แอนเจโล กายา : จิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติไวน์อิตาลี

แอนเจโล กายา : จิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติไวน์อิตาลี

แอนเจโล กายา (Angelo Gaja) ผู้พลิกโฉมไวน์อิตาลีจากบาร์บาเรสโก ด้วยนวัตกรรม กล้าท้าทายขนบ สู่ราชาแห่ง Gaja ที่ผสานรากเหง้ากับวิสัยทัศน์ จนกลายเป็นตำนานระดับโลก

KEY

POINTS

  • Gaja เริ่มต้นในปี 1859 ที่แคว้นปีดมอนต์ และสั่งสมชื่อเสียงด้านคุณภาพมากว่าสี่ชั่วคน โดยมีแอนเจโล กายา (Angelo Gaja) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในศตวรรษที่ 20-21
  • แอนเจโลริเริ่มการทำ Single-Vineyard โดยใช้เทคนิค Green Harvest และนำถังบาริกฝรั่งเศสมาใช้ในพื้นที่ที่เคยยึดมั่นในขนบดั้งเดิม สร้างไวน์ไอคอนอย่าง Sorì Tildin และ Darmagi
  • แม้ยึดถือประเพณี แต่ Gaja ไม่หยุดนิ่ง เดินหน้าสู่ทัสคานี-ซิซิลี และส่งต่อภารกิจให้คนรุ่นที่ห้า ที่หันมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในยุคโลกร้อน

ในจักรวาลของไวน์ มีอยู่ไม่กี่ชื่อเท่านั้นที่สามารถสั่นสะเทือนขนบธรรมเนียมดั้งเดิม และสลักลายเซ็นของตนเองลงบนหน้าประวัติศาสตร์ได้อย่างถาวร และ กายา (Gaja) คือหนึ่งในชื่อเหล่านั้น 

โรงบ่มไวน์ของ กายา ถือกำเนิดขึ้นในปี 1859 ณ หมู่บ้านบาร์บาเรสโก (Barbaresco) แคว้นปีดมอนต์ อิตาลี ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพและนวัตกรรม โดยบุรุษนามว่า แอนเจโล กายา (Angelo Gaja) ผู้เป็นเสมือนจิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติ เขาไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตไวน์ แต่ยังเป็นศิลปิน นักการตลาด และตำนานที่มีลมหายใจ ผู้ใช้ความกล้าหาญและวิสัยทัศน์อันแหลมคม สานต่อมรดกของบรรพบุรุษ และผลักดันวงการไวน์อิตาลีให้ก้าวสู่เวทีโลกได้อย่างสง่างาม

แอนเจโล กายา : จิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติไวน์อิตาลี

มรดกแห่งความกล้าที่ส่งต่อผ่านสี่ชั่วคน

เรื่องราวการหยั่งรากลึกของ กายา ย้อนไปถึงศตวรรษที่ 17 เมื่อตระกูลซึ่งมีต้นกำเนิดจากสเปนได้อพยพมายังอิตาลี และเริ่มต้นทำไวน์สำหรับร้านอาหารเล็ก ๆ ของตนเอง จนกระทั่งปี 1859 โจวานนี กายา (Giovanni Gaja) ผู้ก่อตั้ง ได้วางศิลาฤกษ์ให้แก่โรงบ่มไวน์ ด้วยการซื้อที่ดินสองเฮกตาร์ 

วิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลเกินยุคสมัยปรากฏชัดตั้งแต่ยุคบุกเบิก เมื่อ กายา เป็นผู้ริเริ่มการบรรจุไวน์ลงขวดเพื่อส่งไปให้กองทัพอิตาลีในสมรภูมิอะบิสซิเนีย (ประเทศเอธิโอเปียในปัจจุบัน) ในขณะที่ผู้ผลิตรายอื่น ๆ ยังคงขายไวน์เป็นถัง (casks) และด้วยวิธีการบรรจุขวดที่โรงบ่มไวน์นี่เอง ทำให้ กายา สามารถควบคุมคุณภาพของไวน์จนถึงมือผู้บริโภคได้โดยตรง เป็นการเริ่มต้นสร้างอัตลักษณ์และชื่อเสียงให้แก่แบรนด์ "Gaja" มาตั้งแต่ครั้งนั้น

แอนเจโล กายา : จิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติไวน์อิตาลี

ต่อจากนั้น ปรัชญา "คุณภาพต้องมาก่อน" ได้ถูกสถาปนาขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเจนเนอเรชั่นต่อมา โดย แอนเจโล กายา (ปู่) และภรรยาของเขา โคลทิลเด เรย์ (Clotilde Rey) สตรีผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เธอเป็นผู้ผลักดันให้ครอบครัวเข้าซื้อไร่องุ่นบาร์บาเรสโกชั้นเลิศหลายแห่ง ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งที่อิตาลีในเวลานั้นกำลังอยู่ในสภาพบอบช้ำจากสงคราม แต่ เรย์ มองเห็น “โอกาส” ที่คนอื่นไม่เห็น เธอได้วางรากฐานการผลิตไวน์คุณภาพสูงในราคาสูง เพื่อสร้างชื่อเสียงและเจาะตลาดพรีเมียมโดยเฉพาะ พื้นที่เพาะปลูกแปลงดี ๆ ของ กายา มาจากยุคสมัยนี้โดยแท้

จากนั้น มรดกถูกส่งต่อไปยัง โจวานนี กายา (บิดา) ผู้เป็นกำลังสำคัญของโรงบ่มไวน์มาอย่างยาวนาน เขาคือผู้ผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ากับประเพณี เป็นนักการตลาดผู้เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ โดยตั้งแต่ปี 1937 เขาได้สร้างความสั่นสะเทือนวงการ ด้วยการติดชื่อ "Gaja" เป็นตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่บนฉลากไวน์ เป็นความกล้าหาญที่สะท้อนถึงดีเอ็นเอของตระกูล ต่อมาในปี 1961 เขาได้ต้อนรับลูกชายของเขา แอนเจโล กายา (คนปัจจุบัน) ให้เข้ามาร่วมธุรกิจ เพื่อสานต่อวิสัยทัศน์นั้น

แอนเจโล กายา : จิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติไวน์อิตาลี

แอนเจโล กายา จบจากศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยตูริน มีความรู้ความเข้าใจในด้านธุรกิจ การตลาด และการบริหาร ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้เขาสามารถวางกลยุทธ์และผลักดันแบรนด์ Gaja ให้เติบโตต่อไปในตลาดโลก ขณะเดียวกัน เขายังศึกษาเพิ่มเติมในสาขาวิทยาศาสตร์การผลิตไวน์ (Oenology) จากสถาบันที่มีชื่อเสียง 2 แห่ง คือสถาบันการผลิตไวน์แห่งเมืองอัลบา (Enological Institute in Alba) ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาเอง และที่ มหาวิทยาลัยมงต์เปลลิเย่ (University of Montpellier) ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นศูนย์กลางความรู้ด้านการทำไวน์ที่สำคัญของโลก

แอนเจโล เคยกล่าวถึงอิทธิพลของบิดาไว้ว่า "ความสำเร็จของผมส่วนใหญ่มาจากพ่อ เขาสอนผมให้เป็นช่างฝีมือที่ดี สอนให้รู้จักความหลงใหลในการทำงาน สอนให้คิดต่างจากคนอื่น และให้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครทำ ด้วยความมุ่งมั่นและแรงผลักดัน”

แอนเจโล กายา : จิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติไวน์อิตาลี

จากการปฏิวัติ สู่ราชาแห่งบาร์บาเรสโก

เมื่อ แอนเจโล กายา รับช่วงต่ออย่างเต็มตัว เขาได้ปลดปล่อยพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงออกมาอย่างเต็มที่ จนได้รับการขนานนามว่า "ราชาแห่งบาร์บาเรสโก" เขาเชื่อว่า "ประเพณีคือสิ่งที่ต้องเคารพ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกจองจำ" และนวัตกรรมของเขาได้ทลายโลกเก่าของการทำไวน์ในปีดมอนต์ลงอย่างเด่นชัด

เริ่มจากคุณภาพเหนือปริมาณ หัวใจหลักในปรัชญาของ แอนเจโล กายา คืการบุกเบิกเทคนิค "Green Harvest" หรือการตัดองุ่นบางส่วนทิ้งตั้งแต่ยังเขียวอยู่ เพื่อให้เถาองุ่นส่งสารอาหารทั้งหมดไปเลี้ยงดูองุ่นพวงที่เหลืออยู่ ทำให้ได้ผลผลิตที่มีความเข้มข้นและคุณภาพสูงสุด ซึ่งสวนทางกับแนวปฏิบัติเดิมที่เน้นปริมาณ 

อีกเรื่องคือการบุกเบิก Single-Vineyard ก่อนยุคของ แอนเจโล กายา ไวน์บาร์บาเรสโกส่วนใหญ่เกิดจากการผสมองุ่นจากหลาย ๆ แปลงในพื้นที่ เพื่อสร้างรสชาติที่เป็นมาตรฐานของโรงบ่มไวน์ (House Style) และเพื่อลดความเสี่ยงหากบางแปลงได้ผลผลิตไม่ดี แต่ แอนเจโล เปลี่ยนแนวคิดนี้ เขาต้องการแสดงให้โลกเห็นว่า ที่ดินแต่ละแปลงมีศักยภาพและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน จึงริเริ่มการผลิตไวน์จากแปลงเดียว (Single Vineyard หรือ Cru ในภาษาฝรั่งเศส) เพื่อสะท้อนดินฟ้าอากาศเฉพาะ หรือ "เทอร์รัวร์" (terroir) ออกมาให้ได้มากที่สุด

ผลลัพธ์จากความพยายามดังกล่าว ก่อเกิดเป็นไวน์ในตำนาน วินเทจแรก ๆ อย่าง Sorì San Lorenzo (1967), Sorì Tildin (1970) และ Costa Russi (1978) โดยการตั้งชื่อไวน์ทั้งสามนี้ สะท้อนปรัชญาของกายาได้เป็นอย่างดี "Sorì" เป็นคำในภาษาถิ่นปีดมอนต์ (Piedmontese Dialect) มีความหมายว่า "ยอดเนินที่หันหน้าไปทางทิศใต้" ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดของไร่องุ่นในการรับแสงแดดตลอดวัน ทำให้องุ่นสุกงอมสมบูรณ์แบบ การใช้คำนี้ เพื่อบ่งบอกว่าเขาได้เลือก "ทำเลทอง" ที่ดีที่สุดสำหรับไวน์ระดับท็อปของเขา

ส่วน San Lorenzo ตั้งชื่อตามนักบุญลอเรนโซ (Saint Lawrence) องค์อุปถัมภ์ของมหาวิหารแห่งเมืองอัลบา ซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่ติดกับโบสถ์ ส่วน Tildin เป็นชื่อเล่นของคุณย่า โคลทิลเด เรย์ (Clotilde Rey) สตรีผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและเป็นผู้ปลูกฝังเรื่องคุณภาพให้กับตระกูล การตั้งชื่อนี้จึงเป็นการให้เกียรติและรำลึกถึงท่าน ขณะที่ Russi มาจากชื่อสกุลเจ้าของที่ดินแปลงนี้คนก่อนหน้า

ในด้านการบ่ม เขาท้าทายขนบดั้งเดิม จากที่เคยใช้ถังไม้สลาโวเนียขนาดใหญ่ (botti) ด้วยการนำถังบาริก (barriques) ไม้โอ๊กฝรั่งเศสขนาด 225 ลิตรมาใช้ ดังที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า "บาริกไม่ใช่เครื่องมือวิเศษ แต่มันช่วยให้ผมแสดงออกถึงตัวตนขององุ่นได้ดีกว่า"

ความกล้าหาญของเขาพุ่งสู่ขีดสุดในปี 1978 เมื่อเขานำองุ่นพันธุ์กาแบร์เนต์ โซวิญยง (Cabernet Sauvignon) มาปลูกในไร่องุ่นพันธุ์เนบบิโอโล (Nebbiolo) ชั้นดี สร้างความตกตะลึงให้แก่บิดาจนอุทานออกมาว่า "ดาร์มาจี! (Darmagi!)" ซึ่งแปลว่า "น่าเสียดาย!" โดยแอนเจโลได้นำ “คำ” นี้  มาตั้งเป็นชื่อไวน์ ด้วยความเคารพและประชดประชันอยู่ในที กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณที่ไม่ยอมจำนน 

สำหรับคำว่า “ดาร์มาจี" เป็นภาษาถิ่น มีความหมายตรงตัวว่า "น่าเสียดาย!" หรือ "น่าอัปยศ!" หรือในบริบทนี้อาจแปลได้ว่า "ฉิบหายแล้ว!" เป็นคำอุทานที่แสดงความผิดหวังอย่างรุนแรง

เบื้องหลังของคำอุทานนี้ คือการตัดสินใจที่สั่นสะเทือนวงการ นั่นคือ บนแปลงเพาะปลูกที่ดีที่สุด (prime vineyard) แอนเจโล กายา ได้สั่งโค่นต้นองุ่นเนบบิโอโล ซึ่งเป็นองุ่นสายพันธุ์หลักของแคว้นปีดมอนต์ทิ้ง ทั้งที่ องุ่นสายพันธุ์นี้ใช้สำหรับทำไวน์บาร์บาเรสโก แล้วปลูก "ผู้บุกรุก" คือนำองุ่นพันธุ์ กาแบร์เนต์ โซวิญยง ซึ่งเป็นองุ่นพันธุ์คลาสสิกของแคว้นบอร์โดซ์ ประเทศฝรั่งเศส เข้ามาปลูกแทน

การกระทำนี้ในสายตาของคนรุ่นเก่า โดยเฉพาะ โจวานนี กายา (บิดาของเขา) ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้อย่างยิ่ง เปรียบได้กับการทุบทำลายเรือนไทยไม้สักอันทรงคุณค่า เพื่อสร้างตึกกระจกสมัยใหม่

ดังนั้น "ดาร์มาจี" จึงไม่ใช่แค่ชื่อไวน์ แต่เป็น อนุสรณ์ของความขัดแย้งระหว่างขนบและความก้าวหน้า และเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของวิสัยทัศน์ที่กล้าจะแตกต่างของแอนเจโล กายา ซึ่งท้ายที่สุด ไวน์ขวดนี้ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในไวน์ระดับไอคอนของอิตาลีและของโลก

เขาเคยอธิบายถึงการตัดสินใจครั้งนั้นว่า "ผมต้องการแสดงให้เห็นว่ามันเป็นไปได้ที่จะผลิตไวน์ชั้นยอดในอิตาลีจากองุ่นที่ไม่ใช่พันธุ์พื้นเมือง ผมต้องการวัดตัวเองกับไวน์ที่ดีที่สุดในโลก"

ในช่วงปี 1996-2011 เขาได้ตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้ง ด้วยการผสมองุ่นพันธุ์บาร์เบราเล็กน้อย ลงในไวน์ Single-Vineyard ของเขา ทำให้ไวน์เหล่านั้นต้องถูก “ลดชั้น” จากเกรดสูงสุด อย่าง DOCG ไปเป็น Langhe Nebbiolo DOC ในมุมมองของเขา นี่ไม่ใช่การลดระดับคุณภาพ แต่คือการประกาศอิสรภาพจากกฎเกณฑ์ที่ตายตัว หรือ “อิสรภาพเหนือข้อบังคับ” (The Declassification) ทั้งนี้ เพื่อสร้างสรรค์ไวน์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด

"ชื่อเสียงของไวน์ไม่ได้มาจากป้าย DOCG บนคอขวด แต่อยู่ในแก้วของผู้ดื่ม" แอนเจโล สำทับ 

ปรัชญาและจิตวิญญาณ - ทุกสิ่งที่อยู่นอกแก้วไวน์

ตัวตนของ แอนเจโล กายา นั้นมีความน่าสนใจไม่แพ้ไวน์ของเขา เขามีชื่อเสียงจากการปฏิเสธที่จะบรรยายรสชาติไวน์ของตัวเองในที่สาธารณะ เขาเชื่อว่าไวน์เป็นมากกว่าแค่ของเหลวในแก้ว

เขาเคยกล่าวว่า "ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่พูดถึงคุณลักษณะของไวน์ แต่ให้มองไปที่ 'ทุกสิ่งที่อยู่นอกแก้ว' นั่นคือ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความฝัน และความพยายามที่หลอมรวมอยู่ในนั้น" สำหรับเขา ไวน์คือสื่อกลางที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ตามปรัชญาที่ว่า "Il vino unisce" (ไวน์หลอมรวมผู้คน) มันควรจะถูกดื่มพร้อมกับอาหารและบทสนทนาที่ดี

แอนเจโล กายา : จิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติไวน์อิตาลี วิสัยทัศน์ของ กายา ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในบ้านเกิด เขาเชื่อว่า "ไวน์ชั้นเยี่ยมต้องการความท้าทาย และบางครั้งคุณต้องออกจากคอมฟอร์ตโซนเพื่อค้นหาสิ่งใหม่ๆ" จึงได้ขยายอาณาจักรออกไป เช่น ในพื้นที่ทัสคานี เขาแสวงหาความท้าทายใหม่ โดยเข้าซื้อไร่ Pieve Santa Restituta ในมอนตาลชิโน และก่อตั้งโรงบ่มไวน์ Ca' Marcanda ในเขตโบลเกรี เพื่อสร้างไวน์ที่แตกต่างออกไป

ในปี 2017 กายา เดินทางไปยังเกาะซิซิลี ใกล้ภูเขาไฟเอตนา เพื่อผลิตไวน์ Gaja Idda Etna Rosso จากองุ่นท้องถิ่น เป็นการพิสูจน์ว่า จิตวิญญาณแห่งการบุกเบิกยังคงดำเนินต่อไปแม้ในวัย 77 ปี

อนาคตในมือของคนรุ่นที่ห้า

ปัจจุบัน แอนเจโล ในวัย 80 กว่าปี ยังคงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญ เขาได้ส่งมอบการบริหารงานประจำวันสู่มือของทายาทรุ่นที่ห้า ประกอบด้วย ไกอา (Gaia), รอสซานา (Rossana) และ โจวานนี (Giovanni) เขากล่าวถึงการเปลี่ยนผ่านนี้ว่า "ภารกิจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม คือการเตรียมคนรุ่นต่อไป พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำเหมือนผม แต่พวกเขาต้องมีความหลงใหลในระดับเดียวกัน"

คนรุ่นใหม่เหล่านี้กำลังนำพาโรงบ่มไวน์เผชิญหน้ากับความท้าทายแห่งอนาคต โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้องุ่นสุกเร็วและมีแอลกอฮอล์สูงขึ้น พวกเขาหันมาให้ความสำคัญกับการเกษตรแบบอินทรีย์และความหลากหลายทางชีวภาพในไร่อย่างจริงจัง เพื่อรักษาสมดุลและความสง่างามของไวน์ไว้

กายา คือผู้สืบทอดเจตนารมณ์ที่เคารพในประเพณี แต่ก็พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ สานต่อเรื่องราวของตระกูลที่เชื่อมั่นเสมอมาว่า ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เกิดจากการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างรากเหง้าที่แข็งแกร่ง และวิสัยทัศน์ที่มองไปข้างหน้าเสมอ.

แอนเจโล กายา : จิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติไวน์อิตาลี

Photo Credit: winespectator.com

 

ที่มา: