ไวน์ญี่ปุ่นในยุคพรีเมียม บทเรียนจาก ‘Grace Wine’

ไวน์ญี่ปุ่นในยุคพรีเมียม บทเรียนจาก ‘Grace Wine’

จากเถาองุ่นโคชุใต้เงาฟูจิ สู่ไวน์พรีเมียมระดับโลก Grace Wine แห่งยามานาชิ ถ่ายทอดรสชาติและจิตวิญญาณดินแดนญี่ปุ่นในทุกหยด

KEY

POINTS

จังหวัดยามานาชิยามรุ่งสาง เถาองุ่นเย็นฉ่ำใต้หมอกบาง แสงแรกของดวงอาทิตย์เล็มยอดภูเขาไฟฟูจิที่ตั้งอยู่ทางใต้แล้วทอดลงหุบเขาราวคมพู่กัน หุบเขารับทั้งลมเย็นจากไหล่เขาและแดดจัดตลอดวัน จัดเป็นสมดุลธรรมชาติที่บ่มไวน์ให้ใส สง่า และแฝงรสแร่ธาตุเฉพาะตัว 

ศูนย์กลางหุบเขา เมืองคัตสึนุมะ (Katsunuma) เริ่มหมักไวน์เชิงพาณิชย์จากองุ่นสายพันธุ์โคชุ (Koshu) ครั้งแรกเมื่อปี 1879 ในสมัยเมจิปีที่ 12 นับแต่นั้นมา ‘Japan grape’ ชนิดนี้ได้กลายเป็นรากฐานของจิตวิญญาณชุมชน และปักหมุด ‘คัตสึนุมะ’ ให้เป็นหัวใจอุตสาหกรรมไวน์ญี่ปุ่นมากว่า 140 ปี

โรงไวน์ที่ขับเคลื่อนภาพลักษณ์ญี่ปุ่นสู่เวทีโลก คือ ‘Grace Wine’ ก่อตั้งในปี 1923 โดย ‘ตระกูลมิซาวะ’ (Misawa Family) ผู้ยึดหลักผลิตไวน์ “บริสุทธิ์ สง่างาม และจริงแท้” ผ่านการคัดผลองุ่นด้วยมือ และไมโครวินิฟิเคชันตามแปลงย่อย เพื่อเผยความแตกต่างของแตร์ฮัวร์ (Terroir) โดยเจตนารมณ์ของรุ่นที่สี่ ‘ชิเกคะซุ มิซาวะ’ (Shigekazu Misawa) ยังก้องในโรงหมักทุกฤดูกาล นั่นคือ “เพื่อค้นหาการทำไวน์ที่สะท้อนก้องในหัวใจ”

ยามานาชิ: ดิน ภูเขา และลมหายใจ

ยามานาชิ คือแอ่งภูเขา 80 เปอร์เซ็นต์ที่มียอดฟูจิอยู่ทางทิศใต้ จากไร่องุ่นในคัตสึนุมะ เงาของภูเขาไฟทอดยาวขึ้นฟ้าเหมือนนาฬิกาแดดกำหนดฤดูเก็บเกี่ยว ปริมาณฝนช่วงฤดูปลูกเฉลี่ยเพียง 700‑1,000 มิลลิเมตร นับว่าต่ำที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น จึงลดความเสี่ยงของเชื้อราบนเปลือกองุ่น และช่วยให้คนทำไวน์กำหนดวันเก็บเกี่ยวได้แม่นยำ กลางคืนมีลมหุบเขา ‘ซาซาโกะ โอโรชิ’ พัดลงมาจากช่องเขา ยืดเวลาสุกของผลองุ่น และล็อกกรดธรรมชาติให้ไวน์กรอบสด ดังอากาศยามเช้าที่เชิงฟูจิ 

ชั้นดินในโคชุวัลเลย์ เป็นแผ่นพับของภูเขาไฟ มีทั้งดินเหนียวปนทรายจากตะกอนแม่น้ำ และเศษหินแกรนิตเก่าแก่ แต่ละแปลงจึงพูดสำเนียงต่างกัน ดินทรายแสงแดดจัดของ ‘โทริบิระ’ (Toriibira) ให้กรดใสคม ในขณะที่ดินดอนหลากสีใน ‘ฮิชิยามะ’ (Hishiyama) รักษาบาลานซ์น้ำตาล‑กรดได้นุ่มนวล ไร่บนไหล่เขาอะเคโนะ (Akeno) สูงกว่า 400 เมตร รับแดดยาวที่สุดในประเทศ และปล่อยลมใต้จากภูเขา ยัตสึกะทะเกะ (Yatsugatake) พัดผ่าน จนผลองุ่นมี ‘ความเข้มข้นตามธรรมชาติ’ อย่างที่ ชิเกคะซุ มิซาวะ นิยามไว้

ด้วยภูมิประเทศซึ่งซ้อนทับกัน ระหว่างดินภูเขาไฟ แสงแดดรุนแรง และลมเย็นจากยอดเขา ยามานาชิ จึงได้รับการรับรองเป็นพื้นที่ GI (Geographical Indication) แห่งแรกของญี่ปุ่นในปี 2013 การรับรองนี้ เปรียบเสมือนสัญญาโดยนิตินัยและโดยจิตใจ ระหว่างคนทำไวน์กับคนดื่มว่าทุกหยดไวน์ที่ติดฉลาก ‘GI Yamanashi’ จะต้องถ่ายทอดสภาพดินฟ้าอากาศของจังหวัดอย่างตรงไปตรงมา 

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไวน์โคชุ จึงไม่ถูกมองว่าเป็นเพียง ‘ไวน์ขาวโปร่งดื่มง่าย’ อีกต่อไป หากเผยลายเซ็นแตร์ฮัวร์ให้สัมผัสได้ผ่านกลิ่นเปลือกส้ม พีชขาว และไอโอดีนที่พลิ้วอยู่ในแก้ว เหมือนเงาฟูจิที่ทอดตัวอยู่ทางทิศใต้ของหุบเขา

 

โคชุ: องุ่นสีชมพูพันธุ์ดั้งเดิม สู่วิถีไวน์สมัยใหม่

โคชุ เดินทางข้ามเส้นทางสายไหมมาถึงญี่ปุ่นพร้อมพุทธศาสนานับพันปีก่อน และถูกจารึกว่าเริ่มทำไวน์เชิงพาณิชย์ครั้งแรกที่ คัตสึนุมะในปี 1879 เมื่อห้องแล็บ UC Davis นำดีเอ็นเอขององุ่นสายพันธุ์นี้มาตรวจ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 ก็ยิ่งตอกย้ำว่า องุ่นสีชมพูเปลือกบางนี้ เป็น Vitis vinifera (สปีชีส์ขององุ่น) มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาโครงการวิจัยร่วมของสถาบันวิจัยการหมักแห่งชาติญี่ปุ่นกับมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ระบุว่า ยีน 71.5 เปอร์เซ็นต์ตรงกับสายพันธุ์ยุโรป ที่เหลือเป็นสายพันธุ์ป่าเอเชีย เป็นหลักฐานตอกย้ำความเป็น ‘ญี่ปุ่น’ ของ โคชุ เกิดจากการหยั่งรากบนแผ่นดินนี้ยาวนาน ไม่ใช่เพราะชนิดพันธุ์แปลกตา

ผลเบอร์รีโคชุเปลือกชมพูบาง จึงโปร่งแสง ให้ไวน์สีเหลืองเขียวนวล กลิ่นซิตรัสญี่ปุ่น พีชขาว ดอกคาโมมายล์ และเลมอนกราส ก่อนทิ้งหางกลิ่นไอโอดีนกับไวต์เปปเปอร์ละเอียดบนเพดาน กรดคมกริบเกิดจากลมภูเขาและปริมาณฝนต่ำ จึงจับคู่กับ ซูชิ เทมปุระ หรืออาหารทะเลเค็มน้อยได้พอดิบพอดี

โลกเริ่มหันมาฟังเสียงของโคชุจริงจัง เมื่อชื่อสายพันธุ์นี้ถูกบรรจุในบัญชีองุ่น OIV ปี 2010 และองค์กร Koshu of Japan เปิดเวทีโปรโมตใจกลางลอนดอนในปีเดียวกัน ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ‘แจนซิส โรบินสัน’ (Jancis Robinson MW) เขียนถึง Grace Koshu 1999 ว่า “ไวน์ญี่ปุ่นที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยชิม ล้วนทำจากโคชุ… เป็นไวน์ขาวที่มั่นใจ กลิ่นควันงดงาม ชวนให้นึกถึงสไตล์อัลซาซ” ประโยคสั้น ๆ ที่สามารถดึงสายตานักดื่มยุโรป ให้พุ่งตรงมายังแหล่งผลิตอย่าง ‘ยามานาชิ’ ได้ในทันที

ถึงวันนี้ โคชุ ไม่ใช่เรื่องเล่าพื้นบ้านอีกต่อไป แต่เป็นสื่อกลางใหม่ของไวน์เอเชีย ที่ “พูดภาษาดิน” ของตัวเองได้อย่างใส สง่า และตรงไปตรงมา

ตระกูลมิซาวะ: หนึ่งศตวรรษแห่งความเพียร

ปี 1923 เมื่อ ‘โชทาโร มิซาวะ’ (Shotaro Misawa) ผู้ก่อตั้ง Grace Wine ตั้งเป้าหมายว่าจะทำไวน์ เขาเริ่มด้วยอุปกรณ์พื้นฐานและองุ่นโคชุจากเพื่อนชาวไร่บนไหล่เขา ผลิตไวน์เพียงไม่กี่ร้อยขวด แต่จุดประกายเส้นทางให้ครอบครัวเดินตามอย่างต่อเนื่องมานานร่วมศตวรรษ

ในทศวรรษ 1950-1970s บุตรหลานรุ่นสองและสามต่างขยายไร่องุ่นขึ้นเนิน เพื่อหนีดินชุ่มน้ำในที่ราบ ทำให้ได้ผลเบอร์รีสุกเข้มข้นขึ้น ต้นแบบของแนวคิด “ปลูกบนเขา เก็บกรดด้วยลม” ซึ่งโรงไวน์อื่นนำไปใช้ภายหลัง พวกเขายังเลิกใช้กำมะถันพ่นต้นองุ่นอย่างเข้มข้นตามวิถีสมัยนั้น แต่หันมาเน้นการตัดแต่งทรงพุ่ม เพื่อระบายอากาศ ลดความจำเป็นของสารเคมีลง 

ก้าวสำคัญเกิดขึ้นในปี 1992 เมื่อครอบครัวทดลองระบบ Vertical Shoot Positioning แทนที่ระบบเพอร์โกลา (pergola ระบบฝึกกิ่งแบบพาดบนคาน) บนไร่อะเคโนะ สูงกว่า 400 เมตร ผลผลิตต่อไร่ลดลงร้อยละ 40 แต่ความเข้มรสและความสมดุลน้ำตาล‑กรดดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 8 ปีต่อมาโรงไวน์เริ่ม ‘ไมโครวินิฟิเคชัน’ หมักองุ่นจากแต่ละแปลงแยกถัง เพื่อดึงเอกลักษณ์ดินภูเขาไฟ ดินทราย หรือหินแกรนิตออกมาอย่างแม่นยำ 

วิสัยทัศน์เหล่านี้ถูกสืบทอดสู่รุ่นที่ 5 ‘อายานะ มิซาวะ’ (Ayana Misawa) ซึ่งกลับจากการฝึกงานในอาร์เจนตินา ชิลี บอร์กโดซ์ และสเตลเลนบอช แล้วรับหน้าที่เป็นไวน์เมกเกอร์เต็มตัว ในปี 2008 เธอเดินตามรอยปรัชญาของครอบครัว ตอกย้ำความชัดเจนด้วยการคัดผลเบอร์รีด้วยมือทั้งหมด ฆ่าเชื้อกรรไกรทุกครั้งหลังตัดหนึ่งช่อ และบ่มไวน์บนตะกอนยีสต์ยาวนาน เพื่อให้เนื้อสัมผัสละเมียดละไม โดยไม่พึ่งโอ๊กใหม่ให้มากเกิน

ความเพียรของเธอได้รับการรับรองบนเวทีโลก เมื่อ Cuvée Misawa Akeno Koshu 2013 คว้าเหรียญทอง และ Regional Trophy ใน Decanter World Wine Awards ปี 2014 นับแต่นั้น Grace Koshu คว้าเหรียญทองต่อเนื่อง 6 ปี และ ‘Grace Extra Brut 2014’ ได้รางวัล Platinum & Best Asian Wine ในปี 2016

เมื่อย้อนมองในช่วงหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เส้นทางมิซาวะ คือเรื่องเล่าของการรับฟังดิน ลม และผลเบอร์รีอย่างอดทน แล้วตอบกลับด้วยผลลัพธ์เป็นไวน์ที่ใส สง่า และจริงแท้ สมชื่อปรัชญา “pure, elegant, authentic” ที่ บรรพชน โชทาโร เขียนไว้บนผนังห้องหมัก ตั้งแต่ปี 1923 ปรัชญานี้สะท้อนอยู่ในทุกแก้วที่นักดื่มทั้งโลกยกขึ้นจิบ เพื่อฟังเสียงหัวใจของหุบเขาโคชุ ที่กำลังเต้นเบา ๆ ไม่ต่างจากวันแรกที่โรงไวน์เปิดประตู

เส้นเสียงในแก้ว: ไทม์ไลน์รสชาติจากไวน์แปดขวด

แสงไฟห้องชิมหรี่ลงจนเหลือเพียงประกายแก้วคริสตัล แต่ละขวดค่อย ๆ เผยสำเนียงของตนเองออกมาราวกับวงออร์เคสตรา เริ่มจากเครื่องดนตรีเดี่ยว ก่อนจะเป็นการบรรเลงแบบเต็มวง ไล่โทนจากความโปร่งเบาสู่ความลุ่มลึกตามจังหวะของดินและปีวินเทจ

ขวดแรก Grace Koshu Yamanashi 2022 น้ำสีเลมอนเขียววับตามวัย มีกลิ่นซิตรัส ยูซุ และดอกคาโมมายล์พุ่งเบาๆ ก่อนกรดใสจะกระทบปลายลิ้น เหมือนลมซาซาโกะโอโรชิยามเช้า ขวดนี้เก็บเกี่ยวระหว่าเดือนกันยายน–ตุลาคม 2022 ดินเหนียวปนทรายช่วยเก็บความสด ด้วย ABV คงที่ 12 % 

ถัดมา Grace Koshu Toriibira Vineyard Private Reserve 2023 เหมือนวงดนตรีขยับเสียงกลางขึ้นหนึ่งคีย์ แปลงเนินทรายที่รับแดดยาว ให้กลิ่นส้มเซวิลล์ พีชขาว และเปลือกเลมอนฉาบไวต์เปปเปอร์เด่นชัดกว่าโคชุพื้นราบ ความเค็มของแร่ดินตะกอนทิ้งปลายรสยาว เหมือนเส้นพู่กันลากบนกระดาษสา 

ขวดที่สาม Grace Koshu Misawa Vineyard Akeno 2022 คือบทเพลงเช้าแห่งย่านอะเคโนะ ยกแก้วขึ้นมา กลิ่นเลมอนยูสุ ซิตรัสขาวทักทายทันที ตามมาด้วยกลิ่นหินกลิ่นแร่แผ่ว ๆ มีโน้ตพริกไทยขาวบางเบา ในพาเลท มีลูกแพร์ แอปเปิล ปิดท้ายด้วยสัมผัสเค็มนิด ๆ จากดินแกรนิตและรสอัลมอนด์

ตามด้วย Grace Cuvée Misawa Blanc 2022 ผลิตจากองุ่นชาดอนเนย์ บนแปลงปลูกที่สูง 700 เมตรจากระดับน้ำทะเล ให้โทนสีทองอ่อน หมักและบ่มทั้งล็อตในถังโอ๊กฝรั่งเศสเก่า 11 เดือน กลิ่นพีชขาวและลูกแพร์จึงละมุนกลมกลืนกับโทนวานิลลาอ่อน ๆ จากไม้โดยไม่กลบโครงสร้างกรดใส

Yamanashi de Grace 2022 เป็นไวน์แดง กลิ่นเชอร์รีสด พลัมแดง และดอกกุหลาบตากแห้ง ตีคู่กับแทนนินเม็ดละเอียด น้ำหนักกลาง ดื่มสบาย

ขณะที่ Akeno 2022 นำเสนอในลักษณะ ‘บอร์กโดซ์เบลนด์’ กาแบร์เนต์ โซวินญองนำ ด้วยกลิ่นแบล็กเคอร์แรนต์ ดินสอกราไฟต์ และใบยาสูบอ่อน โครงสร้างแน่นแต่ไม่แข็ง แทนนินเคลือบลิ้นละเอียดเหมือนกำมะหยี่ 

Grace Cuvée Misawa Rouge 2017 ไวน์บ่มนานขวดนี้ เปิดพิมพ์เขียวของไวน์ธงรุ่นนี้ออกมาครบ ทั้งกลิ่นหนังอาน มอคคา และลูกเกดดำร้อยเข้ากับโน้ตใบไทม์แห้ง แทนนินละลายจนเนียนไปกับโครงสร้าง ปลายรสมีแววสนิมเหล็กและดินปนฝุ่นแตร์ฮัวร์ 

ปิดท้ายด้วย Shugoro ฟอร์ติไฟด์ไวน์สีทับทิมเข้มปนทองแดง กลิ่นฟิกแห้ง มอลต์ และวอลนัตอบ รสหวานพอประมาณ ฟินิชทอฟฟี่เค็มยาวนานเหมาะปิดมื้อค่ำ

Premiumization & Beyond: ตลาดไวน์ญี่ปุ่นในจังหวะใหม่

ทศวรรษที่ผ่านมา ชั้นวางเครื่องดื่มในโตเกียวขยับจากไวน์ขวดละไม่ถึงพันเยน ไปสู่ฉลากที่แตะหนึ่ง-สองพันเยนอย่างเป็นเรื่องปกติ ยอดขายไวน์ ‘อัลตร้าพรีเมียม’ ระดับราคาเกินห้าพันเยน เติบโตเฉลี่ยปีละ 11 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ปี 2019

กระแสราคาขยับจูงมือเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ กลายเป็นทางหลวงสายใหม่ของไวน์ โดย Rakuten รายงานว่า ยอดสั่งซื้อไวน์พรีเมียมออนไลน์ เพิ่มขึ้น 38 เปอร์เซ็นต์ในปี 2024 (Rakuten Group Press Release 2025) ลูกค้าใช้สมาร์ตโฟนสแกนคิวอาร์โค้ดบนฉลากเพื่อดูวิดีโอไร่มิซาวะที่ไหล่เขาอะเคโนะ ก่อนกดสั่งแล้วเลือกบริการฝากเก็บในคลังควบคุมอุณหภูมิของ Terrada Wine ราวกับการจัดพอร์ตลงทุน

ขณะเดียวกัน คนรุ่นมิลเลนเนียลลดปริมาณแอลกอฮอล์ แต่ไม่ลดแรงปรารถนาพิธีกรรมสังสรรค์ ‘One Wine’ ไวน์กระป๋อง 250 มิลลิลิตรของซันโทรี จึงติดอันดับสินค้าขายดีในคอนบินิทั่วประเทศ คลื่น sober‑curious ทำให้ตลาดแยกเป็นสองขั้ว ขวดหรูเก็บยาว และกระป๋องพร้อมดื่ม แต่ทั้งสองขั้วต่างผลักวงการไวน์ญี่ปุ่นให้กว้างขึ้นพร้อมกันอย่างแปลกประหลาด

เส้นขอบแดนไม่ได้หยุดที่ท่าเรือโยโกฮามะอีกต่อไป เมื่อองค์กร Koshu of Japan เปิดตัวในลอนดอน ปี 2010 พร้อมคติ “ความบริสุทธิ์โปร่งใสในทุกแก้ว” ยอดส่งออกไวน์ญี่ปุ่นพุ่งจาก 3 ประเทศ เป็นกว่า 20 ประเทศ ภายใน 2024 โดยมี Grace Wine เป็นหัวหอก เริ่มวางขายในสหราชอาณาจักร 2009 ก่อนขยายสู่เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และล่าสุดคือไทยผ่าน BE:SPOKE Fine Wine 

มิติสีเขียวก็ขานรับ เทรนด์ SDGs ปลุกความสนใจไวน์ออร์แกนิกและแนชเชอรัลขึ้น 17 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 5 ปี Grace Wine ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เลี้ยงพลังงานการหมัก และเผยแพร่คู่มือ VSP ให้เกษตรกรรอบข้าง ตามถ้อยคำของ อายานะ มิซาวะ  ที่บอกว่า “เราไม่อาจสร้างสรรค์ไวน์ชั้นดีได้เพียงลำพัง เราต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในไร่องุ่นและในตลาด” 

ราคาขายเฉลี่ยต่อลิตรสูงขึ้น แต่ปริมาณผลิตไม่จำเป็นต้องเพิ่ม วงจร “ทำน้อยแต่ดีกว่า” ช่วยให้โรงไวน์เก็บทุนกลับมาวิจัยยีสต์พื้นถิ่น ใช้โดรนตรวจใบเถา และทดลองหมักแบบไมโครวินิฟิเคชันลึกถึงระดับแถวเถา ทั้งหมดสะท้อนแนวคิดญี่ปุ่นว่า งานฝีมือดี ไม่ควรเร่งรีบ หากค่อย ๆ หล่อหลอมจนไม่เลือนหายแม้ผ่านไปห้าสิบหรือร้อยปี 

บนเวทีโลก เสียงของไวน์ญี่ปุ่นเด่นชัดขึ้นทุกปี เพราะพูดภาษาของตัวเองได้ชัดเจนกว่าเดิม และเมื่อผู้ดื่มพร้อมจ่ายเพื่อ “ความจริงของผืนดิน” การเดินทางจากหุบเขาโคชุสู่โต๊ะอาหารในนิวยอร์ก ปารีส หรือกรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกตาอีกต่อไป เป็นจังหวะเต้นของยุคพรีเมียมไมเซชั่นที่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

จากก้อนกรวดฟูจิสู่คริสตัลในแก้ว

‘ยามานาชิ-โคชุ-มิซาวะ’ คือสามประสานที่ผลัก ‘ไวน์ญี่ปุ่น’ ให้หลุดพ้นหมวดคำว่า exotic สู่สถานะศิลปะการหมักระดับสากลอย่างสมบูรณ์

ดินภูเขาไฟที่แห้งแล้งกว่าที่ใครคาดคิด ถักทอร่างองุ่นสีชมพูให้โปร่งใสและเปี่ยมแร่ธาตุ ลมซาซาโกะโอโรชิร้อยกรดคมกริบไว้ในผลองุ่น ผู้คนในตระกูลมิซาวะส่งไม้ต่อความหลงใหลข้ามศตวรรษ แล้วหลอมรวมภูมิปัญญาโลกเข้ากับวัฒนธรรมการสังเกตอันละเอียดแบบญี่ปุ่น ทุกองค์ประกอบผสานกันจนเกิด ‘ภาษาของสถานที่’ ที่ชัดเจนเหลือเกิน ภาษาที่ทำให้ชิมเพียงหนึ่งคำก็รู้ว่าอยู่ใต้เงาฟูจิ

เหนือสิ่งอื่นใด คลื่น premiumization กำลังเปลี่ยนไวน์จากสินค้าริมชั้นซูเปอร์มาร์เก็ต สู่คุณสมบัติด้านรสชาติที่ผู้ดื่มพร้อมจ่ายแพงเพื่อความจริงใจของผู้ผลิต และในขณะที่ตลาดออนไลน์ย่นระยะทางระหว่างไร่กับแก้ว กระบวนการเล่าเรื่องอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ยังทำให้ไวน์แต่ละหยดสะท้อนคุณค่ามากกว่าแค่รสชาติบนลิ้น

ลองหลับตานึกถึงก้อนกรวดสีเทาดำ ณ ที่ลาดเชิงเขา เม็ดหินไร้ค่าที่ถูกไฟใต้พิภพขัดเกลาเป็นเวลานับแสนปี กลายมาเป็นแหล่งกำเนิดไวน์จากยามานาชิ ด้วยคุณลักษณะของไวน์ที่มีสภาพเป็นคริสตัลใส ซึ่งกักเก็บทั้งดิน ลม แสงอาทิตย์ และฝีมือของคนทำไวน์ไว้ครบถ้วน ภายใต้การนำของ Grace Wine ไวน์ญี่ปุ่นกำลังสร้างสีสันความเคลื่อนไหวให้แก่วงการไวน์ระดับโลก พร้อมกับเขียนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ที่ชวนให้ติดตามอย่างยิ่งในวันนี้

 

เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์

ภาพ: เว็บไซต์ www.grace-wine.com

 

ที่มา:

Ayana Misawa. “Interview.” The Buyer, 15 Mar. 2021.

Grace Wine. Trade Brochure. Yamanashi: Chuo Budoshu Co., 2024. 

Grace Wine. Winemaking Note on Koshu 2022.