ผู้พันทอม ปาร์คเกอร์: ผู้จัดการส่วนตัวที่บงการชีวิตราชาแห่งร็อกแอนด์โรล

ผู้พันทอม ปาร์คเกอร์: ผู้จัดการส่วนตัวที่บงการชีวิตราชาแห่งร็อกแอนด์โรล

“มันจริงไหมครับที่คุณได้ส่วนแบ่งจากรายได้ของเอลวิสตั้ง 50 เปอร์เซ็นต์” “ไม่จริงเลยสักนิด เขาต่างหากที่ได้ส่วนแบ่งจากรายได้ของผมไป 50 เปอร์เซ็นต์”

นักข่าวชาวอังกฤษนามว่า คริส ฮัตชินส์ (Chris Hutchins) เอ่ยถามนักธุรกิจหัวใสแห่งวงการดนตรีว่าเขาสูบเลือดสูบเนื้อ ‘เอลวิส เพรสลีย์’ (Elvis Presley) ศิลปินชื่อดังก้องโลกซึ่งอยู่ในการดูแลของเขาจริงหรือไม่ เพราะในขณะที่ผู้จัดการส่วนตัวของศิลปินรายอื่น ๆ จะหักส่วนแบ่งประมาณ 10 - 15 เปอร์เซ็นต์เพียงเท่านั้น แต่สำหรับผู้จัดการคนนี้ รายได้กว่าครึ่งหนึ่งของเดอะคิง (The King) ไหลหลากเข้ากระเป๋าเขา แม้เขาจะเป็นผู้ไขประตูและจูงมือเอลวิสสู่สปอตไลต์ แต่หลายคนก็ตั้งคำถามว่า สิ่งที่เขาทำมันถูกหรือไม่? เขาหรือเปล่าที่เป็นสารตั้งต้นแห่งการตายของเอลวิส เพรสลีย์ด้วยวัยเพียง 42 ปี?

หลังจากที่สปอตไลต์ของโรงแรม ดิ อินเตอร์เนชั่นแนล (The International Hotel) ณ ลาสเวกัสได้ฉายแสงไปที่ชุดอันเปล่งประกายและเสียงอันสง่างามของราชาร็อกแอนด์โรลอย่างเอลวิส เพรสลีย์ ติดต่อกันอย่างยาวนานในช่วงเวลาหนึ่ง ก็คงถึงเวลาที่เราจะหันเหไฟดวงนั้นให้สาดไปที่ ‘ผู้พันทอม ปาร์คเกอร์’ (Colonel Tom Parker) ผู้จัดการส่วนตัวผู้พาเอลวิสขึ้นสู่แสง แต่ก็กักขังเขาไว้ในกรงทองให้เหี่ยวเฉาตายอย่างตราตรึงประวัติศาสตร์โลก

(ก่อนจะเข้าเรื่องผู้พันทอม ปาร์คเกอร์ สามารถแวะอ่านเรื่อง ‘เอลวิส เพรสลีย์: ราชาเพลงร็อกผู้เปลี่ยนโลกดนตรีด้วยบทเพลงจาก ‘คนผิวดำ’ ผ่านเว็บไซต์ของเราได้ที่ https://thepeople.co/elvis-presley/)

ชาวอเมริกันที่เคยเป็นชาวเนเธอร์แลนด์

เรียกได้ว่าที่มาของผู้พันทอมนั้นเป็นปริศนาอันลึกลับมาโดยตลอด แม้แต่เอลวิสเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าคนที่กำลังจัดการกับอาชีพของเขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่ ไม่ใช่เพราะไม่มีคนสนใจจะบันทึกประวัติของเขา ไม่ใช่เพราะมันธรรมดาจนไม่เป็นที่น่าสนใจ ไม่ใช่เพราะความทรงจำเหล่านั้นมันรางเลือน แต่เป็นเพราะเจ้าตัวเองที่อยากให้มันเป็นปริศนาแบบนั้น เพราะเขาอยากให้ทุกคนรอบตัวรู้ไว้ก็พอว่าเขาคืออดีตทหารชาวอเมริกันนามว่า ‘ทอม ปาร์คเกอร์’ ไม่ใช่ใครอื่น

แม้ใคร ๆ ต่างเรียกและจำในแบบที่เขาอยากให้ทุกคนทำ แต่แท้จริงแล้วทอมไม่ได้เป็นชาวอเมริกันที่เกิดที่เมืองฮันติงตัน รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย (Huntington, West Virginia) แถมเขาก็ไม่ได้ชื่อทอม นามสกุลปาร์คเกอร์อีกด้วย เพราะชายลึกลับผู้นี้เป็นชาวเนเธอร์แลนด์ที่เกิด ณ เมือง เบรดา (Breda) และเขามีชื่อจริงว่า ‘แอนเดรียส์ คอร์นีลิส วาน คูจิค’ (Andreas Cornelis van Kuijk) เกิดวันที่ 26 มิถุนายน ปี 1909 (แต่ในบทความนี้เราจะเรียกเขาว่าทอมตามที่คุ้นชิน)

เมืองเบรดา บ้านเกิดของทอม ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไรนัก พอก้าวเข้าสู่อายุ 15 ปี เขาจึงเดินทางออกจากบ้านสู่โลกภายนอกที่ใหญ่กว่าเดิมอย่างเมืองท่ารอตเทอร์ดาม (Rotterdam) ทำงานที่เกี่ยวกับเรือ - สิ่งที่จะพาเขาสู่โอกาสของชีวิตใหม่ - และภายหลังจากเก็บสะสมเงินได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่เขาอายุ 20 ปีพอดี ทอมก็กระโดดขึ้นเรือไปตายเอาดาบหน้า ณ ดินแดนแห่งโอกาสอย่างสหรัฐอเมริกา ในฐานะชาวต่างด้าวที่เข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย จากบ้านไปโดยไม่มีเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียว จากพ่อแม่พี่น้องไปโดยไม่บอกลาแม้แต่คำเดียว

ก้าวเข้าสู่ดินแดนที่มีมหาสมุทรมากั้นจากบ้านเดิม ไร้พาสปอร์ต ไร้ความถูกต้องตามกฎหมาย ทอมต้องหาทางเริ่มชีวิตใหม่ เขาจึงสมัครเข้ากองทัพ และจากจุดนี้เองจึงทำให้เขาได้ชื่อ ‘โธมัส ปาร์คเกอร์’ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะได้คำนำหน้าชื่อที่ใคร ๆ ก็เรียกติดปากว่า ‘ผู้พัน’ (Colonel) จากการเป็นทหารครั้งนี้ เพราะเขากลับได้คำนำหน้าดังกล่าวในปี 1948 หลังจากช่วยนักร้องอย่าง จิมมี เดวิส (Jimmy Davis) หาเสียงในการเลือกตั้ง ณ รัฐลุยเซียนา (Louisiana) เขาจึงแต่งตั้งยศเพื่อเป็นเกียรติให้ทอม 

หลังจากทำหน้าที่เป็นทหารเกณฑ์ได้ 2 ปีก็ถือว่าครบวาระ แต่เขาก็ได้ยื่นสมัครใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ตัวเขาเปลี่ยนใจกลางคันแล้วหนีทหาร จึงโดนจับไปขังเดี่ยว (Solitary Confinement) จึงทำให้เขาสติแตก (Mental Breakdown) และถูกปลดประจำการในที่สุดด้วยการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเขามีปัญหาทางจิต ซึ่งแม้ว่าเวลาถัดมาจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น เขาก็ไม่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารอีกเลย ไม่ใช่เพราะเขาถูกปลดในคราวก่อน แต่เป็นเพราะเขาเพิ่มน้ำหนักตัวเองให้หนักกว่า 130 กิโลกรัม จนทำให้เขารอดจากการเข้าสู่สมรภูมิสงคราม

 

พบเจอเอลวิส 

หลังจากก้าวข้ามผ่านอดีตชาวดัตช์และชีวิตในบทบาทของทหารอเมริกัน ทอมก็ก้าวเข้าสู่อาชีพการเป็นพิธีกรในละครสัตว์ที่เป็นคนเชิญชวนผู้คนให้มาดูสิ่งที่น่าสนใจ แต่เมื่อทำอยู่พักหนึ่ง ชีวิตของเขาก็เบนเข้าสู่อุตสาหกรรมดนตรีโดยเริ่มจากการเป็นโปรโมเตอร์ให้เพลงต่าง ๆ ของศิลปิน (Music Promoter) 

กว่า 17 ปีที่เขาคลุกคลีอยู่กับเส้นทางสายโปรโมเตอร์ที่เดินสายพาศิลปินไปทัวร์ทั่วสหรัฐอเมริกา เขาได้มีโอกาสร่วมงานกับศิลปินมากความสามารถหลายคน แต่วันหนึ่งในปี 1955 ทอมก็เหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มที่เปรียบเสมือนดาวดวงที่เปล่งประกายฉายแสงและแตกต่างจากดาวดวงอื่น ๆ นามว่า ‘เอลวิส เพรสลีย์’

ผู้พันทอม ปาร์คเกอร์: ผู้จัดการส่วนตัวที่บงการชีวิตราชาแห่งร็อกแอนด์โรล

เอลวิสก็ถือได้ว่ามีชื่อเสียงอยู่ในระดับหนึ่งแล้วก่อนจะมาพบกับทอม เพราะเขาได้อัดเพลงหลายเพลงที่ทำให้ใครหลายคนสนใจในตัวเขาอย่าง That’s All Right แต่ถึงกระนั้น หลาย ๆ เพลงที่ดังก็ไม่ได้ปังถึงขั้นติดชาร์ตบิลบอร์ด 100 อันดับ แต่อย่างน้อยทอมก็สัมผัสได้ว่าชายหนุ่มมากความสามารถคนนี้สามารถไปได้ไกลแน่ หากมีคนดันที่ดีพอ…เช่นเขา

ณ ขณะนั้น เอลวิสเองก็มีผู้จัดการส่วนตัวอยู่แล้ว แต่ทอมก็มองว่าความสามารถของเขานั้นมิได้คู่ควรกับค่ายเพลงที่เขาสังกัดอยู่ด้วยเลยแม้แต่น้อย และตัวเขาเชื่อว่าจะพาดาวรุ่งดวงนี้ไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่แน่ ทอมจึงเริ่มเข้ามาเพื่อทาบทามเอลวิสให้ไปอยู่กับเขา และท้ายที่สุดทางค่ายก็เซ็นสัญญาที่จะส่งต่อสิทธิ์ของเอลวิส (ที่แพงใช้ได้) ไปให้อยู่ภายใต้การดูแลของทอม ผู้ที่บอกว่าจะพาเขาเติบโตสู่แสงสว่าง

ซึ่งถามว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริงไหม? จริง แต่ไม่ทั้งหมด เพราะชีวิตของชายหนุ่มหน้าหล่อเสียงดีอนาคตไกลคนนี้กำลังตกลงไปอยู่ในเงื้อมมือของผู้จัดการหน้าเงินที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงเอลวิสเลยแม้แต่น้อย 

 

บุฟเฟต์เอลวิส

นอกจากที่ว่ารายได้กว่าครึ่งหนึ่งของเอลวิสจะเข้ากระเป๋าของผู้พันแล้ว วีรกรรมการสูบเลือดสูบเนื้อของผู้จัดการคนนี้ก็มีอีกมาก ซึ่งกรณีต่าง ๆ ชี้ให้เราเห็นกันอย่างชัดเจนว่าเขามองเอลวิสเป็นเพียงวัตถุสิ่งของหรือสินทรัพย์การลงทุนที่จะเอาไปใช้วิธีใดดีให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว อย่างสุขภาพของเอลวิส อาจจะจริงที่เขาเป็นคนจูงเอลวิสมาสู่สายตาของคนทั่วโลก แต่หากมองเพียงแค่ความลึกดังกล่าวแล้ว จะสรุปว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณต่อเดอะคิงมันก็ตื้นเขินเกินไป เพราะหากลองเอาไปชั่งน้ำหนักดู…ใครกันแน่ที่ได้ประโยชน์มากกว่า

ผู้พันทอม ปาร์คเกอร์: ผู้จัดการส่วนตัวที่บงการชีวิตราชาแห่งร็อกแอนด์โรล

แม้ว่าทั่วโลกแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักเอลวิส ชุดที่งดงามตระการตา และเสียงร้องอันไพเราะกินใจ แต่เชื่อหรือไม่ว่าตลอดชีวิตการทำงานของราชาแห่งร็อกแอนด์โรล เขาได้มีโอกาสไปเล่นสดที่ต่างประเทศเพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้น (แล้วภายใน 3 ครั้งก็คือ แคนาดา ซึ่งอยู่ในทวีปเดียวกัน) ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าออกไปต่างประเทศ ตัวเอลวิสเองมีความมุ่งหวังอยากจะไปทัวร์ที่ประเทศโซนยุโรปและประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก

แต่ติดตรงที่ว่า ‘ผู้จัดการเขาลักลอบเข้าประเทศมาแบบผิดกฎหมาย’ ใช่… ดังที่เราได้กล่าวไปในย่อหน้าแรก ๆ ว่าทอมไม่ใช่ชาวอเมริกัน และเข้าประเทศมาแบบผิดกฎหมาย เขาจึงไม่มีพาสปอร์ต แล้วการที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศจึงไม่เกิดขึ้น เพราะทอมกลัวว่าความลับของเขาจะถูกเปิดโปง ด้วยเหตุนี้เอลวิสจึงไม่ได้เดินทางไปทัวร์นอกประเทศ ซึ่งเป็นการเสียโอกาสทางด้านอาชีพอย่างมาก ซึ่งเป็นเพราะเหตุผลส่วนตัวของทอมล้วน ๆ 

หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมทอมถึงไม่พยายามทำสัญชาติเขาให้ถูกกฎหมายไปเลย เพราะโดยนโยบายในยุคนั้นก็ไม่ได้ทำยาก แถมทอมก็มีเงินมีทอง คงไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรที่จะจัดการปัญหานี้ บางแหล่งข่าวก็เสนอทฤษฎีว่าเขาอาจเคยก่อคดีฆาตกรรมที่บ้านเกิดมาก่อน เพราะในเมืองเดียวกันกับที่เขาเคยอยู่ มีเหตุฆาตกรรมปริศนาที่ยังหาผู้ก่อไม่ได้ ด้วยเหตุนี้บางคนจึงตั้งข้อสงสัยว่าเขาอาจจะเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว เลยไม่อยากเอาชื่อเดิมของเขามาทำให้เป็นทางการ

ซึ่งโอกาสทางอาชีพของเอลวิสที่ถูกจำกัดก็ไม่ได้มีเพียงในแขนงของวงการเพลงเท่านั้น เพราะอีกหนึ่งความใฝ่ฝันของเขาคือการเป็นนักแสดงฮอลลีวูด แต่ปรากฏว่าภาพยนตร์หลายเรื่องที่เอลวิสได้รับบทเป็นพระเอกก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก ไม่ว่าจะกี่เรื่องก็ตาม โดยแท้จริงมีภาพยนตร์ดี ๆ หลายเรื่องที่เสนอเข้ามาให้เอลวิสรับบท เช่น A Star is Born, West Side Story และ Midnight Cowboy โดยภาพยนตร์เหล่านี้ล้วนขึ้นหิ้งอยู่ในระดับคลาสสิกทั้งนั้น แต่ผู้จัดการของเอลวิสเลือกที่จะปฏิเสธบทดี ๆ เหล่านั้น เพราะเขาอยากเลือกหนังที่เอลวิสได้ร้องเพลง เพื่อเป็นโปรเจกต์ที่ได้เงินค่าลิขสิทธิ์เพลงที่ชัวร์กว่า จึงทำให้เอลวิสพลาดโอกาสดี ๆ ไปหลายครั้ง

ท้ายที่สุด ผู้พันนั้นนับได้ว่าเป็นคนที่ติดการพนันเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่ามีเท่าไรก็เสียหมด ถึงแม้ว่าจะมีรายได้จากส่วนแบ่งของเอลวิสไปตั้งครึ่งหนึ่งก็ตาม หมดถึงขั้นที่ว่าติดหนี้บ่อนการพนันมากมายที่ลาสเวกัส นี่จึงเป็นเหตุให้มีการเซ็นสัญญาสุดโหดที่ให้เอลวิสเล่นการแสดง 7 คืนต่อสัปดาห์ แถมคืนหนึ่งก็ต้องไปแสดงกว่า 2 โชว์ ด้วยการแลกเปลี่ยนที่จะจัดการกับหนี้ที่ทอมก่อตลอดมา

แล้วด้วยความที่ต้องโหมงานหนักผิดมนุษย์มนาเช่นนี้ เอลวิสก็ถูกซ้ำร้ายด้วยการจ่ายยากระตุ้นให้เขามีพละกำลังในการขึ้นไปแสดงอยู่บนเวที ไม่ว่าสภาพร่างกายเขาจะเป็นเช่นใดก็ตาม นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอายุของราชาร็อกแอนด์โรลช่างสั้นนัก 

การกระทำของผู้พันทอม ปาร์คเกอร์ ไม่ได้ต่างอะไรจากการจับเอลวิสเข้ากรงขังเพื่อตั้งเด่นเป็นสง่าให้ผู้คนดู แต่เบื้องหลังเขาคอยสูบเลือดสูบเนื้อมาเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ไม่ผิดนักที่จะบอกว่าทอมเป็นผู้ที่ดันให้เอลวิสดัง แต่ก็ไม่ผิดเช่นเดียวกันที่จะกล่าวว่า เขาก็เป็นคนผลักให้เอลวิสต้องมีชีวิตแบบนี้เช่นเดียวกัน

ผู้พันทอม ปาร์คเกอร์: ผู้จัดการส่วนตัวที่บงการชีวิตราชาแห่งร็อกแอนด์โรล

ภาพ: GAB Archive / Contributor

อ้างอิง:

https://www.smithsonianmag.com/history/colonel-parker-managed-elvis-career-but-was-he-a-killer-on-the-lam-108042206/

https://www.goldradiouk.com/artists/elvis-presley/colonel-tom-parker-manager-death-songwriting/

https://www.express.co.uk/entertainment/music/1269363/Elvis-Presley-Colonel-Parker-truth-interview-exclusive

https://www.youtube.com/watch?v=Ik7HAqR1AmY

https://www.youtube.com/watch?v=GVzjfk6oNf