‘ท็อป’ วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์: เปลี่ยนคำดูถูกเป็นการปฏิวัติ ‘เด็กสมบูรณ์’

‘ท็อป’ วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์: เปลี่ยนคำดูถูกเป็นการปฏิวัติ ‘เด็กสมบูรณ์’

‘ท็อป’ วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ ทายาทแห่งอาณาจักร ‘เด็กสมบูรณ์’ เปลี่ยนคำดูถูกเป็นพลังขับเคลื่อนปฏิวัติแบรนด์ 80 ปี

KEY

POINTS

  • จากคำดูถูกสู่แรงบันดาลใจ: เปลี่ยนคำดูถูกจากลูกค้าให้กลายเป็นเชื้อเพลิงสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมและยกระดับธุรกิจครอบครัว
  • ปฏิวัติแบรนด์ด้วยความคิดสร้างสรรค์: จากไอเดีย ‘ซีอิ๊วราดไอศกรีม’ สู่กระแสไวรัลและการขยายธุรกิจข้ามอุตสาหกรรม รวมถึงการคอลแลปกับแมคโดนัลด์
  • ปรัชญา T.O.P. ในการบริหารคน: สร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยหลัก Teamwork, Ownership, Professionalism - เปลี่ยนจากการเป็นเจ้านายสู่การเป็นโค้ชที่ดูแล 8,000 ชีวิต
     

ในโลกธุรกิจครอบครัว มีคำสาปที่หลายตระกูลต้องเผชิญ “รุ่นที่หนึ่งสร้าง รุ่นที่สองรักษา รุ่นที่สามทำลาย” แต่สำหรับ ‘ท็อป’ วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ วัย 27 ปี ทายาทรุ่นที่ 3 ของอาณาจักร ‘หยั่น หว่อ หยุ่น’ ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์ ‘เด็กสมบูรณ์’ คำทำนายนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขายอมรับ

เส้นทางสู่ความสำเร็จของท็อปไม่ได้ราบรื่นเหมือนที่หลายคนคิด เบื้องหลังภาพลักษณ์หนุ่มสมัยใหม่ที่ปรากฏบนโซเชียลมีเดีย คือเรื่องราวของการเรียนรู้อย่างหนักหน่วง การถูกดูถูก และการเปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่

รากเหง้าจากแผ่นดินกวางตุ้ง

“หยั่น หว่อ หยุ่น แปลว่าครอบครัวที่สมบูรณ์ เป็นภาษากวางตุ้ง ที่บ้านผมเป็นคนกวางตุ้ง ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ที่เดินทางจากกวางตุ้งมาเมืองไทย” ท็อปเล่าถึงรากเหง้าของครอบครัว 

คุณปู่เริ่มต้นด้วยการเป็นช่าง และเมื่อมาถึงไทยก็สร้างธุรกิจร้านของชำ จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อคุณปู่ตัดสินใจขยายธุรกิจจากการค้าปลีกสู่การผลิต “เพราะคุณปู่อยากให้คุณพ่อทำสินค้าสักอย่างเพื่อไปวางขายในร้านของชำที่คุณปู่ท่านมี” นับเป็นการวางรากฐานธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ และการมองเห็นการเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานอย่างสมบูรณ์นี้ กลายเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตมาจนถึงปัจจุบัน
 

จากซีอิ๊วสู่ตำนานแห่งรสชาติ

ในยุคที่ ‘ซีอิ๊ว’ ยังเป็นสินค้าที่คนไทยไม่คุ้นเคย คุณปู่ของท็อปมองเห็นโอกาสทางธุรกิจอย่างชาญฉลาด “ซีอิ๊วยังไม่เป็นที่แพร่หลายหรือที่รู้จักในเมืองไทย ทางครอบครัวมองว่าเราสามารถทำสินค้าตัวนี้ออกมาขายได้ เพราะว่าคนไทยสมัยก่อนก็ชอบทานสินค้าที่คล้ายคลึงกันก็คือน้ำปลาอยู่แล้ว”

การเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคนี้แสดงให้เห็นถึงความเฉียบแหลมทางการตลาดที่มีมาตั้งแต่เริ่มต้น แทนที่จะสร้างความต้องการใหม่ กลับเลือกตอบสนองความต้องการที่มีอยู่แล้วด้วยผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่า

ในช่วงแรก เด็กสมบูรณ์ยังไม่มีอัตลักษณ์เป็นของตัวเอง “เราก็ขายของเราไปเรื่อย ๆ เอาขวดรีไซเคิลมาใช้ แต่ก่อนเราใช้ขวดเบียร์ เรายังไม่มีขวดของเราเอง เพราะยังไม่ได้มีวอลลุ่มใหญ่” การเริ่มต้นด้วยวิธีนี้สะท้อนถึงความระมัดระวังในการลงทุน

การเกิดแบรนด์จากการสังเกตพฤติกรรม

‘ท็อป’ วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์: เปลี่ยนคำดูถูกเป็นการปฏิวัติ ‘เด็กสมบูรณ์’

การเกิดของชื่อและโลโก้ ‘เด็กสมบูรณ์’ ไม่ได้มาจากการคิดในโต๊ะประชุม แต่มาจากการสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง “มาจากพฤติกรรมของผู้บริโภค ด้วยสมัยก่อนโภชนาการของเด็กยังไม่ได้ครบถ้วน เด็กกินแค่ข้าวต้มเปล่าจืด ๆ”

“แล้วพอใช้ซีอิ๊วหยอดลงไป คุณปู่เห็นว่าเด็กกินอาหารได้เยอะขึ้น แล้วเด็กก็สมบูรณ์อ้วนถ้วนสมบูรณ์ขึ้น” จากการสังเกตที่เรียบง่ายนี้ จึงกำเกิดแบรนด์ที่ติดอยู่ในใจคนไทยมาถึงทุกวันนี้
 

ขณะที่การสร้างโลโก้ในยุคที่ไม่มีเทคโนโลยีทำให้ต้องพึ่งพาฝีมือศิลปิน “ณ เวลานั้นเรายังไม่มีกราฟฟิคดีไซน์ ยังไม่มี CG ไม่มี AI มาช่วยพัฒนาโลโก้ เราก็เลยให้จิตรกรชาวจีนช่วยวาดภาพในหัวออกมาจนเป็นโลโก้ทุกวันนี้”

บทเรียนแรกจากโรงงาน

สำหรับท็อป การเรียนรู้ธุรกิจไม่ได้เริ่มต้นจากห้องประชุมหรือตำราเรียน แต่เริ่มจากพื้นโรงงาน “จ็อบแรกที่ทำคือไปติดฉลากขวด ทุกปิดเทอมคุณพ่อจะพาผมไปโรงงาน” ความทรงจำในวันแรกยังคงสดใสในหัวใจ “ผมจำได้ว่าผมแปะไม่ได้เลยซักอันเดียว เบี้ยวบ้างอะไรบ้าง จนพี่เขาบอกไม่ต้องทำเลย ให้นั่งอยู่เฉย ๆ ดีกว่า” แม้จะเป็นงานง่าย ๆ แต่กลับเป็นบทเรียนแรกที่สำคัญเกี่ยวกับการทำงานเป็นทีม

เมื่อโตขึ้น ท็อปได้เรียนรู้งานที่หนักขึ้น “พอมาช่วงมอต้น ช่วงปิดซัมเมอร์ยาว ๆ  คุณพ่อจะให้เข้าไปในคลังสินค้าแต่เช้า เพื่อเช็คสินค้า ก่อนเอาสินค้าขึ้นรถ แล้วไปส่งของ” 

การทำงานตั้งแต่เช้ามืดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย “ตอนนั้นอะเป็นช่วงที่ทุกข์มาก ต้องบอกตรง ๆ เพราะผมไม่เห็นว่าเพื่อนคนไหนต้องทำงานเลย” แต่การเรียนรู้นี้ทำให้เขาเข้าใจธุรกิจได้ลึกซึ้งกว่าคนรุ่นเดียวกัน

‘ท็อป’ วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์: เปลี่ยนคำดูถูกเป็นการปฏิวัติ ‘เด็กสมบูรณ์’

ประสบการณ์ติดรถที่เปลี่ยนมุมมอง

งานที่ท้าทายที่สุดคือการติดรถไปส่งของ “บางร้านจ่ายผมเป็นเหรียญบาท จ่ายหลักหมื่นก็เป็นเหรียญบาทหมดเลย ผมก็ต้องนั่งนับ เพราะเงินต้องไม่ขาดเลยแม้แต่บาทเดียว” การนับเงินเหรียญกองโตนี้ ทำให้ท็อปเข้าใจถึงความหมายของเงินทุกบาททุกสตางค์

ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เขาเข้าใจธุรกิจจากมุมมองที่แตกต่าง “และผมก็เข้าใจในส่วนของโปรดักต์มากขึ้น ผมรู้ว่าที่บ้านไม่ได้ขายแค่ซีอิ๊วนะ เรามีสินค้าอื่น ๆ และซีอิ๊วที่เรามีไม่ได้มีแค่ไซส์เดียว เรามีหลากหลายสินค้ามากเลย”

เมื่อฝันนักบินต้องยอมให้วิศวะ

แม้จะเติบโตมากับธุรกิจครอบครัว แต่ท็อปมีความฝันที่แตกต่าง “ตอนแรกผมฝันอยากเป็นนักบิน ผมคิดในใจว่าเป็นนักบินเท่” เขาหัวเราะเมื่อเล่าถึงความฝันในวัยเด็ก

ทางเลือกอื่นคือ “ผมชอบเลี้ยงสัตว์มาก ชอบเล่นกับสัตว์ต่าง ๆ เลยคิดอีกอย่างหนึ่งคือเป็นสัตวแพทย์ดีมั้ย วิศวะเนี่ยห่างไกลมาก จากสิ่งที่เราคิดจะเรียน”

แต่แล้ววันหนึ่งคุณพ่อก็มาคุยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดซีเรียส “ลูกรู้มั้ย ธุรกิจเราไม่แน่นอน วันใดวันหนึ่ง เราอาจจะไม่มีเด็กสมบูรณ์อย่างทุกวันนี้ก็ได้” คำพูดนี้เล่นเอาท็อปตกใจ ก่อนจะเบนสายมาเรยนด้านวิศวอุตสาหการตามที่คุณพ่อชี้แนะ 

‘ท็อป’ วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์: เปลี่ยนคำดูถูกเป็นการปฏิวัติ ‘เด็กสมบูรณ์’

ปรัชญาการเป็น ‘เป็ด’ ในโลกธุรกิจ

คำอธิบายของคุณพ่อเกี่ยวกับวิศวกรรมอุตสาหการทำให้ท็อปเข้าใจปรัชญาการทำงาน “คุณพ่อบอกว่าเราต้องใช้ชีวิตแบบเป็ด วิศวะอุตสาหการคือวิศวะแบบเป็ด ที่เดินได้แต่ไม่ได้วิ่งเร็วเหมือนม้า บินได้แต่เทียบกับนกก็ไม่ได้ ว่ายน้ำได้ด้วยแต่ไม่ได้เร็วเหมือนปลา”

“สิ่งที่คุณพ่ออยากให้เรามีความรู้ที่กว้างขวาง แต่เราไม่ต้องลงลึก ส่วนเรื่องของเฉพาะทางต่าง ๆ เราก็จะมีทีมเฉพาะทางที่ปรึกษาอยู่แล้ว”

ไอเดียบ้า ๆ ที่เปลี่ยนทุกอย่าง

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นจากการทดลองเล็ก ๆ บนโต๊ะอาหาร “วันนั้นเรากินข้าวกันอยู่บนโต๊ะอาหาร ก็มีซอสซีอิ๊วดำสูตรหนึ่งที่เป็นตัวซีอิ๊วดำแบบหวาน ๆ ที่ใส่ข้าวมันไก่ ผมชิมไปชิมมารู้สึกว่ามันเหมือนคาราเมล”

“ผมเลยลองเอาไปราดกินกับไอศกรีม แล้วผมก็รู้สึกว่ามันไปได้ เลยเอาให้ป๊ากับม๊าชิม” การทดลองง่าย ๆ นี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติ

จากไอเดียสู่กระแสไวรัล

การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ “ผมก็เลยบอกป๊าขออย่างนี้ได้มั้ย ขอแค่เปลี่ยนฉลากคอขวดให้มีรูปไอศกรีมได้มั้ย แค่บอกเขาว่า เนี่ยกินกับไอศกรีมได้” การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ นี้ได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อที่มีความเป็นสมัยใหม่  

แล้วผลลัพธ์ก็ออกมาเกินคาดหมาย “หลังจากนั้นคนก็เลยลองราดซีอิ๊วใส่ไอศกรีม แล้วเกิดเป็นกระแสไวรัลมากมาย จนกระทั่งเรารู้สึกว่าเราเริ่มสร้างดีมานด์ได้แล้ว มีคนเอาด้วยกับเรา มีคนอยากลอง เราก็เลยพัฒนาเป็นไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ อยู่ที่สาขาเยาวราช”

ประตูสู่ความสำเร็จระดับโลก

สิ่งที่ไม่คาดคิดคือการได้ร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลก “จริง ๆ จากโปรเจคนั้นก็ไม่คิดว่าเราจะได้มีโอกาสไปคอลแลปกับแมคโดนัลด์ด้วย ตอนนั้นเราทำไอศกรีมหมูหยองน้ำพริกเผาด้วยกัน”

จากจุดนี้ ท็อปเริ่มเห็นโอกาสใหม่ “ผมก็คิดว่าจากจุดนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เราคิดหาอะไรแปลก ๆ นำพาไปสู่โอกาสใหม่ ๆ สู่ธุรกิจใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยคิดฝันว่าเด็กสมบูรณ์จะทำได้”

การขยายธุรกิจข้ามอุตสาหกรรม

ความสำเร็จจากไอเดีย ‘ซีอิ๊วราดไอศกรีม’ เปิดประตูให้เด็กสมบูรณ์ก้าวข้ามขอบเขตเดิม “หลังจากนั้นก็มีทั้งซีอิ๊วโซดาเข้าสู่เบฟเวอเรจ มีทั้งเบเกอรี่มีหลายอย่างเยอะมาก ที่เราเริ่มทยอยเข้าไปสู่วงการอื่น ๆ แม้แต่วงการแฟชั่น”

“เราไม่ได้เป็นแบรนด์ที่ทุกคนคิดถึงแค่ซอสอย่างเดียว เราพยายามให้ทุกคนมองเห็นเด็กสมบูรณ์ในมุมอื่น ๆ ที่สนุกมากยิ่งขึ้น”

คำดูถูกที่เปลี่ยนเป็นแรงผลักดัน

แต่ไม่ใช่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ระหว่างทางก่อนจะมาถึงวันนี้ ท็อปเคยเจอกับคำพูดที่เจ็บปวดจากลูกค้าท่านหนึ่ง “คุณรู้มั้ย คุณขายสินค้าให้เรา 5-6 ตัว มันเยอะมากเลย แต่เขาขายซอสหอยนางรมตัวเดียว เขาขายได้มากกว่าคุณอีก”

ผลกระทบของคำพูดนี้มีมากกว่าที่คิด “ประโยคนั้นทำให้ผมเจ็บใจมาก เสียใจ ไม่ได้เจ็บใจหรอก มันจี๊ดอะ แล้วมันก็เสียใจมากกับคำพูด ผมก็ได้บอกว่า ไม่เป็นไรครับ แล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไป”

แต่แทนที่จะท้อแท้ ท็อปกลับใช้คำดูถูกนี้เป็นแรงผลักดัน “ผมก็เลยมองว่า โอเค ปีนี้เราทำไม่ได้ แต่เราเพิ่งอายุ 25 เองในตอนนั้น ผมยังมีเวลาที่จะเฟลในช่วงนี้ แล้วผมก็จะพยายามพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง”

‘ท็อป’ วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์: เปลี่ยนคำดูถูกเป็นการปฏิวัติ ‘เด็กสมบูรณ์’

ปรัชญาการจัดการคำติชม

สิ่งสำคัญคือท็อปได้เรียนรู้จากการทำธุรกิจ “ทุกคำติชม ผมไม่เคยโกรธ เวลาใครว่าหรืออะไรยังไง ผมเก็บเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวข้ามมันไปมากกว่า อย่าไปโกรธเขาเลย แต่เก็บเป็นแรงผลักดันว่า เมื่อไหร่เราจะลบคำสบประมาทเหล่านี้ไปได้”

มุมมองนี้ไม่ได้มาจากการอ่านหนังสือ แต่มาจากประสบการณ์จริง “สิ่งที่สำคัญคือผมอยากจะเติบโต อยากเก่งขึ้นในทุกปีด้วย ในทุกช่วงจังหวะของชีวิต ไม่อยากจะหยุดอยู่ที่เดิมตลอดไป”

หลักการบริหารยุคใหม่: T.O.P.

ท็อปไม่ได้แค่นำไอเดียใหม่มาปฏิวัติผลิตภัณฑ์ เขายังสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ด้วยหลัก ‘T.O.P.’ ที่มาจากชื่อเล่นของเขาเอง

T คือ Teamwork – “ผมให้ความสำคัญกับทีมเวิร์คก่อน เพราะผมเชื่อว่าตัวผมเองไม่ใช่ Superman ที่เก่งรอบด้านหรือดีเลิศเลอทุกอย่าง ทีมคือสิ่งที่จะคอยมาเตือนซึ่งกันและกันว่า Point ไหนที่เรา Concern”

การสร้างทีมของท็อปมีเงื่อนไขชัดเจน “ผมไม่ได้ต้องการพนักงานที่เป็นคนดีหรือเป็นคนเก่ง ผมต้องการพนักงานที่มีสปิริตหรือหัวใจที่เป็นดวงเดียวกันกับเรา วันใดวันหนึ่งที่ผมเดินไดเร็คชั่นผิด คุณกล้าที่จะทักว่าคุณท็อปอันนี้ไม่ดีนะ เราควรต้องเป็นแบบนี้”

O คือ Ownership – “ความรู้สึกว่านี่คือกิจการของตัวเอง เด็กสมบูรณ์ไม่ใช่ของผม หรือที่บ้านผม เด็กสมบูรณ์เป็นของทุกคนที่โรงงานที่ออฟฟิศ เด็กสมบูรณ์เป็นของทุกคนไม่ใช่แค่ของผม”

ผลจากการปลูกฝัง Ownership นี้เห็นได้ชัด “คนที่อยู่ในองค์กรผม อยู่กันมานานตั้งแต่รุ่นพ่อ เพราะว่าทุกคนมีโอนเนอร์ชิพ ที่รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เป็นของตัวเองนะ”

P คือ Professionalism – “ลูกค้าโทรมาเกิดปัญหาเสาร์อาทิตย์ เราก็ต้องรับสาย เราก็ต้องเซอร์วิสลูกค้า นี่คือความเป็น Professional ระหว่างเรากับการทำงาน แล้วก็ระหว่างเผมกับทีมงานด้วย”

การบริหารข้ามเจเนอเรชั่น

ท็อปมองว่าการทำงานกับทีมหลายเจเนอเรชั่นเป็นจุดแข็ง “เป็นอะไรที่ผมชอบมาก การบริหารระหว่าง 2 เจน มันก็มีความครีเอทีฟจากเจนใหม่ ๆ ส่วนเจเนอเรชั่นที่ทำมาแต่ก่อน เขามี Experience สูงมาก ซึ่งเราสามารถนำ Experience ต่าง ๆ เหล่านี้มา Blend กับความ Creative ใหม่ ๆ แล้วมันจะเกิดสารบางอย่างที่ลงตัว”

กลไกการทำงานร่วมกันมีระบบชัดเจน โดยเฉพาะการช่วยกันอุดรูรั่ว “อะไรที่อาจจะทำให้เราเดินผิด ผู้บริหารท่านเก่าหรือว่าเจเนอเรชั่นเก่าที่ยังอยู่กับเรามาเนิ่นนานจะคอยแนะนำว่าเราต้องมาอุดรอยรั่วเหล่านั้นจากสิ่งที่เรากำลังจะทำอย่างไรบ้าง”

การใช้โซเชียลมีเดียแบบไม่มีกั้น

ท็อปมองการใช้โซเชียลมีเดียในแบบที่ต่างจากผู้บริหารทั่วไป “ผมรู้สึกว่าผู้บริหารเจเนอเรชั่นใหม่ไม่จำเป็นต้องวางตัวเป็นเจ้านาย เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราอยู่ในโลกสมัย 2025 แล้ว ทุกคนก็มีสิทธิเท่าเทียม”

“ผมไม่ใช่แนวลูกผู้บริหารหรือทายาทที่ยิ่งใหญ่มาจากไหน ผมแค่อยากจะเข้าถึงผู้บริโภค อยากจะพูดกับลูกค้าจริง ๆ ยิ่งผมอยู่สูงยิ่งไกลผู้บริโภค โซเชียลมีเดียคือสิ่งที่ทำให้ผมสามารถพูดกับผู้บริโภคทุกคนได้ และเข้าถึงทุกคนได้ง่ายที่สุด”

‘ท็อป’ วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์: เปลี่ยนคำดูถูกเป็นการปฏิวัติ ‘เด็กสมบูรณ์’

ปรัชญา Work-Life Balance ที่แตกต่าง

เมื่อถูกถามเรื่อง Work-Life Balance ท็อปตอบอย่างตรงไปตรงมา “ต้องถามกลับว่า จุดที่ยูฝันที่อยากจะไปถึงคือขนาดไหน ถ้าวันนี้เราอยากมีเงินเดือน 20,000-30,000 บาท ตลอดชีวิตจนเกษียณ 60 ปี โอเค ผมเห็นด้วย”

“แต่ถ้าวันนี้คุณต้องการความสำเร็จมากกว่า ต้องการรายได้ที่มากกว่า คุณก็ต้องแลก เพราะทุกอย่างมันไม่มีอะไรที่ไม่แลกอยู่แล้ว”

มรดกจากคุณปู่: ความขยันเอาชนะความเก่ง

บทเรียนสำคัญที่สุดที่ท็อปได้รับจากครอบครัวคือ “คุณปู่ผมจบแค่ป.4 แต่สร้างธุรกิจมาได้ระดับนี้ ทั้งที่เขียนภาษาไทยไม่คล่อง อ่านภาษาไทยไม่ค่อยออก แต่ทำไมคุณปู่ทำคอนแทรคกับร้านค้าอะไรได้มากมาย”

คำตอบอยู่ที่ปรัชญาการทำงาน “คุณปู่ผมไม่เคยกลัวคนเก่งเลย คุณปู่ผมกลัวคนประเภทเดียวคือคนขยัน คุณปู่ผมไม่ได้เป็นคนที่เก่งที่สุดหรอก แต่คุณปู่ผมมั่นใจว่าตัวเองขยันมาก เพราะว่าคุณปู่ผมตื่นตั้งแต่ตี 3 มาเปิดโกดังเอง ขนส่งขึ้นรถ คุมรถ แล้วค่อยอาบน้ำลงมาประชุมขายของ ทำอย่างนี้ตลอดชีวิตของท่าน”

และท็อปก็นำหลักการนี้มาใช้ในชีวิตตัวเอง “อย่างที่ผมบอกว่าผมเองไม่ได้เก่งเพอร์เฟค  แต่ผมมั่นใจว่าผมขยันมากที่จะยอมแลกเวลาอื่น ๆ ยอมทำงานดึกแล้วมาเริ่มงานแต่เช้า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ผมยอมแลกตรงนั้นจริง ๆ กับเวลาการพักผ่อนของผมเอง เวลาที่จะได้ใช้ชีวิต ทุกวันนี้เพื่อนผมน้อยลงทุกวัน”

วิสัยทัศน์ใหญ่ของคนหนุ่ม

ท็อปไม่ได้หยุดแค่การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ เขามีเป้าหมายที่ใหญ่กว่า “ผมอยากจะนำพาแบรนด์สินค้าของคนไทยไปสู่แบรนด์ระดับโลกให้ได้ อยากให้เด็กสมบูรณ์เป็นที่รู้จักของฝรั่ง เพราะคนต่างชาติรักอาหารไทย รักการทำอาหารไทยอยู่แล้ว” 

เขาเชื่อว่าประเทศไทยพร้อมแล้วสำหรับการก้าวสู่เวทีโลกเช่นเดียวกับอาหารญี่ปุ่น  “ผมเชื่อว่าทุกอย่างสามารถสำเร็จได้ แต่ว่าเราต้องใช้เวลาในการทำ เช่นเดียวกับกรุงโรมที่ไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว”

ความสุขจากการเห็นคนอื่นสำเร็จ

เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ทำให้ท็อปมีความสุขในการทำงาน ไม่ใช่ผลประกอบการ แต่เป็นความสำเร็จของทีมงาน “การที่ผมได้เห็นการประสบความสำเร็จของทีมงานในแต่ละย่างก้าว ได้เห็นทีมงานมีบ้าน ซื้อนั่นซื้อนี้ มีเงินดูแลครอบครัว ผมภูมิใจที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุขและประสบความสำเร็จ ผมดีใจมากที่เห็นทุกคนมีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พาลูกไปเที่ยว พาคุณแม่ไปทานข้าวได้ไปเที่ยวได้”

ความรับผิดชอบต่อครอบครัว 8,000 คน

ท็อปมองการดูแลพนักงานในมุมที่กว้างขึ้น “ปัจจุบันเรามีพนักงาน 2,000 คน แต่สิ่งที่ผมมองไม่ใช่แค่ 2,000 คน เพราะแต่ละคนมีครอบครัว มีพ่อแม่ลูก รวมทั้งหมดก็ร่วม 8,000 คน เพราะฉะนั้นจะทำยังไงให้ครอบครัวเขามีความสุขในระหว่างที่ทำงานอยู่กับเด็กสมบูรณ์ แล้วก็จะดูแลกันอย่างนี้ไปนาน ๆ ให้นานที่สุด”

จากเด็กหนุ่มที่เคยติดฉลากขวดในโรงงาน ถึงวันนี้ที่เป็นผู้นำ 8,000 ชีวิต ท็อปไม่เพียงแค่ปฏิวัติแบรนด์เด็กสมบูรณ์ เขายังปฏิวัติแนวคิดการเป็นผู้นำ จากการสั่งงานสู่การสร้างแรงบันดาลใจ จากการเป็นเจ้านายสู่การเป็นโค้ช และจากการมองพนักงานเป็นต้นทุนสู่การมองเป็นครอบครัว

นี่คือมรดกที่ท็อปกำลังสร้าง ไม่ใช่แค่แบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ที่ชื่อว่า ‘เด็กสมบูรณ์’ ที่ทุกคนในนั้นมีโอกาสเติบโต มีโอกาสสมบูรณ์ในชีวิต เหมือนกับปรัชญาที่อยู่ในชื่อแบรนด์นั่นเอง เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า การเปลี่ยนคำดูถูกให้กลายเป็นเชื้อเพลิงแห่งความมุ่งมั่น สามารถนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้จริง

 

สัมภาษณ์: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ถ่ายภาพ: จุลดิศ อ่อนละมุน