14 ต.ค. 2568 | 19:00 น.
KEY
POINTS
คำว่า ‘ทำลายล้าง’ มักสร้างภาพในหัวในแบบที่เลวร้าย ไม่ว่าจะเป็นประกายไฟที่แผดเผา รัศมีแรงระเบิด พื้นที่ป่าหรือบ้านเมืองที่ราบเป็นหน้ากลอง หรือควันระบาดรูปทรงเหมือนกับดอกเห็ด เพราะความหมายในตัวของมันเองนั้น บ่งชี้ถึงการทุบทำลายหรือการถอนรากถอนโคนสิ่งเก่าให้ขยัลเปลี่ยนหรือมลายหายจากสถานะเดิมที่คงอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าการทำลายล้างทุกรูปแบบนั้นจะส่งผลเสียเสมอไป
ทฤษฎีวิวัฒนาการ (The Theory of Evolution) และกระบวนการเลือกสรรโดยธรรมชาติ (Natural Selection) ของ ‘ชาลส์ ดาร์วิน’ (Charles Darwin) ช่วยอธิบายการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตบนผืนโลกว่าไม่ต่างอะไรจากการแข่งขันเพื่อดำรงอยู่ โดยมีสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิต หรือเพื่อนร่วมสายพันธุ์เป็นบททดสอบ และแน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตที่ ‘อ่อนแอ’ ก็ย่อมร่วงหายตามทาง แต่ท้ายที่สุดนั้น ผลของการเลือกสรรก็คือการได้มาซึ่งสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่ต้องเดินหน้าต่อสู้เพื่อความดำรงอยู่ของตนเองต่อไป เพราะท้ายที่สุดนั้นมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่อยู่รอด
ในการอยู่ร่วมกันของสังคม การทำลายล้างก็มีสองบทบาทและความหมาย หากดำเนินไปตามครรลองฉบับเลวร้ายดังที่กล่าวไปตอนแรกสุด ปลายทางก็หนีไม่พ้นโศกนาฏกรรมที่ต้องจารึกด้วยบาดแผลและความสูญเสีย ทว่าหากถูกประยุกต์ใช้ให้ ‘สร้างสรรค์’เพื่อเป็นกลไกที่จะช่วยเฟ้นหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับสังคม ก็อาจนำมาซึ่งผลประโยชน์กับมวลมนุษย์ในระยะยาวได้
กล่าวให้เห็นภาพ ‘เครื่องพิมพ์ดีด’ (Typewriter) ถือเป็นสิ่งที่ถูกทำลายล้างอย่างสมบูรณ์โดยสิ่งประดิษฐ์อย่าง ‘คอมพิวเตอร์’ (Computer) ที่มาพร้อมกับความสามารถในการทำงานที่ทั้งมีประสิทธิภาพ ผลิตภาพ และยืดหยุ่นกว่าหลายเท่าตัว คุณลักษณะที่น่าเย้ายวนใจต่อผู้ใช้มากกว่าของคอมพิวเตอร์และทำให้เครื่องพิมพ์ดีดถูกทิ้งไว้เป็นเทคโนโลยีของอดีต คือภาพสะท้อนปรากฎการณ์ของ ‘การทำลายล้าง’ ที่ถูกผนวกเข้ากับ ‘ความสร้างสรรค์’ จนกลายเป็นแนวคิด ‘การทำลายล้างอันสร้างสรรค์’ (Creative Destruction) ที่เสนอโดย ‘โจเซฟ ชุมเพเทอร์’ (Joseph Schumpeter)
ทั้งแนวคิดและนามสกุลของเขานับว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญของสายธารของแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะในมิติของนวัตกรรมและจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการที่มองว่าระบบทุนนิยมและเศรษฐกิจคือสิ่งที่ต้องก้าวเดินผ่านความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เพื่อขยับเข้าหาสิ่งที่ดีและตอบโจทย์สังคมมากกว่าเดิม ไม่ต่างอะไรทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน ที่ถวิลหาสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าและยอมกำจัดสิ่งที่อ่อนแอกว่าไป
แม้จะผ่านไปเกิดแปดทศวรรษ แต่แนวคิดของชุมเพเทอร์ก็ยังถูกหยิบยกมากล่าวถึงและสานต่อเรื่อยมา ในรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี 2025 (The Sveriges Riksbank Prize in Economic Sciences in Memory of Alfred Nobel) ที่มอบให้แก่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนอย่าง ‘โจเอล มอเคียร์’ (Joel Mokyr), ‘ฟิลิปป์ อากีอง’ (Philippe Aghion) และ ‘ปีเตอร์ ฮาวอิตต์’ (Peter Howitt) จากการขยายความเข้าใจเรื่อง ‘การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม’ ก็ล้วนมีรากฐานมาจากแนวคิด ‘การทำลายล้างอันสร้างสรรค์’ ที่จะเป็นอย่างยิ่งต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
นี่คือเรื่องราวของนักเศรษฐศาสตร์ที่ชวนให้ตั้งคำถามในสิ่งเดิมเพื่อขยับสังคมไปข้างหน้าด้วยการ ‘ทำลายล้าง’ อย่าง ‘สร้างสรรค์’
“ผมหมายมั่นจะเป็นยอดนักรักแห่งเวียนนา
นักขี่ม้าที่ไร้เทียมทานที่สุดในออสเตรีย
และนักเศรษฐศาสตร์ที่ปราดเปรื่องที่สุดในโลก
แต่น่าเสียดาย ที่ผมไม่เคยเป็นนักขี่ม้าอันดับหนึ่งเลย”- โจเซฟ ชุมเพเทอร์
‘โจเซฟ อาลอยส์ ชุมเพเทอร์’ (Joseph Alois Schumpeter) เกิดปี 1883 ที่เมืองเทรชท์ แคว้นโมราเวีย ในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เติบโตในครอบครัวชนชั้นกลาง เข้าเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยเวียนนา ได้ซึมซับบรรยากาศทางความคิดของสำนักออสเตรียและใกล้ชิดอาจารย์สำคัญอย่าง ‘อูเกิน ฟอน เบิม-บาแวร์ก’ (Eugen von Böhm-Bawerk) จบปริญญาเอกปี 1906 ก่อนเริ่มต้นเส้นทางนักวิชาการ
ในช่วงเริ่มต้นบนเส้นทางอาชีพการทำงาน เขาสอนที่เชอร์โนวิตซ์ กราซ และบอนน์ แต่ชีวิตของเขาไม่ได้อยู่เพียงแค่รั้วมหาวิทยาลัยเท่านั้น เพราะชุมเพเทอร์ได้ก้าวสู่การเมืองในฐานะรัฐมนตรีคลังออสเตรียช่วงสั้น ๆ ปี 1919 จากนั้นไปรับตำแหน่งผู้บริหารธนาคารเอกชนในเวียนนา ประสบการณ์ตรงกับโลกการเงินที่ทั้งพุ่งขึ้นและล้มลงในทศวรรษ 1920 ซึ่งจากมุมมองของเขาที่ชื่อในการลองเสี่ยง เขาได้ใช้ตำแหน่งของตนเพื่อลงทุนกับธุรกิจสารพัด จนทำให้มีหนี้ท่วมหัวและใช้เวลาหลายปีในการสะสางทั้งหมด
ปลายทศวรรษ 1920 ต่อเนื่องถึงต้นทศวรรษ 1930 เขาโยกย้ายสู่สหรัฐฯ ชุมเพเทอร์เข้าสอนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในปี 1932 ได้สัญชาติอเมริกันในปี 1939 และอยู่ที่นั่นจนเสียชีวิตในปี 1950 ระหว่างนั้นเขามีบทบาทสำคัญในวงวิชาการอเมริกัน ได้รับเลือกเป็นประธานสมาคมเศรษฐศาสตร์อเมริกัน (American Economic Association) ในปี 1947
ผลงานหลักที่วางโครงความคิดของเขาอย่างชัดเจน ได้แก่ The Theory of Economic Development (1934) ที่อธิบายบทบาทผู้ประกอบการและนวัตกรรมในการผลักระบบให้เคลื่อนไหว, Business Cycles (1939) ที่เสนอภาพคลื่นวัฏจักรเศรษฐกิจหลายชั้น และ Capitalism, Socialism and Democracy (1942) ที่ทำให้แนวคิดการทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์ (สิ่งที่เราจะกล่าวถึงในลำดับต่อไป) กลายเป็นคำอธิบายกระแสหลักของความก้าวหน้าทางทุนนิยม
ก่อนจากไป ชุมเพเทอร์ได้เขียนงานในหัวข้อ History of Economic Analysis ซึ่งตีพิมพ์หลังเสียชีวิตในปี 1954 และกลายเป็นหมุดหมายด้านประวัติศาสตร์ความคิดเศรษฐศาสตร์ ทิ้งภาพนักเศรษฐศาสตร์ที่มองเศรษฐกิจแบบไม่หยุดนิ่ง แต่กระหายการสร้างสรรค์จากผู้ประกอบการและนวัตกรรมมาขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
แตกต่างจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์ตามขนบของ ‘อัลเฟรด มาร์แชล’ (Alfred Marshall) และ ‘วิลเลียม สแตนลีย์ เจวอนส์’ (William Stanley Jevons) ที่มองว่าเศรษฐกิจคือสิ่งที่คงที่และเดินหน้าขยับตัวเองเข้าหา ‘จุดดุลยภาพ’ (Equlibrium) รวมถึงแตกต่างจาก ‘จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์’ (John Maynard Keynes) ที่คิดว่าเศรษฐกิจที่ดีคือเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพและคงที่ โดยเฉพาะเมื่อมีการสนับสนุนจากธนาคารกลาง (Central Bank) ผ่านนโบบายการเงิน (Monetary Policy) เพราะชุมเพเทอร์มองว่าเศรษฐกิจคือการเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ แถมยังสมควรที่จะต้องเปลี่ยนแปลง
ไม่ใช่ว่าการขยับตัวเขาหาจุดดุลยภาพตามขนบของมาร์แชลและเจวอนส์เป็นเรื่องที่ผิด ทว่าหากยึดโยงตามข้อสรุปดังกล่าวก็เปรียบเสมือนกับการมองเศรษฐกิจผ่าน ‘รูปภาพ’ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงนั้นมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เฉกเช่นเดียวกับ ‘ภาพยนตร์’ ที่เป็นการนำเอารูปภาพจำนวนมหาศาลมาเรียงต่อกันจนเกิดเป็นความเคลื่อนไหว
ธรรมชาติของเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมคือการแข่งขันภายในตลาดที่จะส่งผลให้อุปสงค์และอุปทานขยับเข้าสู่จุดดุลยภาพ ซึ่งจะนำไปสู่ราคาและปริมาณนั้น ๆ ตามระดับของดุลยภาพ นี่คือการแข่งขันกันในมิติของการผลิตซึ่งจะส่งผลต่อราคาและปริมาณ แต่ในขณะเดียวกัน ไม่ได้มีเพียงแค่มิติของ ‘รูปภาพ’ ดังที่อธิบายไปก่อนหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการแข่งขันในมิติของ ‘ภาพยนตร์’ ด้วย
เพราะในทุก ๆ ช่วงเวลาที่ผ่านไปย่อมมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ และผู้ที่สามารถสร้างสิ่งใหม่ได้ก่อน ก็มักจะสามารถกอบโกยผลประโยชน์ได้อย่างมหาศาล จึงเป็นแรงจูงใจให้ผู้คนสร้างสรรค์สิ่งใหม่หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘นวัตกรรม’ (Innovation) ที่จะทำให้บริบทของตลาดเดิมเปลี่ยนแปลงไป และการแข่งขันกันในมิติของนวัตกรรมนี้ เมื่อนำมาวางต่อกันก็จะเปรียบเสมือนกับการนำภาพถ่ายที่ถูกเรียงร้อยต่อกันจนกลายเป็นภาพยนตร์
เพราะในขณะที่ผู้คนแข่งขันกันว่าใครจะสามารถผลิตตะเกียงน้ำมันได้มากที่สุดหรือรถม้าในราคาถูกที่สุด อาจมีบางคนกำลังลงทุนและประดิษฐ์หลอดไฟหรือรถยนต์อยู่
โลกที่พลวัตไปย่อมมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น และทำให้สิ่งเดิมถูกท้าทายให้ปรับตัว
หรือแม้แต่ถูกทำให้กลายเป็นประวัติศาสตร์
ภายในหนังสือ ‘Capitalism, Socialism, and Democracy’ ที่ตีพิมพ์ในปี 1942 ภายในบท ‘The Process of Creative Destruction.’ โจเซฟ ชุมเพเทอร์ ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับเศรษฐกิจว่ามันอยู่กับที่และขยับเข้าหาจุดดุลยภาพจนกว่ากำไรส่วนเกินจะหมดไป ทว่าเขากลับมองว่าความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมักเกิดขึ้นแบบไม่ต่อเนื่อง ฉับพลัน และไม่ได้ราบรื่นหรือสงบเสมอไป ผ่านปรากฎการณ์ที่เรียกว่า ‘การทำลายล้างอันสร้างสรรค์’ หรือ ‘Creative Destruction’
ทว่าการทำลายล้างที่ว่านี้ไม่ใช่การทำลายอย่างหฤโหดดังที่เกิดขึ้นจากสงคราม แต่เกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างสิ่งเก่ากับสิ่งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแบบใหม่ การผลิตแบบใหม่ หรือแม้แต่ช่องทางการผลิตแบบใหม่ ที่สามารถสร้างประโยชน์หรือทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม ซึ่งเป็นการทำลายที่เกิดจากนักประดิษฐ์ นักคิด นักลอง ได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา
ชุมเพเทอร์มองว่าธรรมชาติของระบบทุนนิยมคือการปฏิวัติไม่รู้จบ จากสำนึกของการแข่งขันหรือจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการดังที่ตัวเขานิยามในภาษาเยอรมันว่า ‘Unternehmergeist’ ซึ่งจะทำหน้าที่ท้าทายลำดับชั้นทางสังคมและเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น ๆ ให้มีการปรับตัวและไม่คงอยู่อย่างแน่นิ่งบนชัยชนะ (เดิม) ของตนเอง
ในอีกนัยหนึ่ง แนวคิดการทำลายล้างอันสร้างสรรค์โดยชุมเพเทอร์ก็มีความคล้ายคลึงกับหลักการทางชีววิทยาเช่นทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน จากบริบทของโลกที่วิวัฒน์ไปข้างหน้าโดยบีบให้แต่ละคนต้องแข่งขันและปรับตัว นอกจากนั้น ตัวของเขาเองก็ยังนิยามปรากฎการณ์นี้ในหนังสือเอาไว้ว่า ‘การกลายพันธุ์ทางอุตสาหกรรม’ (Industrial Revolutoion) ที่จะปฏิวัติโครงสร้างเศรษฐกิจจากภายใน โดยกร่อนทำลายและสรรค์สร้างสิ่งใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นข้อเท็จจริงสำคัญของระบบทุนนิยมจากสายตาของเขา
คำถามที่น่าสนใจลำดับต่อมาคือ ไฉนสังคมต้องการความเปลี่ยนแปลง? เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่มาพร้อมกันก็หนีไม่พ้นความไม่แน่นอนอีกมากมาย นอกจากนายทุนยังต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคในการต่อกรและคงอำนาจในตลาดของตนเองไว้ บรรดาพนักงานและแรงงานฝีมือผู้ถูกจ้างก็ต้องยืนอยู่บนความเสี่ยงที่จะว่างงานอีกด้วย
แม้จะมาพร้อมความไม่แน่นอน แต่การเปลี่ยนแปลงที่สร้างสรรค์เหล่านี้ หากถูกควบคุมและชี้นำเป้าประสงค์โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม ย่อมทำให้มาตรฐานการครองชีพของผู้คนพัฒนาขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังเป็นการทำลายสถานะเดิมและสร้างจุดดุลยภาพใหม่ให้กับสังคม อีกทั้งยังนำพามาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรมและการทำลายล้างอันสร้างสรรค์ดังที่ถูกนิยามในชื่อ ‘การเติบโตแบบชุมเพเทอร์’ (Schumpeterian Growth)
ทว่านอกจากในเรื่องราวของเศรษฐกิจแล้ว เชื่อว่าแนวคิดการทำลายอย่างสร้างสรรค์ก็ล้วนจำเป็นและมีความสำคัญอย่างมากในมิติต่าง ๆ ของสังคม ไม่ว่าจะเป็นขนบธรรมเนียม ความยุติธรรม การเมือง ไปจนถึงความเชื่อ เพราะแนวคิดของชุมเพเทอร์ชวนให้เราตั้งคำถามกับสิ่งที่เราต่างเชื่อว่า ‘ดีที่สุด’ พร้อมคิดพินิจต่อว่ามีสิ่งใดที่อาจดีกว่านี้หรือเปล่า
การเปิดเสรีภาพต่อการตั้งคำถามเหล่านี้ ย่อมนำไปสู่การร่วมพัฒนาและการแข่งขันเพื่อเฟ้นหาสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่พอจะค้นพบในเวลานั้น เพราะหากปราศจากคำถามเหล่านี้ สังคมอาจติดกับดักของสถานะดั้งเดิม แม้ว่ากาลเวลาจะเคลื่อนผ่านไปกี่ยุคสมัยก็ตาม
ภาพ : Getty Images
อ้างอิง
Britannica. (n.d.). Joseph Schumpeter. Encyclopaedia Britannica.
Sobel, R. S., & Clemens, J. (2020). The essential Joseph Schumpeter. Fraser Institute.
คิชเทนนี, ไนแอล. (2562). เศรษฐศาสตร์: ประวัติศาสตร์มีชีวิตของพัฒนาการความคิดเศรษฐศาสตร์ (A Little History of Economics) (ฐณฐ จินดานนท์, ผู้แปล). กรุงเทพฯ: บุ๊คสเคป.