สัมภาษณ์ ‘จุนจิ อิโต้’ กับการเขียนเรื่องสั้นที่หลอกหลอนเขามากที่สุด

สัมภาษณ์ ‘จุนจิ อิโต้’ กับการเขียนเรื่องสั้นที่หลอกหลอนเขามากที่สุด

บทสัมภาษณ์ ‘จุนจิ อิโต้’ (Junji Ito) ปรมาจารย์แห่งความสยองขวัญร่วมสมัยอันน่าหลงใหลบนลายเส้นสีขาวดำกับการเขียนเรื่องสั้นที่หลอกหลอนเขามากที่สุดบนเส้นทางการทำงาน

เมื่อพูดถึง ‘ความสยองที่น่าหลงใหล’ ในโลกมังงะร่วมสมัย ชื่อของ ‘จุนจิ อิโต้’ (Junji Ito) มักถูกเอ่ยเป็นลำดับแรก ๆ เสน่ห์ของงานอิโต้ไม่ได้อยู่ที่ความกลัวแบบรวดเร็วปุบปับ แต่อยู่ที่บรรยากาศที่ค่อย ๆ คลี่ตัว และโดยเฉพาะกับลายเส้นอันสยองขวัญของร่างกายที่บิดเบี้ยวเกินจินตนาการที่จะติดตาผู้คนที่เปิดไปเห็นอย่างยากจะปฏิเสธ 

จากอิทธิพลของความสยองที่ค่อย ๆ ซึมเข้ามาและลายเส้น Body Horror ที่ก้าวข้ามพรมแดนภาษา ผู้คนย่อมอยากรู้ว่าเบื้องหลังวิธีทำงานของเขามีหน้าตาเป็นแบบไหน เขามองความกลัวแบบไหน และทำไมจึงยอมปล่อยให้ปริศนาค้างอยู่เพื่อให้จินตนาการของผู้อ่านทำงานต่อ โดยไม่นานมานี้ The People ได้มีโอกาสฟังไปคำตอบจากเจ้าตัวเองโดยตรง

การสนทนาครั้งนี้เกิดขึ้นในวาระนิทรรศการ ‘Junji Ito: Collection Horror House 2025’ ที่กลับมาจัดแสดงในไทย ณ MBK Center ชั้น 4 โซน A ระหว่าง 10 ตุลาคม 2568 ถึง 5 มกราคม 2569 นิทรรศการผสานแกลเลอรีภาพวาดกับบ้านผีสองเส้นทางให้เลือกสัมผัส ได้แก่ Route A : Farewell City และ Route B : Horror Town โดยในวันเปิดงาน 10 ตุลาคม 2568 ผู้จัดเชิญสื่อหลายสำนักไปร่วมถามคำถามกับจุนจิ อิโต้ โดยการส่งคำถามผ่านล่าม จึงได้กลายเป็นที่มาของบทสัมภาษณ์ชุดนี้

ในวงคุยได้มีการชวนอิโต้เล่าวิธีการสร้างสรรค์ความกลัวในแบบของเขา ประสบการณ์การทำงานครั้งต่าง ๆ พร้อมทั้งคำถามอีกมากมายที่จะไม่เพียงสะท้อนวิธีการทำงานของปรมจารย์แห่งความสยองขวัญในยุคปัจจุบัน แต่ยังขุดลึกลงไปในความรู้สึกของเขาที่มีต่อผลงานที่เขาได้สร้างสรรค์ขึ้นมา

คุณรู้สึกอย่างไรกับ ‘ผี’ หรือ ‘สิ่งลี้ลับ’ ในประเทศไทยอย่างไรบ้าง?

ผมเคยได้ยินเรื่อง ‘ผีกระสือ’ ครับ เป็นผีที่มีแต่หัว แล้วก็มีไส้ห้อย ออกมาหากินตอนกลางคืน ผมเลยรู้สึกคุ้น ๆ เพราะนึกถึงผีคอยาวของญี่ปุ่นที่ชื่อว่า ‘โรกูโรกูบิ’ ที่เป็นหญิงสาวที่สามารถยืดคอได้ เพียงแต่ผีกระสือนี่สามารถถอดหัวออกมาได้ด้วย เลยรู้สึกว่าผีกระสือน่ากลัวกว่านิดหน่อยครับ

 

ตัวละครจาก ‘ชายหนุ่มสี่แยก’ หล่อจนผู้คนต่างพากันคลั่งไคล้ ถ้าเกิดต้องทำไลฟ์แอ็กชัน คุณคิดว่าใครเหมาะเล่น?

ส่วนตัวผมไม่ได้ตามดาราเท่าไหร่ เลยไม่กล้าระบุชื่อนะครับ แต่ภาพความหล่อในหัวตอนนี้ก็นึกไปทางโทนไอดอล K-pop ประมาณนั้นครับ แต่ตอนเขียนไม่ได้อิงจากพวกเขานะครับ เพราะวาดเอาไว้นานแล้ว

 

เวลาคุณวาดร่างกายมนุษย์หรือสัตว์ประหลาดที่บิดเบี้ยวจะมีเสน่ห์เฉพาะตัวเป็นอย่างมาก คุณมีแรงบันดาลใจหรืออ้างอิงจากสิ่งใดที่ทำให้สามารถสื่อสารความสยองขวัญออกมาได้แบบนั้น?

หลัก ๆ แล้วผมเริ่มจาก ‘คอนเซ็ปต์’ มากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ‘Uzumaki’ หรือ ‘ก้นหอยมรณะ’ ที่ผมยึดธีมจาก ‘ก้นหอย’ หรือ ‘เกลียว’ แล้วก็ปล่อยให้ธีมนั้นพาองค์ประกอบอื่น ๆ ไปเอง 

 

เรื่องราวในมังงะของคุณมักจะทิ้งปริศนาเอาไว้เสมอโดยไม่คลี่คลาย ทำไมถึงเลือกเสนอในทิศทางแบบนั้นแทนที่จะมีบทสรุปที่ชัดเจน?

ถ้าเราชมภาพยนตร์ปริศนาเราจะเห็นได้ว่ามันจะมีต้นตอและเหตุผล ทว่าผมไม่ได้เขียนแค่เรื่องราว ‘ปริศนา’ (Mystery) เพียงอย่างเดียว แต่ผมเขียน ‘สยองขวัญ’ (Horror) ด้วย ซึ่งผมคิดว่า ความน่ากลัวจากสิ่งนี้เกิดจาก ‘ความไม่รู้’ ถ้าอธิบายเหตุผลทั้งหมด อาจทำให้ความน่ากลัวนั้นหายไป ผมเลยตั้งใจละเว้นหรือทิ้งปมบางอย่างไว้

 

คุณมีวิธีการอย่างไรที่ทำให้ไอเดียของคุณสดใหม่เพื่อสร้างความสนุกและสยองขวัญแบบพิลึกพิลั่นในตัวเองเสมอ?

ผมก็อยากจะตอบให้มันน่าสนใจนะครับว่ามันมาจากแรงบันดาลใจหรืออะไรทำนองนั้น แต่ว่าถ้าต้องพูดตามความจริงคือ ในชีวิตจริงเวลาเขียนงานจะมีคำว่า ‘วันส่งงาน’ หรือ ‘เดดไลน์’ ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวกว่าผีก็น่าจะเป็นวันเดดไลน์ที่ต้องส่งงานนี่แหละครับ โดนทั้งต้นสังกัดและสำนักพิมพ์ทวง ผมคิดว่ามันคืออาชีพที่ถูกไล่ล่าจากสำนักพิมพ์ ไล่ล่าจากผู้จัดการเพื่อที่จะมีงานส่ง เพราะฉะนั้นหัวของผมก็จะขับเคลื่อนด้วยความกลัวเหล่านั้น ความกลัวที่จะส่งงานไม่ทัน

 

ตัวละครที่คุณชอบมากที่สุดคือตัวละครไหน เพราะเหตุใด?

ก็ต้องยอมรับว่าชอบ ‘โทมิเอะ’ (Tomie) นะครับ เพราะเธอถือเป็นหนึ่งในตัวละครที่ผมผูกพันที่สุด เพราะเป็นตัวละครเดบิวต์สำหรับผม จะสังเกตได้ว่าเวลาผมเซ็นก็มักจะมีหน้าเธอปรากฎอยู่บ่อยครั้ง เธอจึงถือเป็นตัวละครที่ผมผูกพันด้วยที่สุด

 

คุณเชื่อเรื่องโลกหลังความตายหรือไม่ หากว่าเชื่อ คิดว่ามันมีหน้าตาเป็นแบบไหนจากมุมมองของคุณ?

ผมขอสารภาพว่าตอนเด็ก ๆ นั้นเป็นคนที่เชื่อหมดทุกอย่าง ตั้งแต่ผี วิญญาณ สัตว์ประหลาดล็อกเนสส์ หรือแม้แต่ UFO อะไรที่เขาเล่าขานเป็นตำนานผมก็เชื่อหมด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อเติบโตขึ้นผนวกกับการที่ไม่เคยเห็น จากเดิมที่เคยเชื่อ ผมก็เริ่มรู้สึกที่จะเชื่อในสิ่งเหล่านี้น้อยลง ในขณะเดียวกันผมก็มองว่าถ้าคนเราจะใช้ชีวิตโดยที่ไม่เชื่อสิ่งใดเลย ก็น่าจะไร้รสชาติ หลัง ๆ ผมเลยรู้สึกว่าเริ่มอยากจะเชื่อน่ะ 

ในส่วนของโลกของความตาย ผมมองว่าชีวิตเราก็ลำบากอยู่แล้ว มีทั้งสงคราม การทำงาน และความเหนื่อยล้า ด้วยเหตุนั้น โลกหลังความตายผมเลยอยากให้เต็มไปด้วยความสว่าง สนุกสนาน และทุ่งดอกไม้ ใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องไปโรงเรียนหรือว่าทำงาน มีความสุขในแสงสว่างที่อบอุ่น

 

เนื่องจากคุณชอบแมวมากจนมีเรื่องสั้นเกี่ยวกับแมว ‘Junji Ito's Cat Diary: Yon & Mu’ ถ้าในเรื่องสั้นเปลี่ยนจาก ‘แมว’ เป็น ‘อย่างอื่น’ จะเป็นอะไร?

ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนว่าแมวนั้นไม่ใช่แมวของผมนะ แต่เป็นแมวของภรรยา ซึ่งผมเองก็เคยคิดอยู่เสมอว่าอยากมีสัตว์เลี้ยงที่สามารถเข้ากับเราได้ในชีวิตจริง จนทำให้ผมดีใจมากที่ได้อยู่กับแมวและทำให้ชอบแมวไปโดยปริยาย แต่พักหลังมานี้ผมรู้สึกว่าภรรยาเริ่มที่จะเลี้ยงสัตว์ที่หลากหลายมากขึ้น เริ่มจากสุนัข ก่อนที่ไม่นานจะตามมาด้วยสัตว์เลื้อยคลานอย่าง ‘กิ้งก่า’ ตัวใหญ่ หางใหญ่ บางทีผมก็ไม่กล้าจับ ดังนั้นถ้าจะเขียน เป็นไปได้ว่าอาจเป็นกิ้งก่านะ

 

คุณคิดว่ามีความน่ากลัวแบบไหนบนโลกหรือไม่ที่ ‘ยาก’ หรือ ‘ไม่สามารถ’ บรรยายออกมาเป็นภาพได้?

สิ่งที่น่ากลัวในชีวิตจริงนั้นไม่ใช่ผีสางหรือเหตุการณ์สยองขวัญแปลกประหลาดอะไรเลย แต่เป็นความมืดมิดของจิตใจมนุษย์ต่างหาก ซึ่งแน่นอนว่าความมืดมิดเหล่านั้นก็ยากที่จะถ่ายทอดออกมาได้ ผมจึงคิดว่าในชีวิตจริงนั้น ความลึกลับยากจะหยั่งรู้และมืดมิดของจิตใจมนุษย์นั้นยากที่จะถ่ายทอดออกมาที่สุดแล้ว

 

ผีที่คุณกลัวที่สุดในชีวิตคือผีชนิดใด?

ผมรู้สึกว่าผีในตำนานที่ถูกเล่าขานกันนั้นไม่น่ากลัวเท่ากับ ‘ผีในภาพถ่าย’ เพราะเวลาเรากล่าวถึงผีหรือวิญญาณ เราจะมองไม่เห็น ผมเลยไม่ค่อยกลัว แต่เมื่อใดที่มันปรากฎเห็นเป็นมือ เห็นเป็นเงาในภาพถ่าย นั่นแหละที่น่ากลัว เพราะมันเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น แล้วยิ่งช่วงหน้าร้อนญี่ปุ่นจะชอบทํารายการผีให้ดู ซึ่งผมก็กลัวจนบางทีเข้าห้องน้ำไม่ได้เลย

 

ถ้าคุณถูกอัญเชิญไปต่างโลกจากงานของคุณเอง คุณจะอยากไปหรือไม่อยากไปโลกไหน?

ไม่อยากไปสักโลกเลยครับ 

แต่ถ้าเลือกได้ผมคงอยากเข้าไปในโลกของบอลลูนหัวคนนะ เพราะผมก็น่าจะต้องเผชิญหน้ากับบอลลูนหน้าตัวเอง ซึ่งก็น่าจะอันตรายไม่น้อย แต่ถ้าผมหลบซ่อนอาจจะยังพอไหว ก็เลยคิดว่าเหมือนได้เล่นเกมนิด ๆ เพราะได้หลบหนีไปด้วย ดูสถานการณ์ไปด้วย คอยเฝ้ามองบอลลูนหัวตัวเองไปด้วย ผมเลยคิดว่ามันน่าจะเป็นโลกที่ทั้งน่ากลัวและสนุกนะ 

แต่ถ้าต้องให้เลือกหนึ่งเรื่องที่ไม่อยากไปเลยเนี่ย ผมไม่อยากไปอยู่ในโลกที่บ้านของผมเต็มไปด้วยน้ำมันที่เหนียวเหนอะหนะน่ะ 

 

คุณคิดว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรื่องราวของคุณสามารถเข้าถึงผู้คนและวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายได้?

ผลงานของผมเรียกว่า ‘Body Horror’ ซึ่งเป็นความสยองขวัญจากการบิดเบี้ยวของร่างกาย มันเป็นสิ่งที่ไม่ว่าคุณจะพูดภาษาไหน คุณก็จะเข้าใจอย่างแน่นอน เพราะการที่ร่างกายของคุณเปลี่ยนสภาพเป็นบิดเบี้ยวจนสยองขวัญ มันเป็นความน่ากลัวที่ใคร ๆ ก็ย่อมจินตนาการได้ 

 

ตอนเขียน Uzumaki คุณหลอนกับลวดลายก้นหอยบ้างไหม?

ตอนผมเขียนเนี่ย ผมคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกว่ามันจะไม่ใช่แค่เรื่องสั้นเรื่องเดียว แต่ต้องมีต่อ ผมเลยพยายามทำความเข้าใจกับลวดลายก้นหอยนี้ให้มากที่สุด ผมเลยบอกผู้จัดการว่าให้ส่งภาพอ้างอิงที่เกี่ยวโยงกับลวดลายแบบนี้มาให้มากที่สุด มีตั้งแต่หอยทากไปจนถึงกราฟฟิกในอดีตกาล ซึ่งต้องบอกตรง ๆ เลยว่าชีวิตผมมีแต่ก้นหอย จนบางทีเขียน ๆ ไปก็เวียนหัวหน้ามืดเลย

 

เรื่องสยองขวัญเรื่องไหน ‘หลอน’ และ ‘น่ากลัว’ ที่สุดในความคิดเห็นของคุณ?

ตามจริงแล้วผมไม่เคยกลัวผลงานตัวเองนะ แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมเขียนไป ผมก็เริ่มรู้สึกหลอนตามสิ่งที่ผมเขียน ซึ่งก็คือเรื่อง ‘ตรรกะของปีศาจ’ (The Devil's Logic) ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับปีศาจที่คอยกระซิบให้ผู้คนอยากตาย ผมรู้สึกว่าเวลาเขียนเรื่องนี้ ผมกำลังเล่นกับจิตวิทยา และเมื่อคิดตามไปด้วย ก็รู้สึกหลอนตามไป ถือเป็นเรื่องที่ ‘Psychological Horror’ มากเลยล่ะครับ