20 ต.ค. 2568 | 18:00 น.
คุณคิดว่าอิสรภาพของมนุษย์อยู่ที่ใด?
มนุษย์มีอิสระเป็นของตนเองจริงหรือ คุณเคยคิดตั้งคำถามเหล่านี้บ้างหรือไม่ ผู้เขียนคิดว่าภายในใจมนุษย์เราทุกคนล้วนปรารถนาอิสรภาพ เสมอเหมือนกับร่างกายที่ต้องการอาหาร หากไม่มีอาหารหล่อเลี้ยงร่างกาย เราก็ย่อมต้องตายในสักวัน จิตใจของมนุษย์เราก็เฉกเช่นเดียวกัน หากความคิดและจิตใจไร้อิสรภาพก็คงไม่ต่างอะไรกับร่างที่ไร้วิญญาณ คำว่าอิสรภาพของเราไม่เท่ากัน บางคนก็ว่าขึ้นอยู่กับเงินตรา ว่ามีมากพอให้ซื้อเวลาหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสังคมทุนนิยม ที่พวกเราต่างเอาเวลาไปแลกกับเงิน ด้วยมีความหวังเล็กๆว่าสักวันคงมีเงินมากพอซื้ออิสรภาพทางเวลาในตนเองได้ใช้ชีวิต
ในที่สุดแม้มีเงินทองกองอยู่มากมายเพียงใด มนุษย์ก็ยังคงมีความโลภไม่สิ้นสุด จากความร่ำรวยก้าวไปสู่อำนาจหรืออำนาจก้าวไปสู่ความร่ำรวยก็ตาม สุดปลายทางเดียวที่เห็นได้ชัดเจนนั้นคือ ความโลภภายในใจของเราจะนำพามนุษยชาติไปสู่หายนะที่คาดที่ไม่ถึง เหมือนกับ ‘ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก’ (Butterfly Effect)
คือแนวคิดหนึ่งใน ‘ทฤษฎีความโกลาหล’ (Chaos Theory) ที่ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในสภาวะเริ่มต้นของระบบที่ซับซ้อน (เช่น การกระพือปีกของผีเสื้อ) สามารถส่งผลให้เกิดความแตกต่างอย่างมหาศาลในระยะยาว
มนุษย์ตระหนักดีว่าความร่ำรวยไม่อาจควบคุมทุกอย่างได้ และสิ่งที่ต้องการตามมาย่อมเป็นอำนาจ เพื่อหวังควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปดังใจคิด และลืมไปว่านั้นก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ควบคุมได้ เพราะอิสรภาพที่แท้จริง สถิตอยู่ในจิตใจของพวกเราทุกคน ดังสุภาษิตไทยที่ว่า ‘จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว’ หากจิตสั่งการร่างกายเป็นอิสระ แม้กายจะถูกกักขังไว้ คนผู้นั้นก็ย่อมมีจิตใจเบิกบาน แม้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ผู้อื่นใดก็ไม่สามารถพรากอิสรภาพนี้ไปได้
เฉกเช่น ‘แอนน์ แฟรงค์’ (Anne Frank) เด็กหญิงชาวเยอรมัน เชื้อสายยิวผู้ที่ถ่ายทอดอิสรภาพผ่านปลายปากกาโดยการเขียนบันทึกประจำวันในห้องขนาด 42 ตารางเมตร มีประโยคน่าประทับใจที่แอนน์ได้เขียนใน วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2487
“สิ่งที่ดีที่สุดคือการที่ฉันสามารถเขียน
ความคิดและความรู้สึกของฉันได้
ไม่อย่างนั้นฉันคงจะหายใจไม่ออกแน่ ๆ”
แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะมีอิสระไม่ว่าทางใดทางหนึ่งของการเป็นมนุษย์
แอนน์ แฟรงค์ มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะผู้เขียนบันทึกประจำวัน ซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือ บรรยายเหตุการณ์ขณะหลบซ่อนตัวจากการล่าชาวยิวในประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยถูกเยอรมันเข้าครอบครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แอนน์และครอบครัวหลบซ่อนภายในห้องแคบที่เรียกว่า ‘ที่ซ่อนลับ’ (The Secret Annex) ซึ่งเป็นห้องที่อยู่ด้านหลังอาคารสำนักงานในอัมสเตอร์ดัม
โต๊ะทำงานของแอนน์และไฟเฟอร์ (Photo : annefrank.org)
แอนน์ แฟรงค์ เกิดที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมันนี เกิดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2472 เป็นบุตรีคนที่สองของออตโต แฟรงค์ และเอดิธ แฟรงค์ ฮอลเลนเดอร์ มีพี่สาว 1 คน ชื่อ มาร์กอธ แฟรงค์
ครอบครัวแฟรงค์ฐานะค่อนข้างดีและยังเป็นชาวยิวหัวก้าวหน้า เอดิธเป็นแม่ที่เข้มงวดจึงเลี้ยงดูลูกๆอย่างเอาใจใส่ ส่วนออตโตผู้พ่อเคยเป็นนายทหารเยอรมันช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้มีความสนใจเกี่ยวกับความรู้วิชาการ ดังนั้นในบ้านของแอนน์จึงมีห้องสมุดขนาดใหญ่เป็นของตัวเอง เธอจึงมีโอกาสอ่านหนังสือมากมาย ได้เรียนภาษาต่างประเทศ และได้ดูภาพยนตร์หลายเรื่อง ส่งผลให้เธอกลายเป็นเด็กช่างคิด ช่างฝัน นอกจากฝันอยากเป็นนักเขียนแล้ว เธออยากเป็นนักแสดงอีกด้วย เพราะการสนับสนุนที่ดีทั้งพ่อและแม่ของเธอ
ครอบครัวแฟรงก์มีชีวิตที่สงบสุขเรื่อยมา จนกระทั้งพรรคนาซีขึ้นสู่อำนาจ ในวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2476 ในขณะนั้นแอนน์อายุเพียง 4 ขวบ มีการเลือกตั้งในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต สิ่งที่ไม่คาดคิดคือพรรคนาซีของ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ (Adolf Hitler) ชนะการเลือกตั้ง มีการออกกฎหมายต่อต้านชาวยิวแทบในทันที เพราะเชื่อว่ายิวเป็นชนชาติที่เบียดเบียนและเอารัดเอาเปรียบคนเยอรมัน โดยเริ่มออกกฎหมายลิดรอนเสรีภาพของชาวยิว และ สถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ในปีนั้นชาวยิวอีกกว่า 300,000 คนอพยพออกจากเยอรมนีระหว่างปี พ.ศ. 2476 - 2482 รวมถึงครอบครัวแฟรงค์ด้วย เพราะพวกเขาเริ่มกังวลอาจเกิดอะไรขึ้น หากยังอาศัยอยู่ในเยอรมัน ทำให้เอดิธและเด็ก ๆ ตัดสินใจเดินทางไปยังเมือง อาเคิน (Aachen) เพื่ออาศัยอยู่กับมารดาของเอดิธ คือนางโรซา ฮอลเลนเดอร์ ส่วนออตโต แฟรงค์ ส่วนออตโตผู้เป็นพ่อยังคงอยู่ในเมืองแฟรงก์เฟิร์ตต่อไป แต่ไม่นานนักออตโตก็ได้รับข้อเสนอจากบริษัทแห่งหนึ่งในอัมสเตอร์ดัมในประเทศเนเธอร์แลนด์
ทำให้เวลาต่อมา ออตโต แฟรงค์ จึงย้ายไปที่อัมสเตอร์ดัม เพื่อเริ่มทำบริษัทโอเพคทาซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายผลไม้ เขามีห้องพักอาศัยแห่งหนึ่งบริเวณจัตุรัสแมร์เวเดอ (Merwedeplein) ในกรุงอัมสเตอร์ดัม เอดิธกับลูก ๆ มาถึงอัมสเตอร์ดัมในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2477 ขณะนั้นแอนน์มีอายุ 5 ขวบ จากนั้นเด็กหญิงทั้งสองได้เข้าโรงเรียน โดยมาร์กอธได้เข้าโรงเรียนรัฐแห่งหนึ่ง ส่วนแอนน์ได้เข้าโรงเรียนแบบมอนเตสโซรี (Montessori) มาร์กอธมีความสามารถพิเศษด้าน พีชคณิต
ส่วนแอนน์ชอบการอ่านและเขียนหนังสือ เพื่อนคนหนึ่งของเธอคือ ฮันเนอลี กอสลาร์ เล่าถึงเรื่องในวัยเด็กภายหลังว่า แอนน์มักเขียนหนังสืออยู่เสมอ เธอจะเอามือป้องบังงานของเธอเอาไว้และไม่ยอมพูดถึง
ครอบครัวฟรังค์อาศัยอยู่ในประเทศเนเธอแลนด์ได้ประมาณ 4 ปี ในปี พ.ศ. 2481 ซึ่งในขณะนั้นแอนน์อายุได้ 9 ขวบ ออตโต แฟรงค์ เริ่มทำบริษัทเพคทาคอนเป็นบริษัทที่สอง เขาเป็นผู้แทนจำหน่ายสมุนไพร เกลือ และเครื่องเทศต่าง ๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตไส้กรอก และได้ว่าจ้างแฮร์มันน์ ฟัน แป็ลส์ มาเป็นที่ปรึกษาทางด้านเครื่องเทศ ซึ่งเป็นพ่อค้าสัตว์ชาวยิวที่พาครอบครัวหนีจากเยอรมนีเช่นเดียวกัน แม้กิจการไม่ดีนัก แต่มีเงินเพียงพอส่งลูกสาวทั้งสองคนเรียนหนังสือและใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบาก ต่อมาในปี พ.ศ. 2482 ขณะนั้นแอนน์มีอายุได้ 10 ขวบ แม่ของเอดิธคือ นางโรซา ฮอลเลนเดอร์ ได้ย้ายมาอยู่กับครอบครัวแฟรงค์เป็นระยะเวลา 3 ปี จนกระทั่งเสียชีวิตลงในเดือนมกราคม พ.ศ. 2485
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2483 ขณะนั้นแอนน์มีอายุ 11 ขวบ เยอรมันนีรุกรานเข้ามาที่เนเธอร์แลนด์คุกคามชาวยิว โดยบังคับใช้กฎหมายเหยียดชนชาติอย่างไม่เป็นธรรม มีการขึ้นทะเบียนและแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน มาร์กอธและแอนน์เป็นเด็กเรียนดี ในใจของเด็กทั้งสองคงมีความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย ที่กฎหมายไม่เป็นธรรมกับพวกเธอ ทำให้ต้องจากสังคมและเพื่อนที่คุ้นเคย และย้ายไปอยู่ศูนย์ศึกษาของชาวยิว อีกทั้งต้องติดสัญลักษณ์ดาวหกแฉกที่แสดงตัวว่าเป็นคนยิวด้วย
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2484 ขณะนั้นแอนน์มีอายุ 12 ขวบ ออตโต แฟรงค์ผู้เป็นพ่อพยายามปกป้องบริษัทเพคทาคอน บริษัทที่ 2 ของเขาที่สร้างขึ้นด้วยการจำใจโอนหุ้นของเขาไปให้ ‘โยฮันเนิส ไกลมัน’ ซึ่งเป็นผู้ช่วยของเขา จากการถูกยึดกิจการของนาซีเนื่องจากเป็นธุรกิจของชาวยิว แล้วลาออกจากตำแหน่งกรรมการในเวลานั้น ทำให้ทรัพย์สินบริษัทของเขาทั้งหมดจึงถูกโอนไปยังบริษัทคีสและคณะ ซึ่งมี ยัน คีส เป็นเจ้าของ
และในปีเดียวกันคือ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2484 ออตโตทำอย่างเดียวกันกับบริษัทเพคทาคอน บริษัทแห่งที่ 2 โดยโอนหุ้นส่วนที่เขามีของบริษัทโอเพคทาให้ผู้อื่น เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างไม่น่าสงสัย เพื่อให้ยังสามารถมีรายได้ดำรงชีพของครอบครัวถึงจะไม่มากก็ตาม
ต้นปี พ.ศ. 2485 ของเดือนมกราคม ยายของแอนน์คือ ‘นางโรซา ฮอลเลนเดอร์’ ก็เสียชีวิตลง ก่อนจะถึง วันเกิดปีที่ 13 ของแอนน์ เธอได้รับของขวัญจากพ่อเป็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่งลักษณะ “เป็นปกผ้าสีแดง-เขียวลายสก็อต ผูกเงื่อนเล็ก ๆ ไว้ด้านหน้า”
แอนน์ตัดสินใจว่าจะใช้สมุดเล่มนี้เป็นสมุดบันทึก เธอเริ่มต้นเขียนตั้งแต่ตอนนั้นโดยเนื้อหาส่วนมากเกี่ยวกับเรื่องราวทั่วไปในชีวิต แต่แอนน์ก็ได้บันทึกความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเนเธอร์แลนด์หลังจากเยอรมนีเข้ายึดครอบครองไว้ด้วย
ในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2485 เธอบันทึกรายการข้อห้ามต่าง ๆ ที่บังคับใช้กับพลเมืองชาวดัตช์ที่เป็นยิว รวมทั้งบันทึกความเศร้าโศกการจากไปของยายเมื่อช่วงต้นปี ถึงสถานการณ์การกดขี่ที่นาซีใช้กับชาวยิวจะไม่สู้ดีนัก แต่ก็ไม่อาจหยุดความใฝ่ฝันของแอนน์ที่อยากเป็นนักแสดง เพราะเธอชอบดูภาพยนตร์ แม้ในเวลานั้นชาวดัตช์เชื้อสายยิวถูกสั่งห้ามเข้าโรงภาพยนตร์ตั้งแต่ 8 มกราคม พ.ศ. 2484 นั้นเป็น 1 ปีก่อนหน้าที่เธอจะสูญเสียยายของเธอ ซึ่งในขณะนั้นแอนน์มีอายุเพียง 12 ขวบ
จุดผกผันของครอบครัวแฟรงค์เกิดขึ้นเมื่อมาร์กอธ ลูกสาวคนโตของบ้านได้รับหมายเรียกให้ไปรายงานตัวเพื่อเข้าไปทำงานในค่ายกักกันเร็วขึ้นกว่าที่คาดไว้หลายสัปดาห์ ทำให้พวกเขาต้องรีบเร่งการซ่อนตัวเร็วกว่าที่คิดไว้ และทุกคนต่างรู้ดีว่าหากไปค่ายกักกันตามหมายท้ายที่สุดต้องลงเอยด้วยการถูกฆ่า ในเช้าของวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2485 ครอบครัวแฟรงค์ทิ้งจดหมายไว้ว่าได้หนีออกจากประเทศเนเธอร์แลนด์อย่างกะทันหัน โดยทิ้งห้องพักไว้ในสภาพยุ่งเหยิง ให้ดูเหมือนว่าพวกเขารีบเร่งจากไปในทันที และจำเป็นต้องทิ้งโมร์เจอ (แมวของแอนน์) เอาไว้เพื่อเป็นการรักษาความลับ ชาวยิวไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้รถขนส่งสาธารณะ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเดินจากบ้านเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร แต่ละคนสวมเสื้อผ้าซ้อนกันหลายชั้นเพราะพวกเขาไม่กล้าถือกระเป๋าเดินทางไปด้วย ที่ซ่อนของพวกเขาคือ ‘ห้องลับ’ (Secret Annexe) เป็นพื้นที่ว่างสามชั้น ภายในมีห้องเล็ก ๆ มีห้องอาบน้ำและห้องส้วมในตัว ทางเข้าถูกบังไว้ด้วยตู้หนังสือ เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่ถูกค้นพบ
ผู้ให้ความช่วยเหลือเป็นบรรดาพนักงานของออตโต พวกเขาคอยรายงานสถานการณ์สงครามและการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และจัดเตรียมสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน เพื่อให้แน่ใจว่าครอบครัวแฟรงค์สามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยและมีอาหารเพียงพอ แต่นับวันจะยิ่งเสาะหาอาหารได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ แอนน์เขียนถึงความเสียสละและความพยายามของพวกเขาเสมอ ที่พยายามปลอบโยนจิตใจของคนในบ้านตลอดช่วงระยะเวลาอันแสนอันตรายนั้น ทุกคนต่างรู้ดีว่า หากถูกจับได้ พวกเขาจะมีโทษถึงประหารในฐานให้ที่พักพิงแก่ชาวยิว
ในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2485 มีครอบครัว ‘ฟัน แป็ลส์’ (Van Pels) อีก 3 ชีวิต มาร่วมชายคาเดียวกัน โดยพวกเขาทั้งหมดได้รับความช่วยเหลือจากพนักงานในบริษัทที่พ่อของแอนน์ ได้มาอาศัยร่วมกับครอบครัวแฟรงค์ ได้แก่ แฮร์มันน์, เอากุสต์ และเปเตอร์ลูกชายอายุ 16 ปี ในเดือนพฤศจิกายนพวกเขาก็ได้ ‘ฟริทซ์ ไฟเฟอร์’ (Fritz Pfeffer) ทันตแพทย์ชาวยิวเข้ามาอยู่ด้วย โดยแอนน์บันทึกว่าเธอดีใจที่มีเพื่อนคุยด้วย แต่การมีคนจำนวนมากอยู่ร่วมกันในที่แคบ ๆ ทำให้เกิดความเครียด แอนน์ใช้ห้องร่วมกับไฟเฟอร์ เธอทนเขาไม่ได้และรำคาญที่ต้องอยู่ร่วมกับเขา แอนน์กับไฟเฟอร์ทะเลาะกันเสมอ แอนน์ให้ความเห็นว่าเขาโง่เง่า เป็นคนเห็นแก่ตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการแบ่งปันอาหาร
ไม่นานนัก แอนน์เริ่มมีความสัมพันธ์อันดีกับเปเตอร์ ผู้ที่แอนน์มองว่าเขาขี้อายและเชื่องช้า แต่แล้วทั้งสองก็เริ่มตกหลุมรักกัน แต่รักของเธอก็ค่อยๆจืดจางลง และเธอเริ่มตั้งคำถามต่อความรู้สึกของเธอกับเปเตอร์นั้นจริงแค่ไหน หรือเพียงพวกเขาได้อยู่ร่วมกันในที่แห่งเดียวกัน หลังจากการซ่อนตัวเป็นระยะเวลาหนึ่ง แอนน์ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจดชีวิตประจำวันลงในสมุดบันทึก โดยไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่เธอจะเข้ามาซ่อนในห้องลับ แอนน์คิดถึงเพื่อนๆ ของเธอมาก จึงเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆ เป็นจดหมายส่งให้เพื่อนๆ ในจินตนาการของเธอนั้น คือ‘คิตตี้’ และเป็นเพื่อนคนโปรดของแอนน์ แอนน์ได้หยิบยืมคาแรกเตอร์และชื่อของคิตตี้มาจากหนังสือชุด Joop ter Heul ของนักเขียนชาวดัตช์ และตั้งเป็นชื่อสมุดบันทึกของเธอ
ในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2485 เธอเขียนถึง “ความเสื่อมศรัทธา” ที่มีต่อแม่ ทั้งยังไม่สามารถ “ประจันหน้ากับความเย็นชา และหัวใจที่แข็งกระด้าง” ของแม่เธอได้ ก่อนจะสรุปว่า “เขาไม่ใช่แม่สำหรับฉัน” แต่เมื่อเธอทบทวนสมุดบันทึกอีกครั้ง แอนน์รู้สึกละอายกับทัศนคติแย่ ๆ ของตน เธอบันทึกว่า
“แอนน์ นั่นเธอหรือที่จงเกลียดจงชังขนาดนั้น
โอ้ แอนน์ เธอทำได้อย่างไร?”
จากนั้นก็เริ่มปฏิบัติต่อมารดาด้วยความเคารพมากยิ่งขึ้น นั้นอาจเพราะด้วยการโตขึ้นของแอนน์จึงมีความคิดที่เปลี่ยนไป ถึงมาร์กอธและแอนน์จะต้องหลบซ่อนในห้องแคบๆโดยที่ไม่รู้เลยว่า สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญจะไปสิ้นสุดที่ใด แต่พวกเธอไม่เคยหมดหวังว่าจะได้กลับไปโรงเรียนเพื่อเรียนอีกครั้ง ในการซ่อนตัวแอนน์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านและเล่าเรียน โดยยังเขียนและแก้ไขบันทึกของเธออยู่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนอกเหนือจากการบรรยายเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่พวกเขาประสบแล้ว เธอยังบรรยายถึงความรู้สึกของเธอ ความเชื่อ ความปรารถนา และเรื่องต่าง ๆ ที่เธอไม่กล้าปรึกษาหารือกับใคร เมื่อเธอมีความมั่นใจในการเขียนหนังสือมากขึ้น เธอก็เริ่มบรรยายถึงเรื่องราวเชิงนามธรรม และเธอไม่ลืมที่จะเขียนบันทึกอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
จนวันหนึ่งในปี พ.ศ. 2487 ขณะนั้นแอนน์มีอายุได้ 15 ปี เธอได้ลักลอบฟังประกาศทางวิทยุจากช่อง Radio Oranje วันนั้น ‘ฟริทซ์ โบลเคสแตง’ (Frits Bolkestein) รัฐมนตรีชาวดัตช์ที่หลบหนีไปลอนดอนขอให้ประชาชนชาวดัตช์รวบรวมบันทึกและเอกสารสำคัญเอาไว้ เผื่อว่าในวันที่สงครามสิ้นสุดลง สิ่งเหล่านั้นจะเป็นหลักฐานสำคัญ ช่วยบอกเล่าสิ่งที่ชาวดัตช์เผชิญให้โลกรู้ นั่นทำให้แอนน์เริ่มรีไรต์บันทึกของตัวเองอีกครั้ง โดยตัดพวกความรู้สึกและเรื่องส่วนตัวมาก ๆ ออกไป ทำเป็นงานเขียนเชิงบันทึกที่รอวันตีพิมพ์เมื่อสงครามสิ้นสุด
โดยเธอตั้งชื่อเรื่องว่า The Secret Annex ที่แปลว่า ห้องลับส่วนต่อเติมงานเขียนชิ้นนี้ยังไม่มีตอนจบ บันทึกหน้าสุดท้ายของแอนน์ลงวันที่ไว้เมื่อ 1 สิงหาคม พ.ศ.2487 ซึ่งเป็น 3 วันก่อนที่เธอจะถูกจับกุม วันนั้นตำรวจเยอรมันพบที่ซ่อนลับของพวกเขา เพราะมีผู้ไม่ประสงค์ออกนามแจ้งเบาะแส ทำให้ทุกคนในที่ซ่อนและพนักงานผู้ช่วยเหลือบางส่วนถูกจับกุม และต้องนั่งรถไฟไปยังค่ายกักกัน หลังจากนั้นแอนน์ก็ไม่เคยได้กลับมาเขียนบันทึกของเธออีกเลย เพราะแอนน์ มาร์กอธ และแม่ของเธอคือเอดิธได้ป่วยและเสียชีวิตในค่ายกักกัน ก่อนที่ทหารอังกฤษจะมาปลดปล่อยชาวยิวเพียง 1 สัปดาห์
ในสมุดบันทึกของเธอมีประโยคที่จับใจผู้คนคือ
“ที่ใดมีความหวัง ที่นั่นมีชีวิต
มันเติมเต็มความกล้าหาญและทำให้เราแข็งแกร่งอีกครั้ง”
เป็นข้อความที่แอนน์เขียนเอาไว้ขณะหลบซ่อนตัว นั้นแสดงให้เห็นว่าเธอยังมีความหวังเสมอว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระอีกครั้ง แอนน์ใช้ทุกวินาทีของเธออย่างมีค่าและไม่ปล่อยให้วันคืนล่วงเลยไป โดยปราศจากอิสรภาพทางความคิดของเธอ แอนน์มักใช้เวลาช่วงบ่ายในการเขียนบันทึกหรือเรียนสิ่งต่างๆ ที่เธอสนใจอยู่เสมอ
ในสมุดบันทึกเต็มไปด้วยเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก ความรู้สึกต่อผู้คน เรื่องส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เธอตกตะกอนได้ในแต่ละวัน รวมถึงนิทานอีก 34 เรื่อง อีกทั้งนิยายที่เขียนค้างไว้เพราะเธอไม่มีวันได้หวนกลับมาเขียนต่อ ประโยคประทับใจจากหนังสือที่เธออ่าน เธอก็บันทึกมันลงไว้ในนั้นด้วยเช่นกัน แม้แอนน์จะไม่มีโอกาสได้มีอิสรภาพหลังจากนาซีล่มสลายในการใช้ชีวิตด้วยการมีชีวิตอยู่ แต่จิตวิญญาณและหัวใจของแอนน์ไม่เคยถูกกักขัง เธอมีอิสรภาพเช่นนั้นเสมอมา เรื่องราวของเธอจะหลง (ไม่) หายในการเวลา ไว้อาลัยแด่ แอนน์ แฟรงค์ และทุกดวงวิญญาณที่จากไปในช่วงเวลาที่โหดร้ายของนาซี ขอให้ท่านมีอิสรภาพชั่วนิรันดร์
อ้างอิง
The Anne Frank House. The diary.
The Anne Frank House. The Secret Annex.
บันทึกลับของ ‘แอนน์ แฟรงค์’ เด็กหญิงที่ยังคงมีหวัง แม้สงครามจะโหดร้าย .