มองความสัมพันธ์ ‘One-night Stand’ ผ่านหญิงสาวที่ยอม ‘ตกนรก’ หากได้เสพย์สุขก่อนตาย

มองความสัมพันธ์ ‘One-night Stand’ ผ่านหญิงสาวที่ยอม ‘ตกนรก’ หากได้เสพย์สุขก่อนตาย

คุยกับหญิงสาวผู้เอาใจลงไปเล่นในรูปแบบความสัมพันธ์ One-night Stand ความโรแมนติกที่ไม่ต้องอาศัยความรัก มีเพียงเรื่องเซ็กส์เป็นตัวขับเคลื่อน

  • One-night Stand คือรูปแบบความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างตกลงที่จะร่วมรัก และจบลงในชั่วข้ามคืนโดยไม่มีการสานต่อในภายหลัง
  • ในความคิดเห็นของหญิงสาวที่มาเปิดเผยถึงความสัมพันธ์ One-night Stand เธอเชื่อว่าหากการเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้สร้างความเดือดร้อนรำคาญใจให้แก่คนอื่น เธอก็ขอเลือกที่จะทำตามความต้องการของหัวใจ แม้จะต้องตกนรกก็ยอม

ความสัมพันธ์ทางกายที่ไม่ได้เริ่มต้นจากความรักอย่าง One-night Stand คงเป็นอีกหนึ่งรูปแบบความสัมพันธ์ที่เราเห็นกันบ่อยมากขึ้นในสังคมไทย อาจเป็นเพราะโลกอินเทอร์เน็ตเปิดกว้างมากเสียจน ทำให้หลายคน ‘กล้า’ แชร์ประสบการณ์ ‘ความใคร่ในชั่วข้ามคืน’ กันได้ง่าย ความสัมพันธ์ลักษณะนี้จึงกลายเป็นเรื่อง(เกือบ)ปกติไปโดยปริยาย

ถึงแม้จะขัดต่อกรอบศีลธรรมอันดี ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ปลูกฝังกันเอาไว้ แต่ต้องยอมรับว่าการเลือกเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อย ๆ หากไม่สร้างความเดือดร้อนหรือนำโรคไปติดต่อใคร จะเรียกว่าการกระทำลักษณะนี้ว่าผิดบาป... เราจะสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจนัก

เพราะแต่ละคนย่อมมีวิจารณญาณเป็นของตัวเอง การนำกรอบความดีงามของตัวเองไปตัดสินการกระทำคนอื่น ในสังคมประชาธิปไตย เกรงว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิของเขาเหล่านั้นจนเกินไป

เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์แสนฉาบฉวยนี้ให้ชัดขึ้น The People ติดต่อไปพูดคุยกับหนึ่งในบุคคลที่ยังคงสนุกกับการจมดิ่งอยู่ในโลกที่ ‘เซ็กส์’ กับ ‘ความรัก’ ไม่ใช่ของที่มาควบคู่กัน หากแต่เป็น ‘ความใคร่’ ต่างหากที่เข้ามาปลุกสัญชาติญาณดิบของเธอให้เลือกทำตามหัวใจมากกว่าหลักความดีงาม มองความสัมพันธ์ ‘One-night Stand’ ผ่านหญิงสาวที่ยอม ‘ตกนรก’ หากได้เสพย์สุขก่อนตาย

เด็กสาวผู้ยึดมั่นในศาสนา

“จริง ๆ แล้วเราเป็นคนศรัทธาในศาสนาพุทธ มีเซ็กส์แล้วก็สวดมนต์เป็นเรื่องปกติ ถามว่าเราเป็นชาวพุทธขนาดไหน เราทั้งศึกษาธรรมะ เข้าอบรมฟังธรรม นั่งสมาธิอยู่ในวัดเป็นเดือน ๆ บวชก็เคย ช่วงปิดเทอมเราอยู่ในวัดตลอด คุยกับหลวงพ่อเป็นเรื่องปกติ”

หากฟังจากคำตอบของเธอ คงไม่ต้องบอกว่าเธอเองก็ยึดมั่นในศาสนาและปฏิบัติตัวเป็นพุทธศาสนนิกชนที่ดีพอสมควร แต่เด็กสาวตรงหน้าเราก็ยังเลือกที่จะกระโดดเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์ ที่ผู้ใหญ่ได้ยินเข้าคงมีคนถึงขั้นหน้ามืดกันบ้างแหละ

ซึ่งการที่เธอเลือกความสัมพันธ์แบบนี้ เธอเล่าว่าเริ่มขึ้นโดยความไม่ได้ตั้งใจ จากงานเลี้ยงเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จากวันนั้นจนวันนี้ เธอก็เปลี่ยนคู่นอนมาเรื่อย ๆ ไม่ต่ำกว่า 5 ปี

“เรามองว่าความชอบไม่ได้เหมือนความรัก เราชอบเขา แต่ไม่ได้แปลว่าเราอยากได้เขาเป็นแฟน ดังนั้นครั้งแรกของเราที่เริ่มความสัมพันธ์แบบนี้เลยเกิดขึ้นจากความชอบก่อน หลังจากนั้นเราก็ได้รู้ว่าเราควรวางเขาไว้ในสถานะไหน เรายินดีในคืนนั้นแล้วก็ให้มันจบไป เราโอเคกับมัน ไม่ได้ต้องการให้เขามารับผิดชอบอะไร

“เยื่อพรหมจรรย์ที่เขาพูดกัน เราก็เพิ่งเสียไปเลยในคืนนั้น เสียไปแบบงง ๆ พอมันเกิดขึ้นกับเรา มันก็แค่นั้น ไม่ได้รู้สึกเสียใจ ไม่ได้รู้สึกผิด ถึงแม้ว่าเขาบอกว่าจะเลิกกับแฟนแล้วจะมาขอเราเป็นแฟน เราก็ เฮ้ย! ต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ เราไม่ได้ต้องการ”

มองความสัมพันธ์ ‘One-night Stand’ ผ่านหญิงสาวที่ยอม ‘ตกนรก’ หากได้เสพย์สุขก่อนตาย นอกจากจะไม่ได้รู้สึกผิดหรือเสียใจกับการร่วมรักครั้งแรกแล้ว ในใจเธอยังนึกสงสัยตลอดเวลาว่า สิ่งที่เธอทำมันผิดบาปไหม เพราะเธอเองก็ไม่อยากตกนรกเหมือนกัน

“ผิดบาปไหม คือ ทุกอย่างมันมีราคาที่ต้องจ่าย เราพร้อมจะจ่ายหรือเปล่าล่ะ ไม่มีใครอยากตกนรกหรอก แต่ถ้าชอบคนหล่อแล้วเราตกนรก เราก็ยอมตก คนเราถ้ามันอยากมันยอมแลกอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าไม่รู้ Point แล้วมาบอกเรา เราไม่โอเค ต่อให้คุณมาชี้หน้ามาสั่งเรา ถ้าเราอยากทำ เราทำ ถ้าเราไม่อยากทำ เราก็ไม่ทำอยู่แล้ว

“จริง ๆ ศีล 5 มันคือการเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลกให้น้อยที่สุด เพื่อที่เราจะสามารถแสวงหานิพพานได้ในชาติภพนี้ แล้วเรากำลังทำอะไรกันอยู่ เรากำลังเอาศีล 5 มาจิ้ม มาบอกให้ทุกคนทำตาม บอกให้เราหยุดมีเซ็กส์ หยุดเปลี่ยนคู่นอน แล้วเราถามว่าทำไมต้องหยุด ถ้าเขาตอบมาแค่ เพราะผิดศีล 5 เป็นบาป ตกนรก ถ้าได้คำตอบแค่นั้นเราขอไปอ่านหนังสือพระพุทธศาสนาของตัวเองต่อดีกว่า ได้ประโยชน์กว่าฟังจากใครก็ไม่รู้ที่ยังไม่เข้าใจศีล 5 ดีพอด้วยซ้ำ

“ร่างกายนี้เป็นของเราจนกว่าจะหมดลมหายใจ จิตใจนี้ก็เป็นของเราจนกว่ามันจะไม่รู้ตัวเองแล้ว เราไม่คิดว่ามันจะมีใครมาบังคับเราได้ นอกจากตัวเราเอง”

เตรียมใจให้พร้อมก่อนลงเล่นในสนามจริง

กฎที่สำคัญที่สุดในการเริ่มความสัมพันธ์ One-night Stand คือ อย่าเอาใจลงไปเล่น เสร็จกิจแล้วแยกย้าย และห้ามถามไถ่เรื่องส่วนตัวของกันและกัน

“ข้อตกลงอย่างแรกของเราส่วนใหญ่จะเป็นเงื่อนไขเกี่ยวกับเรื่องบนเตียง เราจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวกัน เรื่องส่วนตัวคือเราไม่จำเป็นต้องพูดออกมา แต่ว่าเราทั้งคู่จะรู้สึกว่าเรารู้กันอยู่แล้วว่าเราจะไม่ถาม เพราะว่าเมื่อไหร่ที่ถามมันจะมีคำว่า ‘ฉิบหาย’ ขึ้นมา”

เธอเล่าพร้อมหัวเราะ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าการเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังขณะร่วมรัก จะสร้างความเสียหายสเกลใหญ่ระดับไหน เพราะสุดท้ายแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้าย ไม่ได้สานต่อความสัมพันธ์กันอยู่ดี เพราะไม่อย่างนั้นรูปแบบความโรแมนติกครั้งนี้ คงต้องเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่เป็นอีกซับเซ็ตหนึ่ง

อีกเรื่องที่เธอให้ความสำคัญเป็นอันดับต่อมาคือ ‘การเช็กของ’ และ ‘รสนิยมทางเพศ’ ก่อนจะทิ้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เปิดห้องกระโจนเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยความต้องการทางเพศที่ทั้งรุนแรงและเร่าร้อน

“ส่วนใหญ่จะเป็นเราเปิดถามเขาก่อนว่าไซซ์เท่าไหร่ ไม่ได้จะสร้างความไม่มั่นใจให้เขา คือจริง ๆ เราชอบไซซ์เล็ก ถ้าเป็นไซซ์ใหญ่เราจะแบบว่า เราอาจจะแค่แบบขอเช็กก่อน แบบออรัลให้อะไรอย่างนี้ แล้วค่อยคุยกัน แต่ถ้าเล็ก ๆ ก็จัดมา เพราะว่าของเรามันไม่ได้สามารถรองรับได้ขนาดนั้น พอคุยกันเรื่องนี้ แล้วเราพูดด้วยคำพูดแบบประมาณนี้ ซึ่งมันออกมาจากใจเราจริง ๆ เขาก็จะเริ่มเปิดใจ คือมันเป็นไซซ์ชายไทยที่เขาคิดว่าเล็ก แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ มันก็ดี เออมันก็น่ารักดี

“คือเราเป็นแค่คน ๆ นึงที่แบบมาเอากันคืนนี้ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงจะอาจจะไม่ได้เจอกัน เพราะงั้นพูดอะไรก็พูด ๆ มาเถอะ มันก็เลยเปิดใจง่ายกว่า เขาก็พูด เราก็พูด เราก็รู้กันทั้งคู่ว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไรก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น บางคนมันก็จะมีความรู้สึกโรแมนติกขึ้นมาในใจในการที่แบบเราหรือเขาพูดอะไรสักอย่าง แล้วมันดันไปโดนใจขึ้นมา ก็เริ่มจูบกันเริ่มนัวเนียไปถึงเรื่องของเซ็กส์

“อย่างเราจะชอบการสอดใส่ แต่ว่าบางคนอาจจะชอบแค่ให้เราแบบอมให้ ออรัล หรือแบบใช้มือ คือเราไม่ได้สามารถเสร็จเองได้ด้วยการแบบชักให้เขา แต่ก็คือเขาอยากได้แบบนี้ เราก็จัดให้ แต่แบบครั้งเดียวจบ พอ ไม่ต้องคุยกัน ก็แค่นั้น มันไม่ได้มีอะไรที่จะต้องสานต่อ”

มองความสัมพันธ์ ‘One-night Stand’ ผ่านหญิงสาวที่ยอม ‘ตกนรก’ หากได้เสพย์สุขก่อนตาย

นิยามรักของหญิงสาวที่ยอมพลีกาย เพื่อลิ้มรสความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน

“ความรักของเรามันคือความโรแมนติกค่ะ (หัวเราะ) ดูหวานมากเนอะ ความโรแมนติกมองให้ลึกเข้าไปมันมีอะไร มันมีความหวัง มันมีความฝัน แต่สิ่งที่มันต้องแลก มาเรื่องนี้อีกแล้ว สิ่งที่มันต้องแลกก็คือความกลัว ความกังวล เหมือนคลื่นหัวใจขึ้นลง ๆ มีความสุข มีความทุกข์ รัก คาดหวัง แล้วก็มาวิตกกังวลมันเป็นอย่างนี้ นั่นแหละความรัก แต่ทุกคนก็จะเรียกมันว่าโรแมนติก แต่มองให้ลึกเข้าไป ถ้าอยากแลกก็แลก

“เคยมีคนนึงที่เราก็ระริกระรี้ เพราะว่าเราชอบเขามาก แต่ก็อย่างที่บอกว่าเราเป็นคนสายโรแมนติก เราก็ไม่ได้อยากจะมีอะไรกันกับเขาหรอก ไอ้ความชอบจังเลย เราแค่แบบไปนั่งดูดาวด้วยกันก็ได้ ไปนั่งกินอะไรด้วยกันก็ได้ ฟินแย่แล้ว แต่ว่าเขาอยากมีไง เขาแค่อยากเป็น Second-night stand อะไรอย่างนี้ เราก็โอเคจัดให้ เขามีความสุข เรามีความสุข

“ขึ้นอยู่กับจังหวะตกหลุมรักของแต่ละคน เรามีจังหวะตกหลุมรักที่เรารู้ตัวอยู่แล้วว่าจังหวะนี้แหละ ถ้าใครวิ่งมาตรงนี้ปุ๊บเราตกหลุมเลย เหมือนเขามาขุดเราฝังดิน จังหวะนั้นก็คือชอบเพลงเดียวกัน ตกหลุมรักที่ 1 แล้ว หลุมที่ 2 ก็คือเราคลิกอะไรกันกับเขาแบบทัศนคติอะไรบางอย่าง ถ้าทัศนคติตรงกันแล้วดันพูดพร้อมกันอีก โอโห้ มันหวานมากเลย”

ถึงแม้ความรักในมุมมองของเธอจะหวานหยด แต่เธอก็ยังคงหลงใหลใน ‘ความโรแมนติกชั่วข้ามคืน’ อยู่ดี และยังคงเดินหน้าออกตามหาความสัมพันธ์ในแบบของเธอต่อไปเรื่อย ๆ เพราะนี่คือร่างกายของเธอ เธอพร้อมที่จะเสี่ยง และพร้อมที่จะแลกกับทุกความรู้สึก

โดยเธอบอกกับเราอีกว่า การตกลงพลีกายทุกครั้งมีสิ่งที่ต้องแลก ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเลยทีเดียว หากเลือกเดินมาทางนี้ก็อย่าลืมไปหาหมอบ่อย ๆ ตรวจโรคเป็นประจำ เพราะหากเจออะไรที่ผิดปกติจะได้หยุดแล้วหันมารักตัวเอง

“มีสติ คิดให้เยอะ คำที่ต้องท่องไว้ในใจเลย คือทุกอย่างมันมีราคาที่ต้องจ่าย ไอ้ตอนมีความสุขไม่เท่าไหร่ แต่ตอนเราทุกข์ขึ้นมา แย่ ทุกเรื่องแหละ”