‘Existential Burnout’ ชีวิตที่เราทำงานหนักแลกมา กลับไม่ใช่ชีวิตที่เราอยากมี

‘Existential Burnout’ ชีวิตที่เราทำงานหนักแลกมา กลับไม่ใช่ชีวิตที่เราอยากมี

เมื่อชีวิตที่เราทุ่มเทกลับไม่ใช่สิ่งที่อยากมี คุณอาจกำลังเผชิญ ‘Existential Burnout’ ภาวะหมดไฟที่กินลึกถึงคำถามว่า “เรามีชีวิตไปเพื่ออะไร?”

KEY

POINTS

  • อธิบายภาวะ Existential Burnout ที่แตกต่างจากการหมดไฟทั่วไป ด้วยแนวคิดจากจิตวิทยาอัตถิภาวนิยม
  • ชวนสำรวจตนเองผ่านอาการทางใจที่หลายคนมองข้าม
  • แนะวิธีเริ่มต้นฟังเสียงหัวใจตนเองอีกครั้ง อย่างอ่อนโยนและเป็นรูปธรรม

บางครั้งชีวิตก็เหมือนบทละครที่เราไม่ได้เขียนเอง

ทุกเช้าเราตื่นขึ้นตามเสียงนาฬิกาปลุก เราแต่งตัว ออกไปทำงาน กลับบ้าน ซุกตัวลงบนเตียง ด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ แล้วพรุ่งนี้ก็ทำแบบเดิมอีกครั้ง วนซ้ำราวกับไม่มีวันจบ บางคนอาจมีเงินเดือนดี มีตำแหน่งมั่นคง มีผู้คนรายล้อมอยู่รอบตัว แต่ในใจกลับรู้สึกว่างเปล่าจนแทบไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความขี้เกียจ ไม่ใช่ความไม่อดทน และไม่ใช่เพียงแค่หมดไฟจากการทำงาน แต่มันคือความล้าในระดับลึก ระดับที่ถามกลับไปถึงแก่นแท้ของตัวตนว่า “ฉันกำลังมีชีวิตไปเพื่ออะไร?” และนี่เองคือสิ่งที่เรียกว่า ‘Existential Burnout’

ต่างจากภาวะหมดไฟแบบทั่วไปที่เกิดจากงานหนัก พักผ่อนไม่พอ หรือแรงกดดันจากองค์กร Existential Burnout เกิดขึ้นเมื่อเราทำตามทุกอย่างที่สังคมบอกว่าควรทำแล้ว แต่สุดท้ายกลับไม่รู้สึกถึงคุณค่าในชีวิตนั้นเลย เหมือนเดินทางมาถึงจุดหมายที่ไม่ใช่จุดที่หัวใจปรารถนา

นักจิตบำบัดชื่อดังชาวออสเตรีย ‘วิกเตอร์ แฟรงเคิล’ (Viktor Frankl) ซึ่งเคยเป็นผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกันนาซี เชื่อว่าความหมายของชีวิตคือแรงผลักดันสูงสุดของมนุษย์ ไม่ใช่แค่ความสุข ไม่ใช่แค่ความสำเร็จ เขากล่าวไว้ว่า “มนุษย์สามารถอดทนกับความทุกข์ได้ทุกอย่าง ถ้าเขาเห็นความหมายของมัน” และเมื่อเราหาไม่เจอว่าชีวิตนี้มีไว้เพื่ออะไร เราก็จะหล่นลงสู่ความรู้สึกสูญเปล่าอย่างยากจะถอนตัว

เราอาจจะกำลังอยู่ในภาวะนั้น โดยไม่รู้ตัวเลยก็ได้ หากเรารู้สึกเหมือนใช้ชีวิตผ่านไปทั้งวันโดยไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญของเราอีกต่อไป หากงานที่เคยรู้สึกว่าท้าทายกลับกลายเป็นแค่ภาระ หากแม้แต่วันหยุดก็ไม่ช่วยให้เราฟื้นคืนพลังได้ หรือหากเรารู้สึกว่าไม่มีสิ่งไหนอีกแล้วที่ทำให้ตาเป็นประกาย
 

ความว่างเปล่าที่ซ่อนอยู่ในความสำเร็จนั้น บางครั้งอาจพรางตัวเก่งยิ่งกว่าอาการเจ็บป่วยใด ๆ มันอาจปรากฏออกมาในรูปแบบของความเหนื่อยเรื้อรังที่ไม่มีเหตุผล ความเฉยชาในความสัมพันธ์ ความลังเลทุกครั้งที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ หรือแม้กระทั่งในคำถามเงียบ ๆ ที่ผุดขึ้นในใจตอนอยู่คนเดียวว่า “นี่ใช่ชีวิตที่เราต้องการจริง ๆ หรือเปล่า?”

ในสังคมไทยที่ปลูกฝังให้คนเป็น ‘คนเก่ง’ หรือ ‘ลูกที่ดี’ การที่เราจะหยุดเพื่อทบทวนเส้นทางชีวิตนั้นแทบไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะการหยุดอาจถูกมองว่าเป็นความล้มเหลว หรือถูกมองว่าไม่อดทนพอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกล้าตั้งคำถามต่อชีวิตตัวเองนั้น คือความกล้าหาญขั้นสูงสุด

บางครั้ง เราอาจเริ่มฟังเสียงของตัวเองผ่านสิ่งเล็กน้อย เช่น ความรู้สึกเวลาตื่นเช้าวันจันทร์ ว่าเรารอคอยวันนั้น หรืออยากให้มันหายไป การดูว่าช่วงไหนของวันเรารู้สึกมีชีวิตชีวา และช่วงไหนที่เหมือนหมดแรงทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไร หรือแม้กระทั่งสังเกตตัวเองในบทสนทนาธรรมดา ว่าเราพูดถึงชีวิตตัวเองด้วยแววตาแบบไหน

ถ้าเสียงในใจเริ่มกระซิบว่าชีวิตนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเลือก นั่นไม่ใช่สัญญาณของความล้มเหลว แต่มันคือสัญญาณของการตื่นรู้ และเมื่อรู้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกอย่างในทันที บางทีแค่เปลี่ยนมุมเล็ก ๆ ของวัน หาพื้นที่เงียบ ๆ ให้ตัวเอง หยุดเลื่อนโทรศัพท์แล้วเขียนความคิดลงในสมุด หรือเดินเล่นคนเดียวอย่างไม่มีเป้าหมาย สิ่งเล็กเหล่านี้อาจพาเรากลับไปฟังหัวใจตัวเองอีกครั้ง
 

บางครั้ง ความหมายของชีวิตอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่หรืออลังการอย่างที่เราถูกสอนให้เชื่อ บางทีมันอาจซ่อนอยู่ในการลูบหัวลูกก่อนนอน การพูดคุยกับคนแปลกหน้าที่จริงใจ หรือการใช้ชีวิตธรรมดาอย่างรู้สึกเต็มตื้นจากข้างใน

‘คาร์ล ยุง’ (Carl Jung) เคยกล่าวว่า “ชีวิตไม่ได้ถูกแก้ไขด้วยคำตอบ แต่มันถูกเปลี่ยนแปลงด้วยการรู้จักคำถามที่แท้จริง” การถามตัวเองซื่อ ๆ ว่า “อะไรทำให้ฉันรู้สึกเป็นมนุษย์?” “อะไรที่ทำให้ฉันยิ้มโดยไม่ฝืน?” อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ ไม่ใช่เพื่อเป็นใคร แต่เพื่อกลับมาเป็นตัวเราเอง

‘เออร์วิน ยาลอม’ (Irvin Yalom) จิตแพทย์แนวอัตถิภาวนิยมเคยกล่าวว่า “สิ่งสำคัญในชีวิต ไม่ใช่แค่การอยู่รอด แต่คือการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย” ซึ่งในโลกที่เต็มไปด้วยการวัดผลและเปรียบเทียบ คำพูดนี้อาจฟังดูย้อนแย้ง แต่กลับเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่

หากวันนี้คุณกำลังรู้สึกเหนื่อยแบบไม่มีเหตุผล เบื่อหน่ายกับชีวิตที่เหมือนเดินอยู่ในเขาวงกต บางทีคุณอาจไม่ได้อ่อนแอ แต่คุณอาจกำลังตื่นขึ้นจากชีวิตที่คุณไม่ได้เลือกเอง

และนั่นไม่ใช่จุดจบของคุณ

แต่มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาใช้ชีวิตด้วยหัวใจตัวเองอีกครั้ง

ชีวิตที่เราทำงานหนักแลกมา อาจไม่ใช่ชีวิตที่เราต้องทนอยู่ในนั้นเสมอไป

เพราะความหมายของการมีชีวิต อาจไม่ใช่แค่ ‘อยู่รอด’ แต่คือ ‘การมีอยู่’ อย่างแท้จริง ในแบบที่เราเลือกเอง ด้วยความอ่อนโยนและซื่อตรงต่อหัวใจ

 

เรียบเรียง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: Pexels 

อ้างอิง: 
     Yalom, Irvin D. Existential Psychotherapy. yalom.com, https://www.yalom.com/existential-psychotherapy. Accessed 9 May 2025.
     Danilova, Maria V., and Olga V. Tarabrina. “Existential Aspects of Burnout in Labor Activity.” Psychology in Russia: State of the Art, vol. 15, no. 2, 2022, pp. 61–73, https://psychologyinrussia.com/volumes/index.php?article=5217. Accessed 9 May 2025.
     Vyskocilova, Jana, et al. “Burnout Syndrome and Logotherapy: Logotherapy as Useful Conceptual Framework for Explanation and Prevention of Burnout.” Neuropsychiatric Disease and Treatment, vol. 14, 2018, pp. 2071–2080, https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5994233/. Accessed 9 May 2025.