้พบกับคนงานฟื้นฟูที่อนุญาตให้รับรังสีได้สูงสุด 50 มิลลิซีเวิร์ต ก่อนต้องออกจากงาน พวกเขากังวลเรื่องนี้ แต่หลายคนกลับสูบบุหรี่วันละ 1–2 ซอง ผมบอกว่าการสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากกว่ารังสีส่วนเกินที่ได้รับเสียอีก

“ผมไม่ได้ตั้งใจลดทอนผลกระทบของฟุกุชิมะนะ และผมรู้ดีว่าภูมิภาคโทโฮคุจะไม่มีวันฟื้นเต็มที่ ชาวบ้าน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เสียชีวิตหรือย้ายไปที่อื่นและจะไม่กลับมาอีก ค่าเสียหายโดยตรงและทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นประเมินที่ 200–300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การทำความสะอาดโรงไฟฟ้าจะใช้เวลาอย่างน้อย 30 ปี และต้องใช้เทคโนโลยีที่ยังไม่ถูกคิดค้น

“ส่วนคำถามที่ว่า โศกนาฏกรรมเชอร์โนบิลและฟุกุชิมะหมายความว่าเราต้องเลิกพลังงานนิวเคลียร์หรือไม่ ผมไม่คิดเช่นนั้น

“ประการแรก ไม่มีทางตอบสนองความต้องการพลังงานโลกและลดการปล่อยคาร์บอนได้โดยไม่มีพลังงานนิวเคลียร์ ชาวเท็กซัสคงเข้าใจสิ่งที่ผมหมายถึง และผมขอยกอีกหนึ่งตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัด เมื่อญี่ปุ่นปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 40 แห่งชั่วคราว การปล่อยคาร์บอนจากการใช้น้ำมันแทนเพิ่มขึ้นอย่างมาก และเราจะเห็นได้ว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินปล่อยกัมมันตรังสีสู่สิ่งแวดล้อมมากกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 100 เท่า เพราะถ่านหินมีทอเรียม ยูเรเนียม และเรเดียมอยู่

“ยังมีบทเรียนอีกมากจากแผ่นดินไหวใหญ่ภาคตะวันออกของญี่ปุ่น ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ช่วยเหลือแม้เพียงเล็กน้อย ผมขอบคุณเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นที่ให้การสนับสนุน และขอบคุณประชาชนญี่ปุ่นที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผม”

บทเรียน10 ปี หลังเกิดภัยพิบัติ

กับความฉ้อฉลที่ปรากฎขึ้นท่ามกลางเสียงร่ำไห้

หลังจากเกิดภัยพิบัติมายาวนานถึงสิบปี พื้นที่บริเวณดังกล่าวยังคงตรวจพบปริมาณรังสีอยู่ เพื่อไขความกระจ่างว่าเพราะเป็นเพราะสาเหตุใด ‘สำนักข่าวอาซาฮี ชิมบุน’ (Asahi Shimbun) จึงลงพื้นที่จัดทำรายงาน 3 ตอน โดยเน้นไปที่เมืองทามูระในจังหวัดฟุกุชิมะ โดยเฉพาะเขตที่ราบสูงชื่ออุซึชิ-ชิกุ (Utsushi-chiku) มีประชากรราว 1,850 คน ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรปลูกยาสูบ แม้ว่าหลังจากเกิดการระเบิดของไฮโดรเจนที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ไดอิจิ เมื่อเดือนมีนาคม 2011 บางคนหนีจะอพยพไปแม้ไม่ได้มีคำสั่งอย่างเป็นทางการ เพราะพื้นที่นี้อยู่นอกเขตอพยพ 20 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้สั่งห้ามจำหน่ายผลผลิตการเกษตรในพื้นที่ ทำให้การเกษตรต้องหยุดลงและชาวบ้านต่างกังวลเรื่องการทำมาหากินอยู่ไม่น้อย

“ตอนแรกผมไม่เคยคิดเลยว่าการเก็บกวาดบ้านเกิดของตัวเอง จะกลายเป็นงานใหญ่ขนาดนี้”

ชาวบ้านวัย 60 ปีคนหนึ่งในเขตอุซึชิ-ชิกุ จังหวัดฟุกุชิมะ เล่าย้อนความหลัง หลังเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ไดอิจิระเบิด แม้ว่าบ้านของเขาจะอยู่นอกเขตอพยพ 20 กิโลเมตร แต่กลับถูกสั่งห้ามขายผลผลิตเกษตร ชีวิตที่เคยสงบกลายเป็นหยุดชะงักทันที

ฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น รัฐบาลทุ่มงบกว่า 4 ล้านล้านเยนทำความสะอาดรังสีในพื้นที่ปนเปื้อน ชาวบ้านถูกชวนให้มาช่วยขุดหน้าดินปนเปื้อนและล้างอาคาร 

“มันเป็นงานที่ไม่ต้องมีทักษะพิเศษ แต่ได้ค่าจ้างดี” หญิงวัย 40 ปีเล่าว่าในพื้นที่แทบไม่มีงานพาร์ทไทม์สำหรับผู้หญิง เธอทำงานสัปดาห์ละ 2–5 วัน วันละ 7 ชั่วโมงครึ่ง ได้เดือนละ 150,000 เยน 

“ทุกคนสนุกกับการทำงานด้วยกัน เรารู้สึกเหมือนได้ช่วยบ้านตัวเอง”

โครงการเริ่มเดือนพฤศจิกายน 2012 มีคนเข้าร่วมราว 450 คน เฉลี่ยอายุ 60 ปี ทำงานให้บริษัทก่อสร้างท้องถิ่น ได้เงินตอบแทนวันละ 9,500 เยน แต่เมื่อโครงการจบเดือนกันยายน 2014 เงินส่วนหนึ่งของงบ 2.65 พันล้านเยนที่รัฐบาลจัดสรรมาให้กลับใช้ไม่หมด นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการฉ้อฉลบนคราบน้ำตาของผู้สูญเสีย

รองหัวหน้าทีมเล่าว่าเหมือนเงินหล่นลงมาจากฟ้าก็ไม่ปาน และหญิงคนเดิมยังได้โบนัส 7 ล้านเยนจนส่งลูกชายเข้าเอกชนและซื้อรถใหม่ บางคนได้เกิน 10 ล้านเยน

สารคดีของ NHK เผยว่าญี่ปุ่นใช้เงินแล้วกว่า 5.6 ล้านล้านเยน เพื่อทำความสะอาดรอบโรงไฟฟ้า แต่ไม่ใช่ทั้งหมดจะถูกใช้อย่างตรงจุด เมื่อตรวจพบว่าปริมาณรังสีลดลงเพียง 60% ใน 10 ปี การทำความสะอาดที่ควรเป็นงานกู้ภัย กลับกลายเป็นโครงการก่อสร้างมหึมาที่แรงจูงใจเรื่องกำไรแทรกเข้ามาแทน

ปัญหาไม่ได้อยู่แค่รังสี แต่เริ่มที่การจัดสรรงาน เมื่อรัฐบาลเลือกให้กระทรวงสิ่งแวดล้อมดูแล ทั้งที่ไม่เคยทำงานใหญ่ขนาดนี้มาก่อน แทนที่จะเป็นกระทรวงอุตสาหกรรม หรือกระทรวงอื่น ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญ การประมูลจึงเต็มไปด้วยช่องโหว่ NHK พบว่า 68% ของคำสั่งงานมีผู้ประมูลเพียงรายเดียว กำไรสูงถึง 10% จากปกติ 5% 

กรณีเมืองอิวากิชี้ให้เห็นชัด เมื่อประธานบริษัทผู้รับเหมาช่วงคนหนึ่งเคยทำงานที่โรงไฟฟ้า ตั้งบริษัทมาช่วยชุมชน แต่สองปีมีกำไรเกิน 10,000 ล้านเยน

หนึ่งในพนักงานของบริษัทบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “ความตั้งใจเดิมของพวกเขาที่ก่อตั้งบริษัทแห่งนี้ขึ้นมามันพังไปหมดแล้ว พวกเขาตกแต่งบัญชี ติดสินบนผู้ควบคุมงาน แจกรถให้พนักงาน และในที่สุดก็ถูกจับข้อหาติดสินบน”

พนักงานบริษัทผู้รับเหมารายใหญ่สองคนถูกจับข้อหายักยอก โดยปลอมใบเสร็จและบวกราคาห้องพักเกินจริง ความเสียหายรวมราว 4 พันล้านเยน “เรารู้ว่ากระทรวงสิ่งแวดล้อมคนไม่พอ จึงไม่กลัวการถูกตรวจสอบย้อนหลัง” 

เดิมทีแผนการขจัดสิ่งปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี คือ ต้องจบภายใน 3 ปีใช้งบ 1 ล้านล้านเยน แต่ผ่านมา 10 ปีแล้ว ยังไม่ถึงไหน งบพุ่งเกิน 3 ล้านล้านเยน ยังไม่รวมค่าเก็บกากและสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขึ้นมาใหม่ 16 แห่ง แทน 2 แห่งตามแผนแรก “ค่ากำจัดของเสียสูงกว่าที่คาดกว่า 5 เท่า” เจ้าหน้าที่เผย

เงินภาษีโดยตรงใช้เก็บกากกัมมันตรังสี ส่วนอีกส่วนใช้กำไรจากการขายหุ้น Tepco รัฐบาลซื้อหุ้น 1 ล้านล้านเยนที่ราคา 300 เยนต่อหุ้น ต้องขายที่ 1,500 เยนถึงจะคุ้ม แต่ราคายังขึ้นไม่ถึง ปัจจุบันมีแค่หนึ่งในสี่ นักวิชาการเตือนว่าถ้าราคาไม่ขึ้น สุดท้ายภาษีประชาชนก็ต้องจ่าย หรือ Tepco ต้องจ่ายเพิ่มจนค่าไฟแพงขึ้น

กฎหมายเดิมให้ Tepco ต้องรับผิดชอบเอง แต่เพราะงานใหญ่เกิน รัฐบาลกู้เงินมาจ่ายแทน แล้วให้บริษัทไฟฟ้าทั้งประเทศทยอยคืน แต่ในปี 2013 Tepco ขอเปลี่ยนระบบ อ้างว่าพลังงานนิวเคลียร์เป็น “นโยบายแห่งชาติ” ถ้าต้องจ่ายทั้งหมดบริษัทจะล้ม 9 เดือนต่อมารัฐบาลใช้กลยุทธ์ขายหุ้นแทน “เรารู้ตั้งแต่แรกว่ามันไม่พอ แต่ต้องทำให้ดูดีบนกระดาษ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งยอมรับ

ฤดูร้อนปี 2019 ในการประชุมยุบทีมโครงการอุซึชิ-ชิกุ รองหัวหน้าทีมสารภาพว่าได้ค่าตอบแทนพิเศษหลายล้านเยน รวม 26 ล้านเยนจ่ายให้เจ้าหน้าที่ 3 คนโดยไม่บอกสมาชิก คนในทีมโกรธแค้น “เราช่วยกันทำงานหนัก แต่สุดท้ายกลับถูกหักหลัง” สมาชิกคนหนึ่งพูด

หลายคนเล่าว่าเดิมค่าชดเชยจากรัฐบาลให้แต่ละบ้านไม่เท่ากัน ทำให้เกิดความไม่พอใจ แต่เมื่อมีงานเก็บกวาด ทุกคนมีโอกาสหาเงินเท่ากัน จนกระทั่งความเหลื่อมล้ำใหม่โผล่ขึ้นอีกครั้ง 

“มันช่วยให้เราผ่านวิกฤตได้ แต่ก็ทำลายความเป็นชุมชนไปด้วย” เกษตรกรสูงอายุคนหนึ่งในชุมชนสรุป

 

เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง

 

อ้างอิง