03 มิ.ย. 2568 | 17:19 น.
KEY
POINTS
ในโลกธุรกิจครอบครัว มีคำสาปที่หลายตระกูลต้องเผชิญ “รุ่นที่หนึ่งสร้าง รุ่นที่สองรักษา รุ่นที่สามทำลาย” แต่สำหรับ ‘ท็อป’ วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ วัย 27 ปี ทายาทรุ่นที่ 3 ของอาณาจักร ‘หยั่น หว่อ หยุ่น’ ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์ ‘เด็กสมบูรณ์’ คำทำนายนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขายอมรับ
เส้นทางสู่ความสำเร็จของท็อปไม่ได้ราบรื่นเหมือนที่หลายคนคิด เบื้องหลังภาพลักษณ์หนุ่มสมัยใหม่ที่ปรากฏบนโซเชียลมีเดีย คือเรื่องราวของการเรียนรู้อย่างหนักหน่วง การถูกดูถูก และการเปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่
“หยั่น หว่อ หยุ่น แปลว่าครอบครัวที่สมบูรณ์ เป็นภาษากวางตุ้ง ที่บ้านผมเป็นคนกวางตุ้ง ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ที่เดินทางจากกวางตุ้งมาเมืองไทย” ท็อปเล่าถึงรากเหง้าของครอบครัว
คุณปู่เริ่มต้นด้วยการเป็นช่าง และเมื่อมาถึงไทยก็สร้างธุรกิจร้านของชำ จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อคุณปู่ตัดสินใจขยายธุรกิจจากการค้าปลีกสู่การผลิต “เพราะคุณปู่อยากให้คุณพ่อทำสินค้าสักอย่างเพื่อไปวางขายในร้านของชำที่คุณปู่ท่านมี” นับเป็นการวางรากฐานธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ และการมองเห็นการเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานอย่างสมบูรณ์นี้ กลายเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตมาจนถึงปัจจุบัน
ในยุคที่ ‘ซีอิ๊ว’ ยังเป็นสินค้าที่คนไทยไม่คุ้นเคย คุณปู่ของท็อปมองเห็นโอกาสทางธุรกิจอย่างชาญฉลาด “ซีอิ๊วยังไม่เป็นที่แพร่หลายหรือที่รู้จักในเมืองไทย ทางครอบครัวมองว่าเราสามารถทำสินค้าตัวนี้ออกมาขายได้ เพราะว่าคนไทยสมัยก่อนก็ชอบทานสินค้าที่คล้ายคลึงกันก็คือน้ำปลาอยู่แล้ว”
การเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคนี้แสดงให้เห็นถึงความเฉียบแหลมทางการตลาดที่มีมาตั้งแต่เริ่มต้น แทนที่จะสร้างความต้องการใหม่ กลับเลือกตอบสนองความต้องการที่มีอยู่แล้วด้วยผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่า
ในช่วงแรก เด็กสมบูรณ์ยังไม่มีอัตลักษณ์เป็นของตัวเอง “เราก็ขายของเราไปเรื่อย ๆ เอาขวดรีไซเคิลมาใช้ แต่ก่อนเราใช้ขวดเบียร์ เรายังไม่มีขวดของเราเอง เพราะยังไม่ได้มีวอลลุ่มใหญ่” การเริ่มต้นด้วยวิธีนี้สะท้อนถึงความระมัดระวังในการลงทุน
การเกิดของชื่อและโลโก้ ‘เด็กสมบูรณ์’ ไม่ได้มาจากการคิดในโต๊ะประชุม แต่มาจากการสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง “มาจากพฤติกรรมของผู้บริโภค ด้วยสมัยก่อนโภชนาการของเด็กยังไม่ได้ครบถ้วน เด็กกินแค่ข้าวต้มเปล่าจืด ๆ”
“แล้วพอใช้ซีอิ๊วหยอดลงไป คุณปู่เห็นว่าเด็กกินอาหารได้เยอะขึ้น แล้วเด็กก็สมบูรณ์อ้วนถ้วนสมบูรณ์ขึ้น” จากการสังเกตที่เรียบง่ายนี้ จึงกำเกิดแบรนด์ที่ติดอยู่ในใจคนไทยมาถึงทุกวันนี้
ขณะที่การสร้างโลโก้ในยุคที่ไม่มีเทคโนโลยีทำให้ต้องพึ่งพาฝีมือศิลปิน “ณ เวลานั้นเรายังไม่มีกราฟฟิคดีไซน์ ยังไม่มี CG ไม่มี AI มาช่วยพัฒนาโลโก้ เราก็เลยให้จิตรกรชาวจีนช่วยวาดภาพในหัวออกมาจนเป็นโลโก้ทุกวันนี้”
สำหรับท็อป การเรียนรู้ธุรกิจไม่ได้เริ่มต้นจากห้องประชุมหรือตำราเรียน แต่เริ่มจากพื้นโรงงาน “จ็อบแรกที่ทำคือไปติดฉลากขวด ทุกปิดเทอมคุณพ่อจะพาผมไปโรงงาน” ความทรงจำในวันแรกยังคงสดใสในหัวใจ “ผมจำได้ว่าผมแปะไม่ได้เลยซักอันเดียว เบี้ยวบ้างอะไรบ้าง จนพี่เขาบอกไม่ต้องทำเลย ให้นั่งอยู่เฉย ๆ ดีกว่า” แม้จะเป็นงานง่าย ๆ แต่กลับเป็นบทเรียนแรกที่สำคัญเกี่ยวกับการทำงานเป็นทีม
เมื่อโตขึ้น ท็อปได้เรียนรู้งานที่หนักขึ้น “พอมาช่วงมอต้น ช่วงปิดซัมเมอร์ยาว ๆ คุณพ่อจะให้เข้าไปในคลังสินค้าแต่เช้า เพื่อเช็คสินค้า ก่อนเอาสินค้าขึ้นรถ แล้วไปส่งของ”
การทำงานตั้งแต่เช้ามืดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย “ตอนนั้นอะเป็นช่วงที่ทุกข์มาก ต้องบอกตรง ๆ เพราะผมไม่เห็นว่าเพื่อนคนไหนต้องทำงานเลย” แต่การเรียนรู้นี้ทำให้เขาเข้าใจธุรกิจได้ลึกซึ้งกว่าคนรุ่นเดียวกัน
งานที่ท้าทายที่สุดคือการติดรถไปส่งของ “บางร้านจ่ายผมเป็นเหรียญบาท จ่ายหลักหมื่นก็เป็นเหรียญบาทหมดเลย ผมก็ต้องนั่งนับ เพราะเงินต้องไม่ขาดเลยแม้แต่บาทเดียว” การนับเงินเหรียญกองโตนี้ ทำให้ท็อปเข้าใจถึงความหมายของเงินทุกบาททุกสตางค์
ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เขาเข้าใจธุรกิจจากมุมมองที่แตกต่าง “และผมก็เข้าใจในส่วนของโปรดักต์มากขึ้น ผมรู้ว่าที่บ้านไม่ได้ขายแค่ซีอิ๊วนะ เรามีสินค้าอื่น ๆ และซีอิ๊วที่เรามีไม่ได้มีแค่ไซส์เดียว เรามีหลากหลายสินค้ามากเลย”
แม้จะเติบโตมากับธุรกิจครอบครัว แต่ท็อปมีความฝันที่แตกต่าง “ตอนแรกผมฝันอยากเป็นนักบิน ผมคิดในใจว่าเป็นนักบินเท่” เขาหัวเราะเมื่อเล่าถึงความฝันในวัยเด็ก
ทางเลือกอื่นคือ “ผมชอบเลี้ยงสัตว์มาก ชอบเล่นกับสัตว์ต่าง ๆ เลยคิดอีกอย่างหนึ่งคือเป็นสัตวแพทย์ดีมั้ย วิศวะเนี่ยห่างไกลมาก จากสิ่งที่เราคิดจะเรียน”
แต่แล้ววันหนึ่งคุณพ่อก็มาคุยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดซีเรียส “ลูกรู้มั้ย ธุรกิจเราไม่แน่นอน วันใดวันหนึ่ง เราอาจจะไม่มีเด็กสมบูรณ์อย่างทุกวันนี้ก็ได้” คำพูดนี้เล่นเอาท็อปตกใจ ก่อนจะเบนสายมาเรยนด้านวิศวอุตสาหการตามที่คุณพ่อชี้แนะ
คำอธิบายของคุณพ่อเกี่ยวกับวิศวกรรมอุตสาหการทำให้ท็อปเข้าใจปรัชญาการทำงาน “คุณพ่อบอกว่าเราต้องใช้ชีวิตแบบเป็ด วิศวะอุตสาหการคือวิศวะแบบเป็ด ที่เดินได้แต่ไม่ได้วิ่งเร็วเหมือนม้า บินได้แต่เทียบกับนกก็ไม่ได้ ว่ายน้ำได้ด้วยแต่ไม่ได้เร็วเหมือนปลา”
“สิ่งที่คุณพ่ออยากให้เรามีความรู้ที่กว้างขวาง แต่เราไม่ต้องลงลึก ส่วนเรื่องของเฉพาะทางต่าง ๆ เราก็จะมีทีมเฉพาะทางที่ปรึกษาอยู่แล้ว”
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นจากการทดลองเล็ก ๆ บนโต๊ะอาหาร “วันนั้นเรากินข้าวกันอยู่บนโต๊ะอาหาร ก็มีซอสซีอิ๊วดำสูตรหนึ่งที่เป็นตัวซีอิ๊วดำแบบหวาน ๆ ที่ใส่ข้าวมันไก่ ผมชิมไปชิมมารู้สึกว่ามันเหมือนคาราเมล”
“ผมเลยลองเอาไปราดกินกับไอศกรีม แล้วผมก็รู้สึกว่ามันไปได้ เลยเอาให้ป๊ากับม๊าชิม” การทดลองง่าย ๆ นี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติ
การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ “ผมก็เลยบอกป๊าขออย่างนี้ได้มั้ย ขอแค่เปลี่ยนฉลากคอขวดให้มีรูปไอศกรีมได้มั้ย แค่บอกเขาว่า เนี่ยกินกับไอศกรีมได้” การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ นี้ได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อที่มีความเป็นสมัยใหม่
แล้วผลลัพธ์ก็ออกมาเกินคาดหมาย “หลังจากนั้นคนก็เลยลองราดซีอิ๊วใส่ไอศกรีม แล้วเกิดเป็นกระแสไวรัลมากมาย จนกระทั่งเรารู้สึกว่าเราเริ่มสร้างดีมานด์ได้แล้ว มีคนเอาด้วยกับเรา มีคนอยากลอง เราก็เลยพัฒนาเป็นไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ อยู่ที่สาขาเยาวราช”
สิ่งที่ไม่คาดคิดคือการได้ร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลก “จริง ๆ จากโปรเจคนั้นก็ไม่คิดว่าเราจะได้มีโอกาสไปคอลแลปกับแมคโดนัลด์ด้วย ตอนนั้นเราทำไอศกรีมหมูหยองน้ำพริกเผาด้วยกัน”
จากจุดนี้ ท็อปเริ่มเห็นโอกาสใหม่ “ผมก็คิดว่าจากจุดนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เราคิดหาอะไรแปลก ๆ นำพาไปสู่โอกาสใหม่ ๆ สู่ธุรกิจใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยคิดฝันว่าเด็กสมบูรณ์จะทำได้”
ความสำเร็จจากไอเดีย ‘ซีอิ๊วราดไอศกรีม’ เปิดประตูให้เด็กสมบูรณ์ก้าวข้ามขอบเขตเดิม “หลังจากนั้นก็มีทั้งซีอิ๊วโซดาเข้าสู่เบฟเวอเรจ มีทั้งเบเกอรี่มีหลายอย่างเยอะมาก ที่เราเริ่มทยอยเข้าไปสู่วงการอื่น ๆ แม้แต่วงการแฟชั่น”
“เราไม่ได้เป็นแบรนด์ที่ทุกคนคิดถึงแค่ซอสอย่างเดียว เราพยายามให้ทุกคนมองเห็นเด็กสมบูรณ์ในมุมอื่น ๆ ที่สนุกมากยิ่งขึ้น”
แต่ไม่ใช่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ระหว่างทางก่อนจะมาถึงวันนี้ ท็อปเคยเจอกับคำพูดที่เจ็บปวดจากลูกค้าท่านหนึ่ง “คุณรู้มั้ย คุณขายสินค้าให้เรา 5-6 ตัว มันเยอะมากเลย แต่เขาขายซอสหอยนางรมตัวเดียว เขาขายได้มากกว่าคุณอีก”
ผลกระทบของคำพูดนี้มีมากกว่าที่คิด “ประโยคนั้นทำให้ผมเจ็บใจมาก เสียใจ ไม่ได้เจ็บใจหรอก มันจี๊ดอะ แล้วมันก็เสียใจมากกับคำพูด ผมก็ได้บอกว่า ไม่เป็นไรครับ แล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไป”
แต่แทนที่จะท้อแท้ ท็อปกลับใช้คำดูถูกนี้เป็นแรงผลักดัน “ผมก็เลยมองว่า โอเค ปีนี้เราทำไม่ได้ แต่เราเพิ่งอายุ 25 เองในตอนนั้น ผมยังมีเวลาที่จะเฟลในช่วงนี้ แล้วผมก็จะพยายามพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง”
สิ่งสำคัญคือท็อปได้เรียนรู้จากการทำธุรกิจ “ทุกคำติชม ผมไม่เคยโกรธ เวลาใครว่าหรืออะไรยังไง ผมเก็บเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวข้ามมันไปมากกว่า อย่าไปโกรธเขาเลย แต่เก็บเป็นแรงผลักดันว่า เมื่อไหร่เราจะลบคำสบประมาทเหล่านี้ไปได้”
มุมมองนี้ไม่ได้มาจากการอ่านหนังสือ แต่มาจากประสบการณ์จริง “สิ่งที่สำคัญคือผมอยากจะเติบโต อยากเก่งขึ้นในทุกปีด้วย ในทุกช่วงจังหวะของชีวิต ไม่อยากจะหยุดอยู่ที่เดิมตลอดไป”
ท็อปไม่ได้แค่นำไอเดียใหม่มาปฏิวัติผลิตภัณฑ์ เขายังสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ด้วยหลัก ‘T.O.P.’ ที่มาจากชื่อเล่นของเขาเอง
T คือ Teamwork – “ผมให้ความสำคัญกับทีมเวิร์คก่อน เพราะผมเชื่อว่าตัวผมเองไม่ใช่ Superman ที่เก่งรอบด้านหรือดีเลิศเลอทุกอย่าง ทีมคือสิ่งที่จะคอยมาเตือนซึ่งกันและกันว่า Point ไหนที่เรา Concern”
การสร้างทีมของท็อปมีเงื่อนไขชัดเจน “ผมไม่ได้ต้องการพนักงานที่เป็นคนดีหรือเป็นคนเก่ง ผมต้องการพนักงานที่มีสปิริตหรือหัวใจที่เป็นดวงเดียวกันกับเรา วันใดวันหนึ่งที่ผมเดินไดเร็คชั่นผิด คุณกล้าที่จะทักว่าคุณท็อปอันนี้ไม่ดีนะ เราควรต้องเป็นแบบนี้”
O คือ Ownership – “ความรู้สึกว่านี่คือกิจการของตัวเอง เด็กสมบูรณ์ไม่ใช่ของผม หรือที่บ้านผม เด็กสมบูรณ์เป็นของทุกคนที่โรงงานที่ออฟฟิศ เด็กสมบูรณ์เป็นของทุกคนไม่ใช่แค่ของผม”
ผลจากการปลูกฝัง Ownership นี้เห็นได้ชัด “คนที่อยู่ในองค์กรผม อยู่กันมานานตั้งแต่รุ่นพ่อ เพราะว่าทุกคนมีโอนเนอร์ชิพ ที่รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เป็นของตัวเองนะ”
P คือ Professionalism – “ลูกค้าโทรมาเกิดปัญหาเสาร์อาทิตย์ เราก็ต้องรับสาย เราก็ต้องเซอร์วิสลูกค้า นี่คือความเป็น Professional ระหว่างเรากับการทำงาน แล้วก็ระหว่างเผมกับทีมงานด้วย”
ท็อปมองว่าการทำงานกับทีมหลายเจเนอเรชั่นเป็นจุดแข็ง “เป็นอะไรที่ผมชอบมาก การบริหารระหว่าง 2 เจน มันก็มีความครีเอทีฟจากเจนใหม่ ๆ ส่วนเจเนอเรชั่นที่ทำมาแต่ก่อน เขามี Experience สูงมาก ซึ่งเราสามารถนำ Experience ต่าง ๆ เหล่านี้มา Blend กับความ Creative ใหม่ ๆ แล้วมันจะเกิดสารบางอย่างที่ลงตัว”
กลไกการทำงานร่วมกันมีระบบชัดเจน โดยเฉพาะการช่วยกันอุดรูรั่ว “อะไรที่อาจจะทำให้เราเดินผิด ผู้บริหารท่านเก่าหรือว่าเจเนอเรชั่นเก่าที่ยังอยู่กับเรามาเนิ่นนานจะคอยแนะนำว่าเราต้องมาอุดรอยรั่วเหล่านั้นจากสิ่งที่เรากำลังจะทำอย่างไรบ้าง”
ท็อปมองการใช้โซเชียลมีเดียในแบบที่ต่างจากผู้บริหารทั่วไป “ผมรู้สึกว่าผู้บริหารเจเนอเรชั่นใหม่ไม่จำเป็นต้องวางตัวเป็นเจ้านาย เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราอยู่ในโลกสมัย 2025 แล้ว ทุกคนก็มีสิทธิเท่าเทียม”
“ผมไม่ใช่แนวลูกผู้บริหารหรือทายาทที่ยิ่งใหญ่มาจากไหน ผมแค่อยากจะเข้าถึงผู้บริโภค อยากจะพูดกับลูกค้าจริง ๆ ยิ่งผมอยู่สูงยิ่งไกลผู้บริโภค โซเชียลมีเดียคือสิ่งที่ทำให้ผมสามารถพูดกับผู้บริโภคทุกคนได้ และเข้าถึงทุกคนได้ง่ายที่สุด”
เมื่อถูกถามเรื่อง Work-Life Balance ท็อปตอบอย่างตรงไปตรงมา “ต้องถามกลับว่า จุดที่ยูฝันที่อยากจะไปถึงคือขนาดไหน ถ้าวันนี้เราอยากมีเงินเดือน 20,000-30,000 บาท ตลอดชีวิตจนเกษียณ 60 ปี โอเค ผมเห็นด้วย”
“แต่ถ้าวันนี้คุณต้องการความสำเร็จมากกว่า ต้องการรายได้ที่มากกว่า คุณก็ต้องแลก เพราะทุกอย่างมันไม่มีอะไรที่ไม่แลกอยู่แล้ว”
บทเรียนสำคัญที่สุดที่ท็อปได้รับจากครอบครัวคือ “คุณปู่ผมจบแค่ป.4 แต่สร้างธุรกิจมาได้ระดับนี้ ทั้งที่เขียนภาษาไทยไม่คล่อง อ่านภาษาไทยไม่ค่อยออก แต่ทำไมคุณปู่ทำคอนแทรคกับร้านค้าอะไรได้มากมาย”
คำตอบอยู่ที่ปรัชญาการทำงาน “คุณปู่ผมไม่เคยกลัวคนเก่งเลย คุณปู่ผมกลัวคนประเภทเดียวคือคนขยัน คุณปู่ผมไม่ได้เป็นคนที่เก่งที่สุดหรอก แต่คุณปู่ผมมั่นใจว่าตัวเองขยันมาก เพราะว่าคุณปู่ผมตื่นตั้งแต่ตี 3 มาเปิดโกดังเอง ขนส่งขึ้นรถ คุมรถ แล้วค่อยอาบน้ำลงมาประชุมขายของ ทำอย่างนี้ตลอดชีวิตของท่าน”
และท็อปก็นำหลักการนี้มาใช้ในชีวิตตัวเอง “อย่างที่ผมบอกว่าผมเองไม่ได้เก่งเพอร์เฟค แต่ผมมั่นใจว่าผมขยันมากที่จะยอมแลกเวลาอื่น ๆ ยอมทำงานดึกแล้วมาเริ่มงานแต่เช้า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ผมยอมแลกตรงนั้นจริง ๆ กับเวลาการพักผ่อนของผมเอง เวลาที่จะได้ใช้ชีวิต ทุกวันนี้เพื่อนผมน้อยลงทุกวัน”
ท็อปไม่ได้หยุดแค่การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ เขามีเป้าหมายที่ใหญ่กว่า “ผมอยากจะนำพาแบรนด์สินค้าของคนไทยไปสู่แบรนด์ระดับโลกให้ได้ อยากให้เด็กสมบูรณ์เป็นที่รู้จักของฝรั่ง เพราะคนต่างชาติรักอาหารไทย รักการทำอาหารไทยอยู่แล้ว”
เขาเชื่อว่าประเทศไทยพร้อมแล้วสำหรับการก้าวสู่เวทีโลกเช่นเดียวกับอาหารญี่ปุ่น “ผมเชื่อว่าทุกอย่างสามารถสำเร็จได้ แต่ว่าเราต้องใช้เวลาในการทำ เช่นเดียวกับกรุงโรมที่ไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว”
เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ทำให้ท็อปมีความสุขในการทำงาน ไม่ใช่ผลประกอบการ แต่เป็นความสำเร็จของทีมงาน “การที่ผมได้เห็นการประสบความสำเร็จของทีมงานในแต่ละย่างก้าว ได้เห็นทีมงานมีบ้าน ซื้อนั่นซื้อนี้ มีเงินดูแลครอบครัว ผมภูมิใจที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุขและประสบความสำเร็จ ผมดีใจมากที่เห็นทุกคนมีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พาลูกไปเที่ยว พาคุณแม่ไปทานข้าวได้ไปเที่ยวได้”
ท็อปมองการดูแลพนักงานในมุมที่กว้างขึ้น “ปัจจุบันเรามีพนักงาน 2,000 คน แต่สิ่งที่ผมมองไม่ใช่แค่ 2,000 คน เพราะแต่ละคนมีครอบครัว มีพ่อแม่ลูก รวมทั้งหมดก็ร่วม 8,000 คน เพราะฉะนั้นจะทำยังไงให้ครอบครัวเขามีความสุขในระหว่างที่ทำงานอยู่กับเด็กสมบูรณ์ แล้วก็จะดูแลกันอย่างนี้ไปนาน ๆ ให้นานที่สุด”
จากเด็กหนุ่มที่เคยติดฉลากขวดในโรงงาน ถึงวันนี้ที่เป็นผู้นำ 8,000 ชีวิต ท็อปไม่เพียงแค่ปฏิวัติแบรนด์เด็กสมบูรณ์ เขายังปฏิวัติแนวคิดการเป็นผู้นำ จากการสั่งงานสู่การสร้างแรงบันดาลใจ จากการเป็นเจ้านายสู่การเป็นโค้ช และจากการมองพนักงานเป็นต้นทุนสู่การมองเป็นครอบครัว
นี่คือมรดกที่ท็อปกำลังสร้าง ไม่ใช่แค่แบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ที่ชื่อว่า ‘เด็กสมบูรณ์’ ที่ทุกคนในนั้นมีโอกาสเติบโต มีโอกาสสมบูรณ์ในชีวิต เหมือนกับปรัชญาที่อยู่ในชื่อแบรนด์นั่นเอง เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า การเปลี่ยนคำดูถูกให้กลายเป็นเชื้อเพลิงแห่งความมุ่งมั่น สามารถนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้จริง
สัมภาษณ์: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ถ่ายภาพ: จุลดิศ อ่อนละมุน