‘เชมัส เบลค’ เจ้าของสมญานาม ‘นักแซ็กโซโฟนสมบูรณ์แบบ’ เยือนไทยในงาน TIJC 2026

‘เชมัส เบลค’ เจ้าของสมญานาม ‘นักแซ็กโซโฟนสมบูรณ์แบบ’ เยือนไทยในงาน TIJC 2026

‘เชมัส เบลค’ นักแซ็กโซโฟนผู้ถูกขนานนามว่า A Total Saxophonist กำลังพา ‘สูตรเสียงแห่งความสมบูรณ์แบบ’ ข้ามมหาสมุทรมาให้คอแจ๊สไทยได้สัมผัสสด ๆ ที่ TIJC 2026

KEY

POINTS

ในแวดวงดนตรีแจ๊สร่วมสมัย การจะหานักดนตรีสักคนที่ได้รับการยอมรับอย่างดุษฎีจากคนดนตรีด้วยกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับ ‘เชมัส เบลค’ (Seamus Blake) ชื่อนี้เปรียบเสมือนเครื่องหมายรับประกันคุณภาพที่ศิลปินระดับปรมาจารย์ต่างให้การยอมรับ

โดยเฉพาะคำนิยามสั้น ๆ แต่หนักแน่นจาก ‘จอห์น สโกฟิลด์’ (John Scofield) มือกีตาร์แจ๊สระดับตำนานที่เคยร่วมงานกับเขาในโปรเจกต์ ‘Quiet Band’ ซึ่งนิยามตัวตนของ เชมัส ไว้อย่างน่าสนใจว่า “ยอดเยี่ยมมาก เป็นนักแซ็กโซโฟนที่สมบูรณ์แบบ”

สมญานาม ‘A Total Saxophonist’ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่ถูกหล่อหลอมผ่านชั้นเชิงทางดนตรีที่ผสมผสานทั้งความซับซ้อน การด้นสดที่กล้าหาญ และความมั่นใจอันเปี่ยมล้น ซึ่งปรากฏชัดต่อสายตาชาวโลกในปี 1995 เมื่อ เชมัส ก้าวขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดในฐานะผู้ชนะเลิศการแข่งขัน Thelonious Monk International Jazz Saxophone Competition

ชัยชนะในวันนั้นไม่ได้เป็นเพียงการเอาชนะคู่แข่งระดับพระกาฬอย่าง ‘มาร์คัส สตริคแลนด์’ (Marcus Strickland) เท่านั้น แต่ยังเป็นการพิสูจน์ฝีมือต่อหน้าคณะกรรมการที่เป็นไอคอนระดับโลกอย่าง ‘เวย์น ชอร์เตอร์’ (Wayne Shorter) และ ‘เฮอร์บี แฮนค็อก’ (Herbie Hancock) อีกด้วย

แม้นักวิจารณ์จาก New York Times จะยกย่องว่าชัยชนะของเขาเป็นเรื่องที่ไม่มีข้อกังขา เพราะเขามี ‘ทุกอย่าง’ เหนือกว่าทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทำนอง แนวประสาน จังหวะ โทน และความเป็นต้นแบบ แต่เจ้าตัวกลับเล่าถึงโมเมนต์นั้นด้วยท่าทีถ่อมตัวตามสไตล์ของเขาว่า

“ผมไม่คิดจริง ๆ ว่าจะชนะ ผมลงแข่งเพราะแค่อยากเจอ เวย์น ชอร์เตอร์ และ เฮอร์บี แฮนค็อก ไอดอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสองคนของผม”

นี่คือจุดเริ่มต้นของชายผู้ที่จะพาเสียงแซ็กโซโฟนข้ามพรมแดนจากนิวยอร์กสู่เวที TIJC ในบ้านเราเพื่อประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่า ‘ความสมบูรณ์แบบ’ ในโลกของแจ๊สนั้นมีสูตรเสียงเป็นอย่างไร

รากฐานดนตรี: จากไวโอลินสู่แซ็กโซโฟน และยุคทองของ Berklee

น่าประหลาดใจไม่น้อยที่นักแซ็กโซโฟนระดับโลกอย่าง เชมัส เบลค ไม่ได้เริ่มต้นจาริกบนเส้นทางดนตรีด้วยเครื่องเป่าอย่างที่เราคุ้นตา เขาเกิดในอังกฤษและไปเติบโตที่แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ท่ามกลางบรรยากาศครอบครัวที่แม้พ่อแม่จะไม่ได้เป็นนักดนตรี แต่ก็เปี่ยมด้วยรสนิยมและการสนับสนุนงานศิลปะทุกแขนงอย่างเต็มเปี่ยม

เชมัส เริ่มต้นบทเรียนดนตรีชิ้นแรกด้วยไวโอลิน และจ่อมจมอยู่กับโลกของดนตรีคลาสสิกอยู่นานหลายปี จนถึงช่วงวัยรุ่นตอนต้น รากฐานอันมั่นคงจากไวโอลินนี่เองที่กลายเป็น ‘กุญแจสำคัญ’ ในการจัดระเบียบวิธีคิดทางฮาร์โมนีและความละเอียดอ่อนในการสร้างสรรค์แนวทำนองของเขาในเวลาต่อมา ดังที่เขาเล่าถึงอิทธิพลในวันวานว่า

“ผมเริ่มเล่นดนตรีด้วยไวโอลิน... ดนตรีแรก ๆ ที่ผมได้ยินและอยากเล่นคือไวโอลินโซโล่ของ Bach”

จนกระทั่งเมื่ออายุย่าง 12 ปี เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาจับแซ็กโซโฟน ความหลงใหลครั้งใหม่นี้นำพาเขาข้ามพรมแดนสู่บอสตันเพื่อเข้าศึกษาที่ Berklee College of Music สถาบันดนตรีแจ๊สระดับโลก ซึ่ง เชมัส ยอมรับว่าเขาโชคดีอย่างมหาศาลที่ได้เข้าไปอยู่ในช่วง ‘ยุคทอง’ ของที่นั่นพอดี

ในรั้วเบิร์กลี เชมัส ไม่ได้เพียงแค่เรียนรู้ทฤษฎีจากตำรา แต่เขาได้ ‘ลับฝีมือ’ ท่ามกลางหมู่มวลอัจฉริยะรุ่นราวคราวเดียวกันที่ต่อมาได้กลายเป็นเสาหลักของวงการแจ๊สร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็น เคิร์ท โรเซนวิงเกิล (Kurt Rosenwinkel), มาร์ค เทอร์เนอร์ (Mark Turner), รอย ฮาร์โกรฟ (Roy Hargrove) หรือ อันโตนิโอ ฮาร์ท (Antonio Hart) บรรยากาศแห่งการเรียนรู้ที่อุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยโอกาสในการประชันฝีมือนี่เองที่เป็นเบ้าหลอมสำคัญให้เขาเติบโตอย่างก้าวกระโดด

“ผมคิดว่าผมโชคดีมากที่ได้อยู่ที่เบิร์กลีในยุคที่โรงเรียนมีความอุดมสมบูรณ์มาก... มีนักดนตรีรุ่นใหม่เก่ง ๆ มากมายในรุ่นของผม และผมก็ยังเล่นดนตรีกับพวกเขาหลายคนจนถึงทุกวันนี้”

จากวินัยการฝึกซ้อมแบบคลาสสิกสู่เสรีภาพแห่งการด้นสดในนิวยอร์ก เชมัส เบลค กำลังเริ่มสร้าง ‘สูตรเสียง’ ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองขึ้นมา และเสียงนั้นกำลังจะเดินทางมาให้เราได้ยินถึงเมืองไทย

ปรัชญาการสร้างสรรค์: มากกว่าแค่การโซโล่

ในโลกของดนตรีแจ๊ส หลายคนมักติดภาพจำของการประชันฝีมือ การพ่นโน้ตที่รวดเร็วและซับซ้อนราวกับพายุทอร์นาโด แต่สำหรับ เชมัส เบลค เขากลับมองลึกลงไปมากกว่านั้น สำหรับเขา ‘การโซโล่’ อาจเป็นความสุขชั่วคราวในค่ำคืนหนึ่ง แต่ ‘การประพันธ์เพลง’ (Composition) ต่างหากคือมรดกที่ยั่งยืน

เชมัส ให้คุณค่าแก่บทเพลงที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นอย่างมาก เขาเชื่อว่าเพลงที่ดีต้องมีพลังในตัวเอง แม้จะไม่มีการด้นสดอันหวือหวามาประกอบ เขากล่าวถึงความพึงพอใจในฐานะนักแต่งเพลงไว้อย่างน่าสนใจว่า

“สำหรับผม ผมมีความพึงพอใจอย่างต่อเนื่องจากการได้แต่งเพลงที่ชอบ มากกว่าการเล่นโซโล่ดี ๆ... โซโล่ที่ดีมันฟินแค่คืนนั้น แต่เพลงที่แต่งดี ๆ มันจะมอบความพึงพอใจได้ยาวนาน”

ปรัชญาการเขียนเพลงของ เชมัส ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การโชว์ความยากทางทฤษฎีเพื่อให้ดู ‘สูงส่ง’ จนเข้าถึงยาก ในทางกลับกัน เขากลับพยายามดึงดนตรีแจ๊สให้กลับมาเชื่อมโยงกับความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์อีกครั้ง นั่นคือความสามารถในการ ‘ฮัม’ หรือ ‘ร้องตาม’ ได้ ซึ่งเป็นอิทธิพลที่อาจตกทอดมาจากรากฐานดนตรีคลาสสิกของเขา

“แนวคิดคือการเขียนสิ่งที่ร้องตามได้ และทำให้คุณรู้สึกดี หรือรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง หรือสื่อสารถึงอารมณ์ นั่นคือสิ่งที่สำคัญสำหรับผม”

สำหรับเขาแล้ว การเล่นแซ็กโซโฟนไม่ใช่การโชว์ภูมิความรู้ แต่คือการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาที่สุด เหมือนกับการที่คนเราฮัมเพลงอย่างมีความสุขในที่ส่วนตัว บทเรียนสำคัญที่เขาฝากไว้ให้กับนักดนตรีรุ่นใหม่ (และนักฟัง) คือการกลับไปหา ‘เมโลดี’ ที่เป็นหัวใจหลัก

“หลังจากฝึกหูให้เข้าใจคอร์ดแล้ว สิ่งสำคัญคือการเชื่อมโยงหูเข้าโลดีเหมือนกับว่าผมกำลังร้องเพลงในห้องน้ำแทนที่จะเล่นลูกล่อลูกชนหรือเล่นโชว์ภูมิความรู้”

นี่เองคือเหตุผลที่ดนตรีของ เชมัส เบลค มีเสน่ห์ที่จับใจคนฟังได้อย่างอยู่หมัด เพราะมันไม่ใช่แค่เสียงของเครื่องดนตรี แต่มันคือเสียงของ ‘การขับร้อง’ ผ่านปากแตรแซ็กโซโฟนนั่นเอง

สไตล์ดนตรี: การข้ามพรมแดนระหว่าง Acoustic และ Electric

ในขณะที่โลกแห่งการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่มักจะมีการปะทะกันทางความคิดระหว่าง ‘นักอนุรักษนิยม’ ที่เทิดทูนเสียงอคูสติกบริสุทธิ์กับ ‘นักสถาปนา’ ที่พร้อมจะเปิดรับเสียงสังเคราะห์ เชมัส เบลค กลับเลือกที่จะยืนอยู่ตรงกลาง และทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมทั้งสองโลกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

เขาเป็นนักแซ็กโซโฟนที่ไม่ได้มีเพียงแค่เครื่องลมไม้คู่ใจ แต่เขายังเชี่ยวชาญการใช้ EWI (Electronic Wind Instrument) และการใช้เอฟเฟกต์ต่าง ๆ เพื่อขยายขอบเขตของเสียง สำหรับ เชมัส การปฏิเสธดนตรีไฟฟ้าเพียงเพราะมัน “ไม่ใช่แจ๊สแบบดั้งเดิม” เป็นเรื่องที่เขามองว่าคับแคบเกินไป

“ถ้าอย่างนั้น กีตาร์ไฟฟ้าก็ไม่ใช่แจ๊สเหรอ? ซินธ์ล่ะ? มันเป็นแนวคิดที่ไร้สาระ... นักดนตรีรุ่นใหม่ ๆ กำลังเปิดรับความเป็นไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ”

การก้าวเข้าสู่โลกของ ‘ไฟฟ้า’ สำหรับเขา ไม่ใช่การตามกระแส แต่คือการแสวงหา ‘มิติใหม่’ ให้กับบทเพลง การต้องนั่งอดทนปรับจูนค่าเสียงต่าง ๆ (Dials) เป็นความท้าทายที่เขาหลงใหล เพราะผลลัพธ์ของมันคือการสร้างบรรยากาศที่เครื่องดนตรีอคูสติกทำไม่ได้

“มันต้องใช้ความอดทนมากและการก้มปรับปุ่มต่าง ๆ เพื่อหาค่าที่ใช่ แต่เมื่อคุณเจอมันแล้ว มันจะเพิ่มมิติใหม่ให้แก่ดนตรี”

เสน่ห์ของ เชมัส คือความ ‘ไม่หยุดนิ่ง’ เขาอาจจะออกอัลบั้มแนวโมเดิร์นบ็อพที่ใสซื่อและลึกซึ้งในวันนี้ แต่ในวันรุ่งขึ้นเขาอาจจะพาเราทะยานไปกับซาวด์ที่ล้ำสมัยราวกับหลุดมาจากโลกอนาคต

“อัลบั้มหน้าผมอาจจะกลับไปเล่นไฟฟ้า ผมดูเหมือนจะสนุกกับการไปมาระหว่างสองโลกนี้”

เทคนิคและอุปกรณ์: การค้นหา ‘Sound’ เฉพาะตัว

สำหรับนักดนตรี การค้นหา ‘ซาวด์’ (Sound) ของตัวเองเปรียบเสมือนการตามหาจิตวิญญาณ ในสายตาของ เชมัส เบลค แซ็กโซโฟนมีบุคลิกที่พิเศษและหลากหลายอย่างยิ่ง เขาไม่ได้มองมันเป็นเพียงท่อโลหะที่มีลิ้นไม้ แต่อุดมคติเรื่องเสียงของเขาคือการหาจุดสมดุลที่ลงตัวระหว่างเครื่องลมไม้ (Woodwind) และเครื่องทองเหลือง (Brass)

“ผมอยากได้พลังและความกังวานแบบทรัมเป็ต แล้วหันกลับมามีความอบอุ่นและเนื้อไม้แบบคลาริเน็ต หรือลมหายใจและอากาศแบบฟลูต”

ความมหัศจรรย์หนึ่งในเทคนิคของ เชมัส ที่นักดนตรีทั่วโลกทึ่งคือความสามารถในการควบคุมช่วงเสียงสูงพิเศษที่เรียกว่า Altissimo ได้อย่างเบ็ดเสร็จ แม้ทำนองจะพุ่งทะยานสูงขึ้นไปถึงออกเทฟที่ 3 แต่เสียงเทเนอร์ของเขากลับยังคงความใสและหวานหยด ซึ่งเขาบอกว่าเทคนิคเหล่านี้ได้รับอิทธิพลมาจากตำนานอย่าง ‘เอ็ดดี แฮร์ริส’ (Eddie Harris) ผู้บุกเบิกการเล่นช่วงเสียงสูงอย่างนุ่มนวล

เมื่อพูดถึงเรื่อง ‘อุปกรณ์’ (Equipment) ในยุคที่นักดนตรีรุ่นใหม่มักจะวิ่งตามหาเครื่องดนตรีราคาแพงหรือการตั้งค่าที่ซับซ้อน เชมัส กลับให้คำแนะนำที่เรียบง่ายแต่เป็นหัวใจสำคัญว่า “คุณไม่ควรต้องต่อสู้กับอุปกรณ์ของคุณ” เพราะเซตอัพที่ดีที่สุดคือสิ่งที่ทำให้เราเล่นได้อย่างง่ายดายและส่งเสริมการถ่ายทอดเสียงที่อยู่ในหัวเราออกมาได้ตรงใจที่สุด

ซาวด์ของ เชมัส จึงไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญ แต่มันคือการสังเคราะห์อุดมคติทางเสียงเข้ากับเทคนิคที่ฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด เพื่อให้แซ็กโซโฟนตัวนั้น ‘พูด’ แทนใจเขาได้มากที่สุดนั่นเอง

การเรียนรู้และเติบโต: จากห้องเรียนสู่เวทีโลก

หากเราจะถอดรหัสความอัจฉริยะของ เชมัส ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบนเวที หรือความสามารถในการเล่าเรื่องผ่านเสียงเพลง (Storytelling) เราอาจต้องย้อนไปดูประสบการณ์แปลกใหม่ในช่วงวัยหนุ่มของเขาที่ชื่อว่า Improv Comedy หรือละครตลกสด เชมัส เคยเป็นสมาชิกคณะละครเวทีในแวนคูเวอร์ และค้นพบว่าศาสตร์ของการ ‘ด้นสด’ บนเวทีละครนั้นมีดีเอ็นเอเดียวกับการเล่นแจ๊สอย่างน่าอัศจรรย์

“การด้นสดในละครเวทีคล้ายกับในแจ๊ส เช่น ความเปิดกว้าง การคิดให้ทัน ท่วงที การอุทิศตนให้กับการเล่าเรื่อง และการไม่ปิดกั้นไอเดียของเพื่อนร่วมทีม”

ทัศนคติแบบ ‘ไม่ปิดกั้น’ นี่เองที่ทำให้เขากลายเป็น Sideman หรือนักดนตรีรับจ้างเนื้อหอมที่สุดคนหนึ่งในนิวยอร์ก เขาผ่านโรงเรียนภาคสนามมากับวงระดับตำนานอย่าง ‘มิงกัส บิ๊กแบนด์’ (Mingus Big Band) และร่วมงานกับศิลปินหลากหลายแนว เชมัส ย้ำเสมอว่าการไปเล่นดนตรีให้คนอื่น คือโอกาสในการขยายพรมแดนความคิดของตัวเองให้กว้างขึ้น

“การเป็นนักดนตรีรับจ้างช่วยให้ผมเติบโต... วิธีการและสไตล์ที่หลากหลาย ช่วยเปิดใจผมสู่ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในดนตรีของตัวเอง”

เมื่อถึงเวลาฝึกซ้อมส่วนตัว เชมัส ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การฝึกนิ้วให้รวดเร็ว แต่เขาเน้นที่ ‘มุมมอง’ เขาเชื่อว่าในเมื่อบันไดเสียงโครมาติกมีเพียง 12 โน้ตเท่ากันทุกคน การจะสร้างสิ่งที่แตกต่างได้นั้นขึ้นอยู่กับการมองวัตถุดิบเดิมผ่านแว่นตาคู่ใหม่ และเป้าหมายปลายทางของการซ้อมไม่ใช่เทคนิคที่ซับซ้อน แต่คือ ‘ความสวยงามของเสียง’

“เล่นและซ้อมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรียนรู้ขนบธรรมเนียม พัฒนาจังหวะ และพยายามสร้างเสียงที่ไพเราะ”

สำหรับการจาริกทางดนตรีครั้งสำคัญของ เชมัส เบลค ในต้นปี 2026 นี้ เวที Thailand International Jazz Conference (TIJC 2026) ณ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล จะกลายเป็นพื้นที่พรมแดนใหม่ที่เขาจะนำ ‘โลกทั้งสองใบ’ มาบรรจบกัน ในฐานะหนึ่งในศิลปินไฮไลท์ระดับโลก เชมัส ไม่ได้มาเพียงเพื่อสำแดงทักษะอันเชี่ยวกรากเท่านั้น แต่เขายังนำเสนอความหลากหลายผ่านสองรูปแบบการแสดงที่น่าจับตามอง

ประการแรก เราจะได้สัมผัสกับ Seamus Blake Quartet วงควอร์เท็ตส่วนตัวที่พร้อมจะระเบิดพลังแห่งการด้นสดร่วมสมัย (Contemporary Jazz) อันเต็มไปด้วยความมั่นใจ และความซับซ้อนตามแบบฉบับของเขา และที่พิเศษยิ่งกว่านั้นคือโปรเจกต์ความร่วมมือกับ ‘มงเซฟ เฌอนูด์’ (Moncef Genoud) นักเปียโนแจ๊สชั้นครู ซึ่งเป็นการโคจรมาพบกันของสองอัจฉริยะที่ต่างมีรากฐานจากยุโรปและหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณแจ๊สสมัยใหม่อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดออกมาในทุกตัวโน้ตบนเวที TIJC ระหว่างวันที่ 23-25 มกราคม 2569 นี้

สำหรับคอแจ๊สชาวไทย การมาเยือนของ เชมัส เบลค ในครั้งนี้เปรียบเสมือนการนำ ‘บทเรียนที่มีชีวิต’ มาวางไว้ตรงหน้าเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเหตุใดเขาจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นนักแซ็กโซโฟนที่สมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษนี้

เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางสู่ก้นบึงของอารมณ์ดนตรีแจ๊ส... แล้วพบกับ เชมัส เบลค ที่ศาลายา!

เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์

ภาพ: Getty Images 

 

ที่มา:

- Blake, Seamus. "INTERVIEW: Seamus Blake." Interview by Michael Underwood. LondonJazzNews, 14 Aug. 2014, londonjazznews.com/2014/08/14/interview-seamus-blake/

- Considine, J.D. "Seamus Blake Is Playing Between Many Worlds." JazzTimes, 25 July 2024, jazztimes.com/features/profiles/seamus-blake-saxophonist-guardians-of-the-heart-machine/

- Hovan, C. Andrew. "Seamus Blake: Bellwether." Best Saxophone Website Ever, 20 Feb. 2023, bestsaxophonewebsiteever.com/seamus-blake-shares-thoughts-music-practice-routine-sound-equipment/

- Jackson, Michael. "A Double Dose of Blakes: Ran and Seamus Hold Forth in Chicago." DownBeat, 28 Apr. 2016, downbeat.com/news/detail/a-double-dose-of-blakes-ran-and-seamus-hold-forth-in-chicago

- Sollitto, Zach. "Seamus Blake Shares His Thoughts on Music, Practice Routine, Sound and Equipment." Best Saxophone Website Ever, 25 Jan. 2017, bestsaxophonewebsiteever.com/seamus-blake-shares-thoughts-music-practice-routine-sound-equipment/