มหากาพย์ชีวิต ฟิลิปป์ เดอ รอธส์ไชลด์ ผู้พลิกโลกไวน์ด้วยบาดแผลจากนาซี

มหากาพย์ชีวิต ฟิลิปป์ เดอ รอธส์ไชลด์ ผู้พลิกโลกไวน์ด้วยบาดแผลจากนาซี

บารอน ฟิลิปป์ เดอ รอธส์ไชลด์ จากเพลย์บอยสู่ตำนานผู้ยืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรี สร้าง Château Mouton Rothschild ให้กลายเป็นไวน์ศิลปะระดับโลก เพราะเชื่อว่า “ไวน์ที่ยิ่งใหญ่เกิดจากจิตวิญญาณผู้ผลิต”

KEY

POINTS

ในโลกของไวน์ชั้นสูง คำว่า "รอธส์ไชลด์" เปรียบเสมือนสกุลเงินที่ไม่มีวันเสื่อมค่า แต่สำหรับ บารอน ฟิลิปป์ เดอ รอธส์ไชลด์ (Baron Philippe de Rothschild) ชื่อของเขาคือเหรียญสองด้านที่หล่อหลอมด้วยความขัดแย้ง ด้านหนึ่งคือเพลย์บอยผู้รักการผจญภัยและการเสพย์สุขอย่างโจ่งแจ้ง อีกด้านหนึ่งคือบุรุษผู้แบกรับบาดแผลจากการสูญเสียที่ใหญ่หลวงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ลองจินตนาการถึงฉากในห้องสมุดส่วนตัวของ ชาโต มูตง รอธส์ไชลด์ (Château Mouton Rothschild) กลิ่นหนังเก่าจากปกหนังสือ กลิ่นชื้นของไม้โอ๊ก และกลิ่นของไวน์วินเทจที่มองไม่เห็นตัว ในวัยชรา บารอน ฟิลิปป์ นั่งอยู่ข้างเตาไฟ ใบหน้าของเขาสะท้อนร่องรอยของกาลเวลาที่ผ่านมา

นักวิจารณ์หนังสือจาก The Kirkus Reviews เคยสรุปภาพรวมในชีวิตของเขา ที่มีต่ออัตชีวประวัติ "The Very Candid Autobiography of Baron Philippe de Rothschild" อย่างตรงไปตรงมาว่า

"เรือยอชต์, รถแข่ง, ไวน์, ไวน์, ไวน์, สตรี, สตรี, สตรี: บันทึกความทรงจำที่ไม่สะทกสะท้าน, เปี่ยมสุขอย่างไม่ถ่อมตน ของบุรุษเจ้าสำราญผู้เป็นที่รัก"

แต่เบื้องหลัง "ความเจ้าสำราญที่น่ารัก" นั้น คือบุรุษผู้ผ่านการสูญเสียภรรยาในค่ายกักกันนาซี การหลบหนีที่เสี่ยงชีวิต การถูกจองจำ และที่สำคัญที่สุด การต่อสู้อันยาวนานเพื่อศักดิ์ศรีของไวน์ เปลี่ยนสถานะของ มูตง จาก ‘Second Growth’ สู่การยอมรับในฐานะ ‘First Growth’

นี่คือเรื่องราวของคนที่ผ่านทั้งไฟสงครามและไฟปรารถนา ซึ่งหล่อหลอมให้ชีวิตกลายเป็นสิ่งที่เปี่ยมไปด้วยเกียรติยศและความเป็นนิรันดร์

เด็กชายผู้พูดติดอ่างในบ้านรอธส์ไชลด์

ฟิลิปป์ เกิดเมื่อปี 1902 ในปารีส เขาไม่ใช่เด็กชายที่ถูกกำหนดให้เป็น "ราชาแห่งไวน์" ตั้งแต่ต้น แต่ถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบครัวของเขาเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่กำหนดเศรษฐกิจของยุโรป และการเติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ก็มาพร้อมกับความกดดันที่ยิ่งใหญ่

บุคลิกในวัยเด็กมีความเปราะบางอย่างคาดไม่ถึง เขามีปัญหาเรื่องการพูดติดอ่าง (stuttering) ซึ่งในสังคมชนชั้นสูงที่ใช้คำพูดคมคายเป็นเครื่องมือ การพูดติดอ่างจึงเป็นรอยด่างที่ทำให้เขารู้สึกไม่สมบูรณ์

"ความเงียบคือสิ่งที่สอนให้เขารู้จักฟังเสียงของโลก"

อองรี (Henri de Rothschild) บิดาของเขา เป็นทั้งหมอ นักแสดง นักเขียนบทละคร และนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ฟิลิปป์ถูกทอดทิ้งให้อยู่ในความดูแลของมารดา มาธิลด์ (Mathilde) ซึ่งเป็นคนที่เข้มงวดและห่างเหิน ความเงียบและความโดดเดี่ยวที่เกิดจากการพูดติดอ่างและการอยู่ใต้เงาบิดา ผลักดันให้เขาพัฒนา "สายตาที่เฉียบคม" ในการสังเกตสิ่งรอบตัว เขาไม่ได้สนใจตัวเลขในธนาคาร แต่สนใจสี, แสง, เสียง และความรู้สึก สิ่งที่ต่อมาจะกลายเป็นหัวใจของการสร้างสรรค์ไวน์และงานศิลปะ

การแสวงหาตัวตนจึงพาเขาออกห่างจากความคาดหวังของตระกูล และนำไปสู่การเดินทางที่คาดไม่ถึง…

การค้นพบมูตง: แผ่นดินที่เปลี่ยนชีวิต

เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งระเบิดขึ้นในปี 1914 ปารีสกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงภัย ฟิลิปป์ ในวัยสิบหกปี ถูกส่งไปยังไร่องุ่นมูตง ในปอญัก (Pauillac) ซึ่งเป็นกิจการของตระกูลที่ถูกดูแลอย่างหละหลวมมานานนับทศวรรษ

การเดินทางถึงมูตงในตอนนั้น เหมือนการย้ายจากโลกแห่งความซับซ้อนของมนุษย์ สู่โลกแห่งความจริงอันเรียบง่ายของธรรมชาติ เป็นครั้งแรกที่เขาได้กลิ่นดิน กลิ่นองุ่นที่ถูกบด และกลิ่นของชีวิตจริงที่ไม่ได้ถูกปรุงแต่งด้วยกฎเกณฑ์ทางสังคม

มูตง ในปี 1918 ไม่ได้เป็น ชาโต ที่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกตอนนั้น เป็นเพียงไร่องุ่นที่ตระกูลยอมให้ขายองุ่นไปผลิตไวน์ยี่ห้ออื่นด้วยซ้ำ แต่สำหรับ ฟิลิปป์ ที่นี่คือผืนดินที่ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ที่นี่ไม่มีใครสนใจว่าเขาจะพูดติดอ่างหรือไม่ ที่นี่มีเพียงศักยภาพขององุ่น และผืนดินที่รอการบ่มเพาะ

นี่คือช่วงเวลาที่เขาตัดสินใจตามประสาเด็กหนุ่ม ว่าจะใช้ชีวิตกับไวน์ จะใช้พลังงานทั้งหมดในการค้นหา "เสียงที่แท้จริง" ของมูตง และทำให้โลกยอมรับมัน

เพลิงปรารถนา: วัยหนุ่มแห่งการทดลอง

ช่วงทศวรรษ 1920s คือยุคของ The Roaring Twenties สำหรับ ฟิลิปป์ นี่คือการปลดปล่อยตัวตนอย่างเต็มที่ เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ทุ่มเทให้แก่ความสุข ทั้งรถแข่งและสตรีเพศ ใช้ชีวิตแบบเพลย์บอยผู้มั่งคั่ง เป็นเจ้าของทีมรถแข่งและเข้าร่วมการแข่งขัน Grand Prix อย่างบ้าคลั่ง

ความบ้าบิ่นที่ใช้ในลู่แข่ง นำมาสู่แนวทางการทำไวน์ด้วยเช่นกัน เมื่ออายุเพียง 20 ปี เขาตัดสินใจเข้าควบคุมการผลิตไวน์มูตงอย่างเต็มตัว ต้องการเป็นผู้สร้างสรรค์ เพราะไวน์คือศิลปะและเป็นเครื่องมือของการแสดงออก ไวน์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นตามกฎเกณฑ์ แต่สร้างขึ้นจากความปรารถนาและรสนิยมส่วนตัว

ในช่วงเวลาแห่งการทดลองนี้เอง เขาริเริ่มความคิดที่น่าตกใจ เป็นการปฏิวัติที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลก นั่นคือการบรรจุขวดไวน์ด้วยตนเองที่ชาโต ซึ่งเป็นรากฐานของการปฏิวัติไวน์ในเวลาต่อมา

มหากาพย์ชีวิต ฟิลิปป์ เดอ รอธส์ไชลด์ ผู้พลิกโลกไวน์ด้วยบาดแผลจากนาซี

ไวน์ต้องมีเสียงของตัวเอง: การบรรจุขวด ณ ชาโตว์

ก่อนที่ บารอน ฟิลิปป์ เดอ รอธไชลด์ จะก้าวเข้ามาในโลกของไวน์อย่างเต็มตัว ธรรมเนียมที่บอร์กโดซ์ถือปฏิบัติกันมายาวนานนับศตวรรษ คือการขายไวน์ในรูปแบบของถังไม้โอ๊ก (Barrels) ให้แก่พ่อค้าคนกลาง หรือที่เรียกว่า เนโกฌิญองส์ (Négociants) หน้าที่ของ Négociants คือการซื้อไวน์ถังจากชาโต นำไปผสม (Blending) จัดการบ่ม และที่สำคัญที่สุดคือ การบรรจุขวด (Bottling)

ธรรมเนียมนี้สร้างปัญหาประการหนึ่ง คือเมื่อไวน์ถูกบรรจุขวดนอกชาโต เจ้าของชาโตจะสูญเสียการควบคุมคุณภาพไปอย่างสิ้นเชิง พ่อค้าคนกลางอาจผสมไวน์ที่คุณภาพต่ำกว่าเข้าไป เปลี่ยนแปลงรสชาติ หรือแม้แต่ทำให้ไวน์เสียได้โดยง่าย ในทางปฏิบัติ เจ้าของชาโตจึงไม่สามารถรับประกันได้ว่า ไวน์ที่ติดฉลากของตนนั้นจะถูกส่งถึงมือผู้บริโภคด้วยคุณภาพที่แท้จริง

ในปี 1924 ขณะที่มีอายุ 22 ปี เขาตัดสินใจกระทำสิ่งที่ถือเป็นการกบฏ (Insurrection) ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายศตวรรษของบอร์กโดซ์ เขาประกาศว่า ไวน์วินเทจ ปี 1924 (Mouton 1924) จะถูก "Mise en bouteille au château" หรือ บรรจุขวดที่ชาโตว์ โดยผู้ผลิตเอง

การตัดสินใจนี้นับเป็นการประกาศสงครามกับระบบเชิงอำนาจที่ผูกขาดโดยพ่อค้าคนกลาง

"ผมรู้สึกเบื่อหน่ายกับสถานการณ์ที่พ่อค้าคนกลางทำเงินมากกว่าเราถึงสี่เท่า พวกเขาขโมยคุณภาพของเราไป"

ฟิลิปป์ ต้องการให้ “ไวน์มีเสียงของตัวเอง” และเสียงนั้นต้องมาจากแหล่งกำเนิดที่แท้จริง การบรรจุขวดที่ชาโตบ่งบอกถึง “การควบคุมคุณภาพ 100%” สะท้อนถึงเจตจำนงของเจ้าของไร่, “การเพิ่มมูลค่า” เพราะมูลค่าของแบรนด์จะกลับคืนสู่ผู้ผลิตโดยตรง และ “การสร้างความน่าเชื่อถือ” โดยผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่าพวกเขาซื้อไวน์แท้จากแหล่งผลิต

แม้จะมีการต่อต้านอย่างรุนแรงจากสมาคมพ่อค้าไวน์ ซึ่งพยายามคว่ำบาตรไวน์ของมูตง แต่ฟิลิปป์ก็ไม่ย่อท้อ เขาเลือกที่จะยอมรับความเสี่ยงทางการเงินเพื่อศักดิ์ศรีของไวน์และตัวเขาเอง

การปฏิวัติของฟิลิปป์ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ในวงการไวน์โลก ในช่วงแรกมีเพียงมูตงเท่านั้นที่กล้าทำเช่นนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความคิดนี้ก็กลายเป็น “มาตรฐานสากล” สำหรับไวน์ชั้นดีทั่วโลก จึงเป็นมรดกแรกที่บารอน ฟิลิปป์ มอบให้แก่วงการไวน์ เปลี่ยนจากผู้ผลิตสินค้าเกษตรธรรมดา ให้กลายเป็นศิลปินผู้ควบคุมผลงานตั้งแต่ต้นจนจบ

ไวน์และศิลปะ: Art for Wine, Wine for Art

หลังจากที่ บารอน ฟิลิปป์ ได้ประกาศความเป็นอิสระจากพ่อค้าคนกลางแล้ว เขาก็เริ่มแสวงหาวิธีที่จะสื่อสาร “จิตวิญญาณแห่งมูตง” ไปยังโลกภายนอกอย่างชัดเจนและทรงพลัง โดยตระหนักว่าฉลากไวน์ที่ซ้ำซากจำเจของบอร์กโดซ์ในยุคนั้น ไม่ได้สะท้อนถึงความยิ่งใหญ่หรือเอกลักษณ์ของไวน์เลย ในฐานะผู้คลุกคลีในวงการศิลปะและละครเวที ฟิลิปป์ มองเห็น ฉลากไวน์ (Wine Label) เป็นผืนผ้าใบขนาดเล็กที่มีศักยภาพมหาศาล

จุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างไวน์กับศิลปะสมัยใหม่เกิดขึ้นในปี 1924 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการปฏิวัติการบรรจุขวด ฟิลิปป์ ได้มอบหมายให้ ฌอง การ์ลู (Jean Carlu) ศิลปินแนวคิวบิสต์ที่มีชื่อเสียงในปารีส ออกแบบฉลากไวน์ของมูตง โดยมีจุดประสงค์หลักคือการฉลองการตัดสินใจบรรจุขวดที่ชาโตนั่นเอง

แม้ว่าความร่วมมือในครั้งนั้นจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ฟิลิปป์ได้วางรากฐานความคิดไว้แล้ว และความคิดนี้ถูกนำกลับมาใช้อย่างจริงจังในปี 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นช่วงที่ยุโรปต้องการการฟื้นฟูทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณ

สำหรับวินเทจปี 1945 ซึ่งเป็นปีแห่งชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรเหนือนาซี (Victory Year) ฟิลิปป์ ได้เลือกให้ศิลปินออกแบบฉลากด้วยสัญลักษณ์ “V” (Victory) อย่างโดดเด่นและทรงพลัง การออกแบบนี้กลายเป็นตำนานและเป็นจุดเริ่มต้นของธรรมเนียมการใช้ศิลปินเอกในการออกแบบฉลากประจำปีของ Château Mouton Rothschild ที่ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน

ตลอดหลายทศวรรษต่อมา ฟิลิปป์ ได้เปิดประตูให้เหล่าศิลปินเอกของโลกเข้ามาร่วมงานอย่างต่อเนื่อง 

ศิลปินบางส่วนที่เขาเชิญมาร่วมสร้างสรรค์ผลงาน อาทิ ซัลวาดอร์ ดาลี (Salvador Dalí) ปี 1958 ใช้ภาพวาดที่มีลักษณะเหนือจริง (Surrealism) สะท้อนความลึกลับของไวน์,  โจน มีโร (Joan Miró) ปี 1969 นำเสนอความเป็นนามธรรมผ่านรูปทรงเรขาคณิตและสีสัน,  มาร์ค ชากาลล์ (Marc Chagall) ปี 1970 วาดภาพฝันที่เต็มไปด้วยจินตนาการและสีสัน และ พาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso) ปี 1973 ออกแบบฉลากเพื่อฉลองชัยชนะในการเลื่อนสถานะเป็น First Growth (ซึ่งเราจะกล่าวถึงในภายหลัง)

ความปรารถนาของ ฟิลิปป์ ในการเชื่อมโยงมูตงเข้ากับศิลปะชั้นสูงนั้น ไม่ได้เป็นเพียงกลยุทธ์การตลาด แต่เป็นปรัชญาที่เขาเชื่อมั่น ดังที่เจ้าตัวมักจะกล่าวเปรียบเทียบระหว่างไวน์กับงานศิลปะว่า  “Art for Wine, Wine for Art.” 

การตัดสินใจใช้ฉลากศิลปะนี้ เปลี่ยนมูตงให้กลายเป็นของสะสมที่มีมูลค่าทางศิลปะและประวัติศาสตร์ และทำให้บารอน ฟิลิปป์ ได้รับการยอมรับในฐานะ Patron of the Arts ผู้อุปถัมภ์ศิลปะที่ใช้ฉลากไวน์เป็นแกลเลอรีที่เล็กที่สุดแต่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

Mouton Cadet: การให้ไวน์ลงมาสู่ประชาชน

ในช่วงต้นทศวรรษ 1930s สภาวะเศรษฐกิจโลกกลับอยู่ในช่วงตกต่ำอย่างหนัก ผู้คนส่วนใหญ่หันไปดื่มค็อกเทล หรือวิสกี้แทนไวน์ เพราะความเข้าใจที่ว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่ "น่าเบื่อและเก่าแก่"

ฟิลิปป์ มองเห็นโอกาสในการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการขายไวน์ราคาแพง นั่นคือการทำให้ไวน์ชั้นดีเป็นที่นิยมและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นในราคาที่สมเหตุสมผล (popular priced, palatable wines)

แรงผลักดันนี้มาจากการที่ไร่องุ่นของเขาในยุคนั้นประสบปัญหาผลผลิตที่ไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในปี 1927 ที่ไวน์ออกมา "ธรรมดา" (passable) เกินกว่าจะใช้ชื่อ Mouton Rothschild ได้อย่างภาคภูมิ เขาปฏิเสธที่จะขายเป็นไวน์ ordinaire (ไวน์ธรรมดา) แต่ยังต้องการให้มันมี "ชื่อ" ของตัวเอง

เขาและ เอดูอาร์ มาร์ฌารี (Édouard Marjary) ผู้ช่วยคนสนิท ได้คิดค้นไวน์ยี่ห้อใหม่ที่แสดงถึงความผูกพันของเขาต่อครอบครัวรอธส์ไชลด์และต่อแคว้นบอร์กโดซ์

"มันเป็น Mouton ตัวใหม่ ทำไมไม่เรียกมันว่าอย่างนั้นล่ะ?" 

พวกเขาตกลงใช้ชื่อว่า "Mouton Cadet" — Cadet ซึ่งแปลว่า "น้องคนสุดท้อง" หรือ "สมาชิกใหม่" ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันในทันที แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่า เขาจะสร้างความเสียหายให้แก่ชื่อเสียงของ Mouton Rothschild ก็ตาม

Mouton Cadet ถือกำเนิดขึ้นในปี 1932 และถูกวางตำแหน่งให้เป็นไวน์ผสม (blended wine) ชั้นหนึ่ง ที่ผลิตด้วยความใส่ใจในคุณภาพ แต่มีราคาที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้

ความสำเร็จของ มูตง กาเดต์ เป็นไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นปรากฏการณ์ เนื่องจากไม่สามารถผลิตไวน์ได้เพียงพอจากไร่ของมูตงเพียงแห่งเดียว ฟิลิปป์ จึงเริ่มซื้อผลผลิตจากไร่องุ่นเพื่อนบ้านที่ดีที่สุดในพื้นที่เพื่อนำมาผสมผสาน

ขณะที่ Château Mouton Rothschild ยังคงเป็น "ไวน์หรูหราสำหรับโอกาสสำคัญ" Mouton Cadet กลายเป็น "ไวน์ยอดนิยม" (popular wine) ที่สร้างชื่อเสียงให้มูตงในวงกว้าง ฟิลิปป์ สร้างสมดุลที่ลงตัวระหว่างความเป็นศิลปะชั้นสูง กับการเข้าถึงของมหาชน อย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

Mouton Cadet คือสัญลักษณ์ของแนวคิดที่เรียกว่า "Democratization of Taste" การทำให้รสนิยมที่ดีไม่ถูกผูกขาดโดยชนชั้นสูงอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วไป ความสำเร็จของไวน์นี้ ทำให้ ฟิลิปป์ มีทรัพยากรทางการเงินที่แข็งแกร่งในการสานต่อการต่อสู้ครั้งสำคัญที่สุดของชีวิต นั่นคือการรักษาศักดิ์ศรีของ Château Mouton Rothschild ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

รถถังที่มูตง: วันที่ธงสวัสดิกะโบกเหนือองุ่น

ความสำเร็จในการปฏิวัติวงการไวน์ของ บารอน ฟิลิปป์ ในทศวรรษ 1920s และ 1930s ต้องหยุดชะงักลงอย่างฉับพลัน เมื่อโลกต้องเผชิญหน้ากับความมืดมิดของสงครามโลกครั้งที่สอง สำหรับตระกูลรอธส์ไชลด์ ซึ่งเป็นยิวที่มีอำนาจและอิทธิพล พวกเขาเป็นเป้าหมายอันดับแรกของระบอบนาซีเยอรมนี

ในเดือนมิถุนายน ปี 1940 ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่อกองทัพนาซีอย่างรวดเร็ว และแคว้นบอร์กโดซ์ถูกยึดครอง ชาโต มูตง รอธส์ไชลด์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและวัฒนธรรมของชนชั้นสูงชาวยิว ถูกยึดครองโดยกองทัพเยอรมันทันที

"ผมจำได้ว่ามันเป็นวัน...ที่ธงสวัสดิกะได้โบกสะบัดอยู่เหนือไร่องุ่นที่ผมรักมากที่สุด"

ภาพความพินาศของสงครามมาเยือนถึงประตูบ้าน รถถังและรถบรรทุกทหารจอดอยู่ตามทางเดินที่เคยใช้ขนองุ่น และห้องใต้ดินที่เคยใช้บ่มไวน์ชั้นเลิศ ถูกเปลี่ยนเป็นโรงเก็บเชื้อเพลิงและคลังเสบียงของทหารนาซี

ในฐานะที่เป็นผู้ต่อต้านระบอบนาซี และสนับสนุนนายพล ชาร์ลส์ เดอะ โกลล์ (Charles de Gaulle) อย่างเปิดเผย บารอนฟิลิปป์ ได้หลบหนีออกจากฝรั่งเศส ก่อนที่กองทัพนาซีจะตามล่าตัวเขาได้ รัฐบาลวิชี (Vichy Government) รัฐบาลหุ่นเชิดของนาซี ได้ประกาศยึดทรัพย์สินทั้งหมดของเขา ซึ่งหมายถึงการริบชาโตมูตงไปโดยสมบูรณ์

นาซีตั้งใจที่จะทำลายทุกสิ่งที่ฟิลิปป์สร้างขึ้น พวกเขาจัดการยึดทรัพย์สินทางวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ ไวน์วินเทจล้ำค่าในห้องใต้ดินถูกนำออกไปดื่มกินอย่างสนุกสนานโดยนายทหารระดับสูง และที่เลวร้ายที่สุด คือความพยายามทำลายสัญลักษณ์ แห่งความทรนงของมูตง

ในเวลานั้น มูตง ถูกเปลี่ยนชื่อและถูกส่งมอบให้แก่ บารอน เจมส์ เดอ รอธส์ไชลด์ (Baron James de Rothschild สมาชิกของตระกูลรอธส์ไชลด์อีกสายหนึ่ง เป็นสายที่ดูแล Château Lafite Rothschild) เพื่อควบคุมดูแลแทน รสชาติของความพ่ายแพ้และความพินาศได้กัดกิน ฟิลิปป์ แม้ในขณะที่เขาลี้ภัยอยู่ในอังกฤษ เขากลายเป็นผู้ลี้ภัยที่ไม่ใช่แค่หนีตาย แต่หนีจากโลกที่กลับด้าน ความรุ่งโรจน์ที่เคยสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากถูกทำลายลงในชั่วข้ามคืน

ประสบการณ์ของการถูกไล่ล่า การถูกทรยศ และการเห็นสมบัติทางวัฒนธรรมถูกเหยียบย่ำนี้ หล่อหลอมให้เพลย์บอยผู้นี้กลายเป็นบุรุษผู้มีความมุ่งมั่นทางการเมือง และเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงราคาของอิสรภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องจ่ายด้วยความสูญเสียที่ใหญ่หลวงกว่าการเสียชาโตไปชั่วคราว

ความรักในค่ายกักกัน: Lili de Chambure

ในขณะที่ บารอน ฟิลิปป์ กำลังหลบหนีและพยายามเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังต่อต้านของนายพลชาร์ลส์ เดอะ โกลล์ ที่ลอนดอน คนรักของเขา ลิลี เดอ ชองบูร์ (Élisabeth de Chambure) กำลังเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่เลวร้ายที่สุด

ลิลี เดอ ชองบูร์ เป็นนักแสดงสาวสวยผู้มีชีวิตชีวา และเป็นภรรยาคนแรกของฟิลิปป์ เธอได้มอบความสุขและความรักอันโลดโผนให้กับเขาในช่วงยุคทองก่อนสงคราม แต่เมื่อสงครามมาถึง ลิลี ตัดสินใจที่จะต่อสู้เพื่อฝรั่งเศสอย่างกล้าหาญ เธอเข้าร่วมขบวนการต่อต้าน (The French Resistance) อย่างลับๆ ภายใต้ชื่อรหัสที่แตกต่างกัน โดยใช้เสน่ห์และการเข้าถึงในสังคมชั้นสูงเพื่อรวบรวมข้อมูล

ในที่สุด ความกล้าหาญของเธอก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงลิ่ว ลิลี ถูกหน่วยเกสตาโป (ตำรวจลับของนาซี) จับกุมในเดือนกันยายน ปี 1943 และถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับ เธอถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมในปารีส ก่อนที่จะถูกเนรเทศไปยังค่ายกักกัน ราเวนสบรึค (Ravensbrück Concentration Camp) สถานที่ที่เลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ 

ฟิลิปป์ ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยและถูกจองจำอยู่ที่คาซาบลังกา ได้รับข่าวที่ขาดๆ หายๆ เกี่ยวกับชะตากรรมของภรรยา เขาพยายามใช้ทุกช่องทางและอิทธิพลที่เหลืออยู่เพื่อช่วยเหลือเธอ แต่ความพยายามทั้งหมดนั้นไร้ผลต่ออำนาจมืดของนาซี

"ผมสูญเสีย ลิลี ให้กับนาซี ลิลี คือรักแท้ของผม และการสูญเสียครั้งนั้นได้ทิ้งบาดแผลที่ไม่มีวันสมานได้"

ลิลี เดอ ชองบูร์ เสียชีวิตลงในค่ายกักกันราเวนสบรึค ในเดือนมีนาคม ปี 1945 ก่อนที่สงครามจะสิ้นสุดลงเพียงไม่กี่สัปดาห์ การสูญเสียของลิลีไม่ได้เป็นเพียงโศกนาฏกรรมส่วนตัว แต่เป็นการสะท้อนถึงราคาที่ตระกูลรอธส์ไชลด์ต้องจ่ายให้กับความเกลียดชังของนาซี

บาดแผลนี้ได้กลายเป็นแกนหลักที่ขับเคลื่อนชีวิตของฟิลิปป์หลังสงคราม ความรู้สึกผิดและความเศร้าจากการที่ไม่สามารถช่วยภรรยาไว้ได้ ทำให้ "เพลย์บอยผู้รักความสำราญ" กลายมาเป็นบุรุษผู้มีความมุ่งมั่น ประสบการณ์แห่งความทุกข์ระทมและการสูญเสียในค่ายกักกันได้หล่อหลอมให้เขาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดเพื่อศักดิ์ศรีที่เขาต้องกอบกู้กลับคืนมาเพื่อไวน์ เพื่อครอบครัว และเพื่อระลึกถึงผู้ที่จากไป

เชลยและอิสรภาพ: 8 เดือนในคาซาบลังกา

หลังจากการหลบหนีออกจากฝรั่งเศส เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมโดยนาซี บารอน ฟิลิปป์ ได้เดินทางไปยังอังกฤษเพื่อเข้าร่วมกับกองกำลังของนายพลชาร์ลส์ เดอะ โกลล์ ในช่วงแรกเขาได้ปฏิบัติภารกิจหลายอย่างให้แก่ขบวนการฝรั่งเศสเสรี (Free France) แต่ชีวิตของผู้ลี้ภัยก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและอันตราย

ชะตากรรมของเขาต้องพลิกผันอีกครั้งเมื่อเขาเดินทางไปยังแอฟริกาเหนือ ในขณะนั้น รัฐบาลฝรั่งเศสในดินแดนเหล่านี้ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลวิชี ฟิลิปป์ ถูกจับกุมในเดือนสิงหาคม ปี 1940 ที่อาณานิคมฝรั่งเศสในโมร็อกโก และถูกนำตัวไปจองจำที่ คาซาบลังกา การถูกจองจำครั้งนี้ ไม่ใช่โดยนาซีโดยตรง แต่โดยรัฐบาลฝรั่งเศสชุดเดียวกันที่เพิ่งประกาศยึดทรัพย์สินทั้งหมดไป การเป็นเชลยในดินแดนที่เขาคิดว่าเป็นมิตร เป็นสิ่งที่ ฟิลิปป์ อธิบายว่าเป็นการทรยศที่เจ็บปวด

"ผมถูกคุมขังในฐานะ 'พลเมืองอันตราย' ของสาธารณรัฐที่ผมรัก มันคือความย้อนแย้งที่น่าขันที่สุด"

ฟิลิปป์ ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมตัวอย่างเข้มงวดเป็นเวลาแปดเดือน ในคาซาบลังกา แม้ว่าสภาพความเป็นอยู่จะแตกต่างจากค่ายกักกันของนาซีอย่างสิ้นเชิง แต่ก็คือการถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ และในช่วงเวลานี้เองที่ข่าวร้ายที่สุดเกี่ยวกับชะตากรรมของภรรยา ลิลี เริ่มเล็ดลอดเข้ามาถึงตัวเขา

ช่วงเวลาที่ถูกจองจำในคาซาบลังกา ไม่ได้ทำลายจิตใจของ ฟิลิปป์ ลงเสียทีเดียว แต่กลับกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการกลั่นกรองชีวิต เขาใช้เวลาในความโดดเดี่ยวเพื่อทบทวนถึงความผิดพลาด ความทะนงตัวในอดีต และที่สำคัญที่สุดคือการตั้งเป้าหมายในอนาคต 

การถูกจองจำได้มอบสิ่งที่ชีวิตเพลย์บอยผู้มั่งคั่งไม่เคยได้รับ นั่นคือ อิสรภาพทางจิตใจ (Mental Freedom) เมื่อเขาสูญเสียทุกอย่าง ทั้งชื่อเสียง ทรัพย์สิน และคนที่รัก สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ คือความตั้งใจที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อสร้างสรรค์ความดีงามที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

การปลดปล่อยตัวเขาเกิดขึ้นในปี 1941 โดยความช่วยเหลือจากการแทรกแซงทางการทูต เมื่อฟิลิปป์ได้รับการปล่อยตัว เขาเดินทางต่อไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อช่วยระดมทุนและสนับสนุนการเคลื่อนไหวของฝรั่งเศสเสรี การเป็นเชลยได้เปลี่ยนเขาจากบุรุษผู้แสวงหาความสุขไปเป็นนักสู้ผู้มุ่งมั่นที่จะนำพาความยุติธรรมกลับคืนมาสู่ฝรั่งเศส และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนำศักดิ์ศรีกลับคืนสู่ชื่อของ มูตง

การกลับมาที่มูตง: ฟื้นฟูชีวิตจากซากสงคราม

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี 1945 บารอน ฟิลิปป์ ได้เดินทางกลับสู่ ชาโตว์ มูตง รอธส์ไชลด์ แผ่นดินที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากการยึดครองของนาซี

ภาพที่เห็นคือความพินาศ ตัวอาคารชาโตว์ถูกใช้เป็นกองบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศของเยอรมัน (H.Q., South-West German Air Defense) ภายในบ้านเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดถูกนำไปประมูลขาย พื้นไม้ถูกรื้อไปใช้เป็นฟืน ผนังเปื้อนโคลนและคราบเลือด ไร่องุ่นถูกทำลายบางส่วน มีเสาโทรเลขล้มลง สายไฟถูกตัด และเต็มไปด้วยบังเกอร์คอนกรีตที่ถูกสร้างโดยทหารเยอรมัน

แม้จะสูญเสียทรัพย์สิน และสูญเสียภรรยา ลิลี ไปอย่างไม่มีวันกลับ ฟิลิปป์ ปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่อความพ่ายแพ้ เขาต้องฟื้นฟูทั้งชีวิตส่วนตัวและมรดกของตระกูลไปพร้อมกัน ภารกิจแรกคือการฟื้นฟูมูตงให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งอย่างรวดเร็ว โดยได้รับความช่วยเหลือจากทีมงานผู้ภักดี เริ่มจากการกอบกู้ไวน์ล้ำค่า โดย อัลแบร์ต บลงแด็ง (Albert Blondin) หัวหน้าคนงานได้เผยความลับที่เก็บไว้ตลอดสงคราม เขาและทีมงานได้ก่อกำแพงอำพรางทางเข้าห้องเก็บของ และได้ซ่อนไวน์วินเทจที่ดีที่สุดไว้ เบื้องหลังกำแพงตะไคร่น้ำเพื่อป้องกันไม่ให้นาซีเอาไป

ฟิลิปป์ ได้รับอนุญาตให้นำเชลยศึกชาวเยอรมัน ที่ตั้งค่ายพักอยู่ในพื้นที่ชาโตมาเป็นแรงงานในการเคลียร์ซากปรักหักพัง สิ่งที่ทำอย่างมุ่งมั่นที่สุด คือการเคลียร์สวนที่ d'Armailhacq (ทรัพย์สินที่เขาซื้อก่อนสงคราม) และสร้างถนนกว้างที่โรยด้วยกรวดทอดยาวจากมูตง ไปยัง พอนเตต์-กาเนต์ (Pontet-Canet)

การสร้างความงามและระเบียบใหม่ขึ้นมาจากความพินาศ ยืนยันว่าถึงแม้บาดแผลในจิตใจจะไม่มีวันหายไป แต่เขาสามารถควบคุมโชคชะตาของผืนดินแห่งนี้ไว้ได้ ความยิ่งใหญ่ของมูตงจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อยืนหยัดเหนือกาลเวลา ในสภาพแวดล้อมที่ฟื้นตัวนี้ ฟิลิปป์ ได้พา ฟิลิปปิน (Philippine) ลูกสาวคนเดียวของเขากลับมาอยู่ด้วย และเริ่มฟื้นฟูชีวิตใหม่... 

ในที่สุดแล้ว มูตงก็ต้องการ 'นายหญิง' คนใหม่เพื่อมาเป็นแสงสว่างในการฟื้นฟูทั้งชาโตและจิตใจของเขา

Pauline Potter: หญิงผู้ทำให้มูตอนกลายเป็นบทกวี

การกลับมายังมูตงที่พังพินาศ และการสูญเสีย ลิลี ในค่ายกักกันนาซี ได้ทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดไว้ในจิตวิญญาณของบารอน ฟิลิปป์ อย่างลึกซึ้ง เขาพยายามอย่างหนักในการฟื้นฟูไร่องุ่นและชาโต แต่จิตใจยังคงต้องการการเยียวยา

การเยียวยานั้นมาถึงในรูปแบบของ พอลลีน พอตเตอร์ (Pauline Potter) นักออกแบบแฟชั่นชาวอเมริกันผู้ปราดเปรื่อง เธอเป็นผู้หญิงที่รู้จักกันดีในแวดวงสังคมชั้นสูงของปารีสและนิวยอร์ก เป็นผู้ที่มีรสนิยมล้ำเลิศ มีสายตาเฉียบคมด้านศิลปะและวัฒนธรรม การพบกันของฟิลิปป์และพอลลีนไม่ใช่แค่การพบกันของคนรัก แต่เป็นการรวมสองจิตวิญญาณที่เข้าใจในความงามและศิลปะอย่างลึกซึ้ง

"พอลลีนไม่ได้เข้ามาในชีวิตเพื่อรักษาบาดแผล แต่เธอเข้ามาเพื่อช่วยให้ผมเขียนบทกวีใหม่ขึ้นมาจากซากปรักหักพัง"

พอลลีน คือแสงสว่างที่นำความสดใสและสุนทรียภาพกลับคืนสู่มูตง เธอช่วยฟื้นฟูสภาพภายในของชาโตที่ถูกทหารเยอรมันทำลาย ให้กลับมาสง่างามและมีสไตล์ที่โดดเด่นอีกครั้ง เป็นผู้จัดบ้านและจัดสรรพื้นที่ต่างๆ ของมูตงให้เป็นที่ประทับใจของคนทั่วโลก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการตกแต่ง คือการสนับสนุนและเป็นแรงบันดาลใจให้กับความหลงใหลในศิลปะของฟิลิปป์ 

ด้วยวิสัยทัศน์ของเธอ มูตงกลายเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม ที่ไม่ได้มีแค่ไวน์ แต่มีศิลปะ, แฟชั่น และรสนิยมที่ไม่มีใครเทียบได้ การปรากฏตัวของเธอทำให้ บารอน ฟิลิปป์ กลับมาเป็นศิลปินของชีวิตได้อย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง ทั้งคู่สมรสกันในปี 1954

ศิลปะของไวน์ ศิลปะแห่งชีวิต

บารอน ฟิลิปป์ ได้รับการยกย่องในฐานะผู้ริเริ่มนำงานศิลปะมาสู่ฉลากไวน์  แต่ภรรยาของเขา พอลลีน ได้นำแนวคิดนี้ไปอีกขั้นหนึ่ง เธอเป็นผู้ผลักดันและเป็นหัวหอกในการสร้างพิพิธภัณฑ์ศิลปะในไวน์ (The Museum of Wine in Art) ที่ชาโตว์ มูตง รอธส์ไชลด์

"ไวน์คือศิลปะชั้นสูง และศิลปะควรจะคู่ควรกับไวน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"

The Museum of Wine in Art ถูกก่อตั้งขึ้นภายในห้องเก็บถังไวน์เก่าแก่ของชาโต ด้วยคอลเลกชันที่ไม่เหมือนใคร มีการรวบรวมวัตถุและงานศิลปะโบราณที่มีความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของไวน์และการดื่มไวน์จากทั่วโลก พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงตั้งแต่ถ้วยไวน์ทองคำของชาวกรีกและโรมัน ไปจนถึงงานศิลปะสมัยใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากองุ่นและกระบวนการทำไวน์ พอลลีนได้สร้างสะพานที่เชื่อมโยง ไวน์ ในฐานะเครื่องดื่มเข้ากับ ไวน์ ในฐานะพิธีกรรมทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังเป็นที่จัดแสดงต้นฉบับงานศิลปะที่ถูกใช้บนฉลากไวน์ของมูตง รอธส์ไชลด์ ตั้งแต่วินเทจปี 1945 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความผูกพันของมูตง กับศิลปินระดับโลกที่ ฟิลิปป์ ได้เชื้อเชิญมา 

ไม่เพียงแค่การแสดงความมั่งคั่งของตระกูลรอธส์ไชลด์ แต่ที่นี่ยังเป็นการแสดงความเคารพต่อมนุษยชาติ (Homage to Humanity) ที่สร้างวัฒนธรรมการดื่มไวน์ขึ้นมานับพันปี บารอน ฟิลิปป์ ยกระดับชาโตให้เหนือกว่าคู่แข่งทั้งหมด เขาไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิตไวน์ แต่เป็นผู้รักษาประวัติศาสตร์และผู้สร้างสรรค์ศิลปะแห่งชีวิต ผลงานที่เขาสร้างสรรค์ร่วมกับพอลลีนนี้ เป็นการเตรียมความพร้อมทางวัฒนธรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง ก่อนที่จะเข้าสู่การต่อสู้ครั้งสำคัญที่สุดและยาวนานที่สุดในชีวิตเพื่อศักดิ์ศรีของมูตง นั่นคือการขึ้นสู่ First Growth

ศึกยาวนานสู่ First Growth: “Premier je suis, Mouton ne change.”

การต่อสู้ที่แท้จริงของ บารอน ฟิลิปป์ ไม่ได้อยู่ที่สนามแข่งรถ ไม่ได้อยู่ที่คุกคาซาบลังกา และไม่ได้ต่อกรกับนาซี แต่เป็นการต่อสู้กับ กระดาษแผ่นเดียวที่เหลืองซีด ซึ่งก็คือการจัดอันดับไวน์บอร์กโดซ์ ปี 1855 (1855 Classification) นั่นเอง

แม้การจัดอันดับนี้จะถูกสร้างขึ้นอย่างเร่งด่วน ตามคำสั่งของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 เพื่อจัดแสดงไวน์ในงาน Paris Universal Exhibition โดยได้กำหนดลำดับศักดิ์ศรีของชาโตต่างๆ ในแคว้นเมด็อก (Médoc) แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ ก็ยังเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อโลกไวน์จนถึงปัจจุบัน  

หอการค้าบอร์กโดซ์ในเวลานั้น มอบหมายให้พ่อค้าคนกลางจัดอันดับชาโตในแคว้นเมด็อกตามชื่อเสียงและราคาขายในตลาด ผลลัพธ์คือการจัดแบ่งไวน์ออกเป็น 5 ระดับชั้น (First Growth ถึง Fifth Growth) รวมทั้งสิ้น 61 ชาโตที่ได้รับเกียรตินี้ โดยมีเพียง 4 ชาโตเท่านั้น ที่ถูกจัดอยู่ในอันดับสูงสุด Premier Cru Classé (First Growth)

การจัดอันดับนี้กลายเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ บารอน ฟิลิปป์ เนื่องจากถูกยึดถือเป็นกฎที่ไม่เปลี่ยนแปลงมานานกว่าศตวรรษ ทั้งที่คุณภาพของ Château Mouton Rothschild นั้น เทียบเท่ากับ First Growth มานานแล้ว การที่มูตงถูกแช่แข็งอยู่ในอันดับ Deuxième Cru Classé (Second Growth) จึงเป็นความอยุติธรรมที่ฟิลิปป์ปฏิเสธที่จะยอมรับตลอดชีวิต 

มีบันทึกว่า ผู้จัดการไร่องุ่นของมูตงในยุค 1855 นั้น โกรธแค้นต่อคำตัดสินนี้ และได้สร้างคำขวัญที่เป็นตำนาน

"Premier ne puis, second ne daigne, Mouton suis." (ฉันจะเป็นหนึ่งไม่ได้, ฉันหยามเหยียดการเป็นสอง, ฉันคือมูตง)

คำขวัญนี้ได้กลายเป็นไฟที่ขับเคลื่อนความมุ่งมั่นของฟิลิปป์ ด้วยการต่อสู้ที่กินเวลานาน 20 ปี

เพื่อยกสถานะของมูตงอย่างเป็นทางการ  ฟิลิปป์ เริ่มต้นการต่อสู้ทางกฎหมายและการล็อบบี้อย่างจริงจังในทศวรรษ 1950s กระแสต่อต้านที่รุนแรงที่สุดมาจากผู้ร่วมวงการไวน์บอร์กโดซ์เอง โดยเฉพาะ Château Lafite Rothschild ซึ่งเป็นเครือญาติกัน พวกเขาใช้ความเป็นชนชั้นเก่าและเอกสารทางประวัติศาสตร์" ของการจัดอันดับปี 1855 มาโจมตีและกีดกันฟิลิปป์

ฟิลิปป์ ใช้ฉลากไวน์ที่ออกแบบโดยศิลปินเอกของโลก เป็นเครื่องมือในการสร้างภาพลักษณ์ไวน์แห่งศิลปะและวัฒนธรรมที่เหนือกว่าไวน์ชั้นสูงสุดอื่น ๆ และทำให้ มูตง เป็นที่ต้องการของนักสะสมทั่วโลก 

หลังจากการต่อสู้อันยาวนาน การทุ่มเททางการเงิน การเมือง และการใช้กลยุทธ์ที่เฉียบขาด ในที่สุด ฟิลิปป์ ก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม วันที่ 21 มิถุนายน 1973 กระทรวงเกษตรของฝรั่งเศส ได้ออกคำสั่งเลื่อนสถานะของ Mouton Rothschild ให้เป็น Premier Cru Classé (First Growth) อย่างเป็นทางการ

นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของการจัดอันดับปี 1855 ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะ ฟิลิปป์ ได้เลือกงานศิลปะของ ปิกัสโซ (ซึ่งเสียชีวิตในปีนั้น) มาอยู่บนฉลากวินเทจปี 1973 ถือเป็นการคารวะต่อศิลปินผู้ยิ่งใหญ่และเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะที่ยืนยง คำขวัญเก่าถูกปรับเปลี่ยนเพื่อตอกย้ำความสำเร็จที่มาจากการต่อสู้อันยาวนาน 

"Premier je suis, second je fus, Mouton ne change." (ฉันคือหนึ่ง, ฉันเคยเป็นสอง, มูตงไม่เคยเปลี่ยนแปลง)

ชัยชนะครั้งนี้ พิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นและความปรารถนาเชิงสร้างสรรค์ ที่สามารถเอาชนะขนบธรรมเนียมที่แข็งกระด้างและโลกการเมืองที่ซับซ้อนได้ บารอน ฟิลิปป์ เดอ รอธส์ไชลด์ ได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของบอร์กโดซ์ และนำเกียรติยศกลับคืนสู่ชื่อของเขาเอง

การบ่มชีวิตด้วยไฟและเวลา

ในวัยชราที่ผ่านความสำเร็จมา ฟิลิปป์ เฝ้ามองชีวิตที่ผ่านประสบการณ์การบ่มเพาะมาอย่างลึกซึ้ง เขาได้พาไวน์ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของมนุษยชาติ และนำขึ้นสู่จุดสูงสุดทางวัฒนธรรม แต่ชีวิตที่บ่มด้วย "ไฟ" แห่งสงครามและความปรารถนา ก็ต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียครั้งสุดท้าย

ในปี 1976 ภรรยาที่รักของเขา พอลลีน พอตเตอร์ ผู้นำพาแสงสว่างและสุนทรียภาพกลับสู่มูตงได้จากโลกไปอย่างไม่มีวันกลับ การสูญเสียพอลลีน แม้จะไม่ใช่โศกนาฏกรรมรุนแรงเท่าการสูญเสียลิลีในยุคสงคราม แต่ก็เป็นความเงียบเหงาที่เข้ามาแทนที่ความคึกคักของชีวิต

ฟิลิปป์ ต้องเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาโอบรับความเงียบนั้นไว้ และหันไปใช้ชีวิตบั้นปลายกับ ฟิลิปปินน์ ลูกสาวคนเดียว ด้วยการส่งต่อมรดกและวิสัยทัศน์ทั้งหมดให้แก่เธอ

ชีวิตของ บารอน ฟิลิปป์ คือเรื่องราวของการไม่ยอมจำนนต่อสถานะเดิม เขาปฏิเสธการเป็นนายธนาคารเพื่อสิ่งที่รัก เขาปฏิเสธธรรมเนียมการขายไวน์ในถัง เขาปฏิเสธที่จะยอมรับการจัดอันดับปี 1855 และต่อสู้จนกว่าโลกจะยอมศิโรราบต่อคุณภาพของไวน์

ในช่วงบั้นปลาย เขาเปลี่ยนจากเพลย์บอยผู้รอดชีวิต กลายมาเป็น 'บิดาแห่งไวน์ยุคใหม่'

บารอน ฟิลิปป์ เดอ รอธส์ไชลด์ เสียชีวิตในปี 1988 ด้วยวัย 85 ปี ทิ้งมรดกทางศิลปะวัฒนธรรมไว้เบื้องหลัง ชีวิตของเขาสอนให้เรารู้ว่าไวน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยองุ่นที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่ด้วยจิตวิญญาณของผู้ผลิต การเดินทางของ ฟิลิปป์ ไม่ต่างจากไวน์ที่เขารัก เป็นกระบวนการหมักบ่มอันยาวนาน ผ่านความสุขของยุคแรกเริ่ม ผ่านความขมขื่นของสงครามและการสูญเสีย และผ่านการตกตะกอนด้วยการต่อสู้อันยาวนานเพื่อศักดิ์ศรี

เมื่อคุณรินไวน์ Château Mouton Rothschild วินเทจใดก็ตาม คุณกำลังดื่มด่ำกับเรื่องราวของบุรุษผู้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ กล้าหาญพอที่จะรักอย่างสุดหัวใจ และทรนงพอที่จะไม่ยอมแพ้ต่อทุกสิ่งที่ขวางกั้น ในทุกหยดของไวน์มูตง คือการรำลึกถึงชีวิตที่ถูกบ่มด้วยไฟและเวลา เป็นความงดงามที่เกิดขึ้นได้ตราบเมื่อมนุษย์ไม่ยอมจำนนต่ออดีตหรือโชคชะตา

 

ภาพ : Getty Images

 

อ้างอิง

- Rothschild, Baron Philippe de. (The Very Candid Autobiography of BARON PHILIPPE DE ROTHSCHILD). Assisted by Joan Littlewood. Ballantine/Doubleday, 1984/1990.