ลมหายใจที่เปลี่ยนโลกแจ๊ส ‘เลสเตอร์ ยัง’ ผู้สร้างภาษา ‘คูล’

ลมหายใจที่เปลี่ยนโลกแจ๊ส ‘เลสเตอร์ ยัง’ ผู้สร้างภาษา ‘คูล’

‘เลสเตอร์ ยัง’ ชายผู้เปลี่ยนความเจ็บปวด ความเปราะบาง และพื้นที่ว่างระหว่างโน้ต ให้กลายเป็นภาษาใหม่ของแจ๊ส ภาษาที่โลกเรียกว่า Cool และยังคงสะเทือนใจผู้ฟังมาจนถึงวันนี้

KEY

POINTS

ในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งดนตรีแจ๊ส หากเราเอ่ยถึงนามของผู้ยิ่งใหญ่ที่เปรียบเสมือนเสาหลักของวงการ ผู้คนมักนึกถึงสุ้มเสียงทรัมเป็ตอันกึกก้องของ ‘หลุยส์ อาร์มสตรอง’ (Louis Armstrong) หรือลีลาอันรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ผ่านอัลโตแซ็ก ของ ‘ชาร์ลี พาร์คเกอร์’ (Charlie Parker)

แต่ในมุมหนึ่งที่เงียบงัน ท่ามกลางควันบุหรี่จาง ๆ และแสงไฟสลัวลาง ยังมีบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมหมวกทรงพอร์กพาย (porkpie hat) สวมเสื้อโค้ทยาวจรดข้อเท้า และถือแซ็กโซโฟนเอียงทำมุม 45 องศา ราวกับนักพายเรือที่กำลังจ้วงพายลงสู่สายน้ำ

เขาคือ ‘เลสเตอร์ ยัง’ (Lester Young 1909-1959) ชายที่โลกดนตรีขนานนามว่า ‘Prez’

เลสเตอร์ คือ ผู้ร่างแบบแปลนของความคูล (Cool) ให้แก่โลกของแจ๊ส ในยุคที่ดนตรีสวิงกำลังเร่าร้อนดั่งเปลวเพลิง (Hot) เขาเลือกที่จะเป็นสายลมที่พัดผ่านอย่างแผ่วเบา ทว่า ทิ้งร่องรอยแห่งความเปลี่ยนแปลงไว้อย่างมีนัยสำคัญ

ฉายา ‘Prez’ หรือ ‘The President’ นี้ มาจากการเรียกขานของ ‘บิลลี ฮอลิเดย์’ (Billie Holiday) นักร้องระดับดีว่า ผู้เป็นมิตรแท้ทางจิตวิญญาณ ซึ่งครั้งหนึ่งเธอเคยกล่าวว่า ในสหรัฐอเมริกา ตำแหน่ง กษัตริย์ หรือ เคานต์ (Count) อาจจะไม่มีความหมายอะไร แต่ผู้ชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวลานั้น คือประธานาธิบดี ‘แฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์’ (Franklin D. Roosevelt) ดังนั้น สำหรับเธอแล้ว เมื่อ เลสเตอร์ ยัง คือ ‘คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด’ นามเรียกขานของเขาจึงต้องยิ่งใหญ่ที่สุดเช่นกัน

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลึกซึ้งเกินกว่าคำว่าชู้สาว พวกเขาเปรียบเสมือนโซลเมทที่พลัดพราก บิลลี เรียกเขาว่า ‘เพรซ’ ส่วนเขาก็เรียกเธอว่า ‘เลดี เดย์’ (Lady Day) ทั้งสองต่างเข้าใจในความเปราะบางของกันและกัน และสื่อสารผ่านดนตรีในระดับที่ถ้อยคำไม่อาจเอื้อมถึง

หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ดนตรี อิทธิพลของ เลสเตอร์ ยัง นั้นมหาศาลเกินกว่าจะประเมินค่า ‘จอห์นนี กริฟฟิน’ (Johnny Griffin) นักแซ็กโซโฟนรุ่นหลัง เคยกล่าวสรุปถึงความสำคัญของ เลสเตอร์ ไว้อย่างคมคายว่า

“เขาคือสุภาพบุรุษที่งดงามที่สุด คือแก่นแท้ของต้นไม้แห่งสวิง... หากไม่มี เพรซ ก็ไม่มี เบิร์ด (Charlie Parker), ไม่มี เด็กซ์เตอร์ กอร์ดอน, ไม่มี จอห์น โคลเทรน และไม่มี ไมล์ส เดวิส ด้วยเช่นกัน”

เลสเตอร์ คือจุดเชื่อมต่อที่ขาดหายไประหว่างยุคเก่าและยุคใหม่ เขาคือผู้บุกเบิกสไตล์ ‘Cool Jazz’ ที่เน้นความผ่อนคลาย การใช้พื้นที่ว่าง และความละเอียดอ่อนของอารมณ์ ซึ่งแตกต่างจากแจ๊สกระแสหลักในยุคนั้น เขาคือตำนานผู้แหวกขนบ ผู้เลือกจะ เล่าเรื่องราวของตัวเอง ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแต่บาดลึกเข้าไปในหัวใจของผู้ฟังที่โหยหาความจริงในเสียงดนตรี

ช่วงเวลาที่ทำให้ เลสเตอร์ กลายเป็นเสาหลักของวงการ เกิดขึ้นในวงดนตรีของ ‘เคาน์ เบซี’ (Count Basie Orchestra) ระหว่างปี 1936–1940 ซึ่งเป็นยุคที่สุ้มเสียงทางดนตรีของเขาเบ่งบานอย่างเต็มที่เหนือสีสันบรรยากาศดนตรีของนครแคนซัส (Kansas City) ซึ่งในเวลานั้น มีการแพร่กระจายไปทั่วสหรัฐฯ ผ่านการออกอากาศสดทางคลื่นวิทยุ

ยามที่เขายืนเคียงข้างนายวง อย่าง เบซี ในวงขนาดเล็กที่เน้นพื้นที่อิมโพรไวส์ เสียงแซ็กของเขาเปรียบเสมือนเข็มทิศ เป็นหางเสือให้วงทั้งวงขยับตัวไปในทิศทางเดียวกัน ราวกับทุกคนนิ่งฟัง ‘ลมหายใจ’ เมื่อเลสเตอร์ขึ้นเป่าคอร์รัสแรกของเพลง Shoe Shine Boy หรือ Oh, Lady Be Good! ความลื่นไหลที่ทอดยาวเป็นเส้นโค้งนิ่มนวล ทำให้โลกของเทเนอร์แซ็กโซโฟนไม่เหมือนเดิม เขาไม่ได้รุกคืบเข้าหาตัวคอร์ดแบบนักปีนเขา (arpeggio) แต่เดินเรียบไปตามครรลองเหมือนผู้เล่าเรื่องที่ค่อย ๆ คลี่เนื้อหาให้ฟังอย่างใจเย็น

ส่วนในระดับวงบิ๊กแบนด์ ของ เบซี บทบาทของเลสเตอร์กลับโดดเด่นไม่แพ้กัน ท่ามกลางหมู่นักดนตรีหลายสิบคน แต่เสียงที่บาง เบา และ “ตรงไปข้างหน้า” ของเขา กลับพุ่งออกมาเหมือนแสงไฟที่ผ่าออกจากหมอก การใช้วลีสั้น ๆ แบบ riff และการวางจังหวะที่เหลือพื้นที่ว่างมากกว่าผู้เล่นคนใดในยุคนั้น ทำให้เขามีความแตกต่างจากเด่นชัดที่สุด

หลักฐานสำคัญของยุคทองนี้ คืองานบันทึกเสียงในบทเพลง ‘Lester Leaps In’ ในปี 1939 ซึ่งนักวิชาการดนตรีแจ๊สอย่าง ‘ลูว์อิส พอร์เตอร์’ (Lewis Porter) ยืนยันว่าเป็น ‘บทกวีในรูปของ improv’ เนื้อหาของทั้งเพลงไม่ซับซ้อน แต่ลักษณะการพัฒนาวลี การหยิบ riff เล็ก ๆ มาต่อเติม ผลัดจังหวะอย่างสง่างาม ได้สถาปนาเลสเตอร์ให้เป็นผู้เล่นที่มีอัตลักษณ์

เลสเตอร์ เริ่มต้นด้วยวลีสั้นเพียงไม่กี่ตัวโน้ต คล้ายการจรดพู่กันเบา ๆ บนผืนผ้าใบ แต่สิ่งสำคัญคือ ‘วิธี’ ที่เขานำวลีนั้นไปขยาย ความงามไม่ได้อยู่ที่ความซับซ้อนทางทฤษฎี แต่อยู่ตรงความสามารถในการ ‘เล่าเรื่อง’ ด้วยการพา motif เดิมกลับมาใหม่ในตำแหน่งที่ไม่คาดคิด เปลี่ยนจังหวะเล็กน้อย ดัดปลายโน้ตเพียงนิดเดียว หรือเลื่อนเข้าหาคอร์ดในแบบที่ดนตรีสวิงยุคนั้นไม่เคยคิดทำ

นี่คือสิ่งที่ พอร์เตอร์ เรียกว่า ‘การพัฒนาแนวคิดด้วยเศษเสี้ยวของวลี’ (fragment-based motivic development) คล้ายผู้เขียนร้อยแก้วที่ใช้คำเดียวกันซ้ำ แต่ให้ความหมายใหม่ทุกครั้งที่นำกลับมา ความน้อยของเลสเตอร์จึงไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็นความตั้งใจในการควบคุมทุกลมหายใจของเสียงดนตรีอย่างมีความหมาย

อีกจุดหนึ่งที่มักมองข้าม คือ ‘การวางจังหวะ’ (rhythmic placement) ของ เลสเตอร์ เขาเลือกจะเข้าเพลงหลังจังหวะ (behind the beat) อย่างแผ่วเบา จนทำให้ชีพจรสวิงทั้งวงของเบซี ‘ลื่นไหล’ ขึ้นโดยอัตโนมัติ โน้ตแต่ละตัวเหมือนถูกวางลงบนผืนทราย ไม่ใช่บนหน้าผาหิน ทำให้เสียงของเขาเป็นอิสระจากน้ำหนักของคอร์ด แต่ยังคงยึดโยงอยู่กับทิศทางของวงอย่างลึกซึ้ง

ผลลัพธ์คือโซโลที่ฟังเหมือนบทสนทนาสงบ ๆ แต่เต็มไปด้วยความหมาย ไม่ใช่การเล่นเพื่อโชว์ความสามารถ หากเป็นการใช้ motif เล็ก ๆ เพื่อสื่อสารความคิด อารมณ์ และตัวตนอย่างเป็นธรรมชาติ นี่คือสไตล์ที่ต่อมาจะกลายเป็นรากเหง้าของการพัฒนา cool jazz ในทศวรรษถัดไป และเป็นบทเรียนสำคัญที่ศิลปินอย่าง ไมล์ส เดวิส, สแตน เก็ทซ์ และ จอห์น โคลเทรน ต่างยอมรับว่าได้รับอิทธิพลมาอย่างลึกซึ้ง

การปฏิวัติสไตล์: โทนเสียงที่แหวกแนว

ในยุคทศวรรษที่ 1930s เมื่อเราพูดถึง ‘เทเนอร์ แซ็กโซโฟน’ ภาพจำเดียวที่สถิตอยู่ในใจของผู้คนคือ ‘โคลแมน ฮอว์กินส์’ (Coleman Hawkins) ผู้เปรียบเสมือนบิดาแห่งเครื่องดนตรีชิ้นนี้ เสียงของ ฮอว์กินส์ นั้นยิ่งใหญ่ หนักแน่น และดุดัน เขาวิ่งไล่เรียงตัวโน้ตขึ้นลงตามโครงสร้างคอร์ดอย่างซับซ้อน ราวกับสถาปนิกที่ก่อสร้างตึกระฟ้าด้วยความแม่นยำและแข็งแกร่ง ตัวอย่างปรากฏชัดในเพลง Body and Soul ที่บันทึกในปี 1939 

แต่แล้ว เลสเตอร์ ยัง ก็ก้าวเข้ามา พร้อมกับปรัชญาดนตรีที่แตกต่างอย่างสุดขั้ว

ในขณะที่ ฮอว์กินส์ ถมพื้นที่ว่างด้วยตัวโน้ตมากมายมหาศาล เลสเตอร์ กลับเลือกที่จะปล่อยให้ดนตรี ‘หายใจ’ เขาไม่ได้มองดนตรีเป็นแนวดิ่ง (Vertical) ที่ต้องปีนป่ายไปตามขั้นบันไดของคอร์ด แต่เขามองในแนวระนาบ (Horizontal) ที่ลื่นไหล ดั่งสายน้ำที่ทอดตัวไปตามภูมิประเทศ นักวิจารณ์ดนตรีบางคนเปรียบเปรยไว้อย่างน่าสนใจว่า หาก ฮอว์กินส์ คือจิตรกรที่วาดภาพด้วยรายละเอียดอันวิจิตรบรรจง เลสเตอร์ ก็คือศิลปินที่ “ใช้ Riffs (วลีดนตรีสั้น ๆ ที่เล่นซ้ำ) เหมือนกับที่ แวน โก๊ะห์ ใช้สี” ป้ายลงไปบนผืนผ้าใบอย่างมีอิสระและเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

สิ่งที่ทำให้ เลสเตอร์ ยัง กลายเป็น ‘ขบถ’ ในสายตาของคนยุคนั้น คือโทนเสียงที่บางเบาและล่องลอย ซึ่งขัดแย้งกับขนบความนิยมที่ต้องการเสียงแซ็กที่หนา หนักแน่น และสั่นพร่า (Vibrato) แบบ ฮอว์กินส์ อย่างสิ้นเชิง 

ความแตกต่างนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากแรงบันดาลใจที่ฝังรากลึก เลสเตอร์ เคยเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ไอดอลของเขาไม่ใช่ผู้เล่นเทเนอร์แซ็กโซโฟน แต่เป็น ‘แฟรงกี ทรัมบาวเวอร์’ (Frankie Trumbauer) นักแซ็กโซโฟนผิวขาว ผู้เล่นเครื่อง C-melody (ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและเสียงสูงกว่าเทเนอร์) ต่างหาก

เลสเตอร์ เคยกล่าวถึงความพยายามในการสร้างสุ้มเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาไว้อย่างถ่อมตนว่า

“ทรัมบาวเออร์ คือไอดอลของผม... ผมพยายามที่จะให้เสียงของ C-melody (แซ็กโซโฟน) มาอยู่ในเทเนอร์แซ็กโซโฟน นั่นคือเหตุผลที่ทำไมผมถึงเสียงไม่เหมือนคนอื่น”

ความยึดมั่นในแนวทางของตัวเอง ทำให้เขาต้องเผชิญกับความยากลำบาก ครั้งหนึ่งเมื่อเขาเข้าไปเล่นแทนที่ ฮอว์กินส์ ในวงของ ‘เฟล็ทเชอร์ เฮนเดอร์สัน’ (Fletcher Henderson) ที่ติดอันกับท้อปของวงการ เขาถูกกดดันอย่างหนัก แม้กระทั่งภรรยาของ เฟล็ทเชอร์ ยังบังคับให้เขาฟังแผ่นเสียงของ ฮอว์กินส์ ทุก ๆ เช้า เพื่อคาดหวังให้เขาเล่นเลียนแบบ ‘ท่านประธาน’ คนเก่า แต่ เลสเตอร์ ปฏิเสธที่จะเป็นเงาของใคร เขาเลือกที่จะเก็บกระเป๋าแล้วเดินจากมา ดีกว่าต้องทรยศต่อเสียงที่ก้องอยู่ในหัวใจ

สำหรับ เลสเตอร์ ยัง แล้ว ‘ความเป็นต้นแบบ’ (Originality) คือสัจธรรมสูงสุดในการเป็นศิลปิน เขาเคยกล่าวประโยคที่กลายเป็นหมุดหมายสำคัญให้นักดนตรีรุ่นหลังได้ตระหนักว่า

“คุณต้องมีความเป็นต้นแบบ ต้นแบบคือสิ่งสำคัญ... คุณสามารถมีโทนเสียง มีเทคนิค และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายได้ แต่ถ้าไม่มีความเป็นต้นแบบ คุณก็จะไปไม่ถึงไหนเลย คุณต้องมีความเป็นต้นแบบ!”

ภาษารหัสและปรัชญาดนตรี

เลสเตอร์ ยัง ไม่ได้เพียงแค่สร้างสรรค์เสียงดนตรีที่แตกต่าง แต่เขายังสร้าง ‘โลก’ ใบหนึ่งขึ้นมา โลกที่มีภาษาและตรรกะเป็นของตัวเอง เพื่อปกป้องจิตวิญญาณที่เปราะบางจากความโหดร้ายของโลกภายนอก

ใครก็ตามที่ต้องการจะเข้าถึงตัวตนของ Prez จำเป็นต้องก้าวข้ามกำแพงภาษาที่เขาสร้างขึ้น ‘จิมมี โรวส์’ (Jimmy Rowles) นักเปียโนผิวขาว ผู้เคยร่วมงานกับ เลสเตอร์ เปรียบเปรยถึงความซับซ้อนนี้ไว้อย่างเห็นภาพว่า

“คุณต้องถอดรหัสเพื่อที่จะเข้าใจเขา มันเหมือนกับการท่องจำพจนานุกรม และผมคิดว่ามันต้องใช้เวลาประมาณสามเดือนเลยทีเดียว”

ภาษาของ เลสเตอร์ ไม่ใช่แค่สแลงเก๋ ๆ ของนักดนตรีแจ๊ส แต่เป็นรหัสลับที่ซ่อนความนัยอันลึกซึ้ง คำว่า ‘Poundcake’ ในพจนานุกรมของเขา ไม่ได้หมายถึงขนมหวาน แต่หมายถึงหญิงสาวผู้เป็นที่รักหรือภรรยา แต่ประโยคที่สะท้อนความรู้สึกเจ็บปวดลึก ๆ ในใจของเขาได้ดีที่สุด คงหนีไม่พ้นประโยคที่ว่า “I feel a draft”

เมื่อ เลสเตอร์ เอ่ยขึ้นมาว่า “ผมรู้สึกถึงลมโกรก” เขาไม่ได้หมายถึงอากาศที่หนาวเย็น แต่เขากำลังบอกว่า ณ ที่แห่งนั้นมี ‘อคติทางเชื้อชาติ’ (racial prejudice) หรือบรรยากาศของความเกลียดชังที่เขาไม่อาจทานทนได้ มันคือสัญญาณเตือนภัยของคนที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนต้องสร้างเกราะป้องกันตัวเองขึ้นมาในรูปแบบของภาษา

ปรัชญาการใช้ชีวิตที่แปลกแยกนี้ เชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกับปรัชญาดนตรีของเขา สำหรับ เลสเตอร์ การเป่าแซ็กโซโฟนไม่ใช่แค่การโชว์เทคนิคแพรวพราว แต่คือการ “telling your story” หรือการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตผ่านตัวโน้ต เขาเชื่ออย่างฝังหัวว่า นักดนตรีที่ดีต้อง ‘ไม่เพียง’ แค่จำคอร์ดหรือเมโลดีได้ แต่ต้องเข้าใจ ‘สาร’ ของเพลงนั้นอย่างถ่องแท้

“นักดนตรีควรจะรู้เนื้อเพลงของเพลงที่เขาเล่นด้วย นั่นทำให้มันสมบูรณ์” เลสเตอร์ เคยกล่าวไว้ เพราะเมื่อคุณรู้ความหมายของคำร้อง คุณจะไม่ได้แค่ ‘เล่น’ เพลงนั้น แต่คุณจะ ‘ร้อง’ มันออกมาผ่านเครื่องดนตรี

ความเป็นปัจเจก คือกฎเหล็ก เลสเตอร์ มักจะย้ำเสมอว่า เขาไม่อยากเป็นแค่ ‘ดินสอที่คอยลอกเลียนแบบ’ (repeater pencil) เขาเลือกที่จะขีดเขียนเส้นทางของตัวเอง แม้ว่าเส้นทางนั้นจะโดดเดี่ยวและเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจจากผู้คนรอบข้างก็ตาม

บริบทสังคมและเงามืดของ Jim Crow

แม้ภาษาที่ เลสเตอร์ สร้างขึ้นจะดูแปลกตา แต่รากเหง้าของมันมาจากความจำเป็นในการปกป้องตัวตนในสังคมที่เต็มไปด้วยอคติ เขาเติบโตท่ามกลางบรรยากาศของกฎหมาย ‘Jim Crow’ ซึ่งกดทับศักดิ์ศรีของคนผิวดำในทุกมิติ ตั้งแต่ประตูทางเข้าคลับและโรงแรม ไปจนถึงการเดินทางทัวร์ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงในการถูกตรวจค้นโดยไม่มีเหตุผล

บุคลิกเงียบขรึมและดูเหมือนไม่เปิดใจของเขา ที่ผู้คนในยุคนั้นตีความว่า เป็น ‘ความลึกลับ’ หรือ ‘ความแปลกแยก’ แท้จริงแล้วคือกลไกในการเอาตัวรอดในโลกที่ไม่ได้ปลอดภัยกับเขาเลย ท่าทางการถือเทเนอร์แบบเอียง 45 องศา ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพจำของเลสเตอร์ ก็เป็นทั้งความสบายส่วนตัวและการเลือก “ยืนในแบบของตัวเอง” ในโลกที่พยายามควบคุมแม้กระทั่งกิริยาเล็กๆ ของเขา

บรรยากาศรอบตัวในยุคนั้น ไม่ใช่เพียงการเหยียดหยามแบบผ่าน ๆ แต่เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในทุกรอยยิ้ม ทุกสายตา และทุกประตูที่ปิดใส่หน้าเขา คำว่า “I feel a draft” จึงไม่ใช่แค่สแลงส่วนตัวของศิลปิน แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยของชายคนหนึ่งที่ต้องใช้สัญชาตญาณตลอดเวลาเพื่ออ่านว่า ที่แห่งนั้นปลอดภัยหรือไม่

สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงกำหนดนิสัยและท่าทีของเลสเตอร์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนอยู่ในเสียงดนตรีของเขา เสียงที่เหมือนพยายามลอยออกจากพันธนาการใด ๆ เสียงที่เลือกจะอ่อนโยนแม้โลกจะไม่เคยอ่อนโยนต่อเขาเลย

บทเรียนจากความมืด: ฝันร้ายในกองทัพ

หากชีวิตของ เลสเตอร์ ยัง คือท่วงทำนองที่ลื่นไหลและเป็นอิสระ ช่วงเวลาในปี 1944 ถึง 1945 คงเป็นห้องดนตรีที่ผิดเพี้ยนและเต็มไปด้วยความเงียบงันที่น่าสะพรึงกลัว จุดเปลี่ยนที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตเริ่มต้นขึ้น เมื่อ ‘หมายเรียก’ จากกองทัพสหรัฐฯ มาถึงมือชายผู้รักสันติและเกลียดชังความรุนแรง เขาจำต้องก้าวเข้าสู่โลกแห่งวินัยทหารที่เขาไม่เคยเข้าใจ และไม่คิดจะเข้าใจ

สำหรับ เลสเตอร์ การเป็นทหาร คือการถูกพรากจากจิตวิญญาณของตัวเอง เขาถูกจับกุมและส่งตัวเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในข้อหาครอบครองยาเสพติด (กัญชาและบาร์บิทูเรต) ซึ่งนำไปสู่การถูกคุมขังใน ‘คุกทหาร’ (Detention Barracks) ที่ค่ายกอร์ดอน รัฐจอร์เจีย

ประสบการณ์ในคุกทหารนั้นเลวร้ายเกินกว่าที่คำพูดจะบรรยายได้หมด เลสเตอร์ เคยเอ่ยถึงช่วงเวลานั้นด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่นว่า

“ฝันร้าย เพื่อนเอ๋ย... มันคือฝันร้ายที่บ้าคลั่งที่สุด”

ในสายตาของกองทัพ เลสเตอร์ ไม่ใช่ศิลปินอัจฉริยะ แต่คือบุคคลที่มีปัญหาทางวินัย เอกสารทางทหารได้ตีตราเขาด้วยคำวินิจฉัยทางจิตเวชที่ฟังดูเย็นชาว่า เขามีภาวะ ‘constitutional psychopathic state’ (ภาวะจิตบกพร่องโดยกำเนิด) ซึ่งแสดงออกผ่านการติดยา การติดสุราเรื้อรัง (chronic alcoholism) และพฤติกรรมแบบ ‘nomadism’ หรือการเร่ร่อนไม่อยู่กับร่องกับรอย คำวินิจฉัยเหล่านี้เปรียบเสมือนกรงขังที่มองไม่เห็น ซึ่งกักขังเขาไว้แม้กระทั่งหลังจากได้รับอิสรภาพ

เมื่อเดินออกมาจากคุกทหาร เลสเตอร์ ไม่ได้เป็นคนเดิมอีกต่อไป รอยแผลในใจนั้นลึกเกินเยียวยา เขาได้เรียนรู้บทเรียนที่เจ็บปวดที่สุดเกี่ยวกับโลกใบนี้ บทเรียนที่เขาถ่ายทอดออกมาเป็นปรัชญาชีวิตในช่วงบั้นปลายว่า

“คุณต้องต่อสู้เพื่อชีวิตของคุณ จนกว่าความตายจะพรากจาก และเมื่อนั้นแหละ คุณถึงจะทำสำเร็จ”

การถูกกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในค่ายทหาร ไม่เพียงแต่ทำลายสุขภาพกายของเขา แต่ยังผลักให้เขาหันหน้าเข้าหา ‘ขวดเหล้า’ มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อหลบหนีจากความทรงจำอันเลวร้าย นี่คือจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมที่ค่อย ๆ กัดกินนักแซ็กฯ ของเรา จนกระทั่งวาระสุดท้ายมาถึง

มรดกที่คงทน: ผู้ให้กำเนิด ‘Cool’

แม้ในช่วงบั้นปลายที่สังขารร่วงโรยและจิตวิญญาณบอบช้ำ เลสเตอร์ ยัง ยังคงยืนหยัดเป็นประจักษ์พยานแห่งความงาม หลายคนอาจมองเห็นเพียงชายขี้เมาที่เล่นดนตรีด้วยความอ่อนล้า แต่สำหรับผู้ที่มองทะลุเปลือกนอก จะพบว่า Prez ไม่เคยสูญเสียแก่นแท้ของความเป็นศิลปิน

มรดกที่ เลสเตอร์ ทิ้งไว้ ไม่ใช่เพียงแค่ตัวโน้ตบนแผ่นเสียง แต่คือ ‘ทัศนคติ’ (Attitude) ต่อดนตรี เขาคือผู้ปูทางให้กับความเงียบขรึมและความลุ่มลึก ซึ่งต่อมาได้เบ่งบานกลายเป็นยุคสมัยของ Cool Jazz ศิลปินรุ่นหลังอย่าง ‘ไมล์ส เดวิส’ ยอมรับอย่างหมดใจว่า เขาเรียนรู้การเล่นที่ “น้อยแต่มาก” (less is more) มาจาก เลสเตอร์ ยัง เช่นเดียวกับ ‘สแตน เก็ทซ์’ (Stan Getz) ที่รับเอาสุ้มเสียงอันนุ่มนวลนั้นไปสานต่อจนโด่งดัง

‘จอห์น ลูว์อิส’ (John Lewis) นักเปียโนแห่งวง Modern Jazz Quartet กล่าวถึง เลสเตอร์ อย่างชื่นชมว่า เลสเตอร์ ไม่ใช่แค่นักดนตรี แต่ “เขาคือกวีที่มีชีวิต เดินเหินได้” ทุกย่างก้าวและทุกตัวโน้ตคือบทกวีที่เขียนขึ้นจากความจริงของชีวิต ไม่ใช่การแสดงละครตบตา

ในท้ายที่สุด สิ่งที่ทำให้ เลสเตอร์ ยัง เป็นอมตะ ไม่ใช่เทคนิคที่แพรวพราวหรือความเร็วในการเป่า แต่คือ ‘ความกล้าหาญของจิตวิญญาณมนุษย์’ ที่กล้าจะเปิดเผยความเปราะบางของตนเองให้โลกได้รับรู้

‘เดฟ เกลลี’ (Dave Gelly) ผู้เขียนชีวประวัติของเขา สรุปความยิ่งใหญ่ของ Prez ไว้อย่างจับใจว่า

“ความงามในดนตรีของ เลสเตอร์ ยัง นั้นคงอยู่ชั่วนิรันดร์ แม้ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด... ความเปราะบางนั้นยังคงถ่ายทอดแก่นแท้ที่มีเอกลักษณ์ หากจะมีคำใดมาบรรยายสิ่งนั้นได้ดีที่สุด คำ ๆ นั้น คือ ‘สัจธรรม’ ”

และนี่คือเรื่องราวของชายผู้เปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นความงาม และสอนให้เรารู้ว่า ในความแผ่วเบานั้น มีพลังที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่เสมอ

 

เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์

ภาพ: Getty Images 

 

[Recommended Listening]

การจะเข้าถึงโลกของ เลสเตอร์ ยัง นั้น การอ่านเพียงตัวอักษรอาจไม่เพียงพอ เพราะความมหัศจรรย์ที่แท้จริงซ่อนอยู่ใน ช่องว่าง ระหว่างตัวโน้ต และ ลมหายใจ ที่เขาเป่าผ่านแซ็กโซโฟน 

นี่คือ 5 บทเพลงสำคัญที่คัดสรรมา เพื่อคุณเดินทางผ่านกาลเวลา ตั้งแต่รุ่งอรุณแห่งความสดใส ไปจนถึงอัสดงแห่งความโศกเศร้า

1. Shoe Shine Boy (1936) – Jones-Smith Inc.

นี่คือวินาทีแรกที่โลกได้ยินเสียงของ เลสเตอร์ ผ่านแผ่นเสียง บันทึกเสียงที่ชิคาโกด้วยกลุ่มนักดนตรีเล็กๆ จากวง Count Basie ที่ใช้นามแฝงว่า Jones-Smith Inc. ในขณะที่โลกคุ้นเคยกับเสียงที่หนาหนักแบบ ฮอว์กินส์, เลสเตอร์ กระโจนเข้ามาด้วยความมั่นใจ (self-assurance) และพลังที่ลุกโชน 

ท่อนโซโล่ของเขาในเพลงนี้เต็มไปด้วยความสดใหม่ การเรียบเรียงวลีที่ชาญฉลาด และโทนเสียงที่ปราศจาก Vibrato (การสั่นเสียง) ซึ่ง จอห์น แฮมมอนด์ (John Hammond) โปรดิวเซอร์ระดับตำนานถึงกับยกย่องว่า นี่คือ การบันทึกเสียงที่สมบูรณ์แบบที่สุด ลองฟังความลื่นไหลของตัวโน้ตที่วิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เปรียบได้กับ ลีลาของ หลุยส์ อาร์มสตรอง ในวัยหนุ่ม

2. Lester Leaps In (1939) – Count Basie Kansas City Seven

เพลงนี้ เป็นดั่งลายเซ็น (Signature Tune) ของ เลสเตอร์ บันทึกเสียงร่วมกับวงคอมโบขนาดเล็กของ เบซี ซึ่งเน้นความคล่องตัวและอิสระ เพลงสร้างขึ้นบนทางเดินคอร์ดของเพลง I Got Rhythm คือตัวแทนของความสุขในยุคสวิง คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความซับซ้อนทางจังหวะและความเรียบง่ายของทำนอง 

เลสเตอร์ บรรเลงด้วยความผ่อนคลายแต่แม่นยำ ราวกับกำลังกระโดดโลดเต้นไปบนเส้นลวดอย่างสง่างาม ช่วงที่ เคานต์ เบซี หยุดเล่นเปียโนไปชั่วขณะ (อาจจะด้วยความผิดพลาดหรือตั้งใจ) แต่ เลสเตอร์ ยังคงเป่าต่อไปอย่างไม่สะดุด เชื่อมรอยต่อนั้นด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้รอยต่อ

3. Taxi War Dance (1939) – Count Basie and His Orchestra

ยุคทองของวง ที่ความสัมพันธ์ระหว่างนักดนตรีแน่นแฟ้นที่สุด นี่คือตัวอย่างชั้นครูของการเล่นแบบ Cool ก่อนที่คำว่า Cool Jazz จะถูกบัญญัติขึ้น เลสเตอร์ เปิดตัวโซโลด้วยการล้อเลียนทำนองเพลง Ol' Man River ก่อนจะพาผู้ฟังเข้าสู่โลกของเขาที่เต็มไปด้วยลูกเล่นแพรวพราว โดยเฉพาะเทคนิค False Fingering (การใช้นิ้วกดคีย์ต่างกันในโน้ตตัวเดียวกัน) เพื่อเปลี่ยนสีสันของเสียง (Timbre) ก่อให้เกิดมิติที่แปลกหู สังเกตการเว้นช่องว่าง (Space) ที่เขาจงใจปล่อยให้ดนตรีหายใจ และการกระโดดข้ามจังหวะที่คาดเดาไม่ได้ ราวกับนักเต้นบัลเลต์ที่พลิ้วไหวไปบนเวที

4. These Foolish Things (1945) – Aladdin Sessions

บันทึกเสียงหลังจากเขาเพิ่งพ้นโทษจากคุกทหารและถูกปลดประจำการ ช่วงเวลาที่จิตใจบอบช้ำและเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล สุ้มเสียงของ เลสเตอร์ ในเพลงนี้เปลี่ยนไป หนาขึ้น หม่นหมองลง และเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่าเดิม นี่ไม่ใช่เพลงรักหวานซึ้งแบบคนหนุ่มสาวอีกต่อไป แต่เป็นบทเพลงของคนที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เขาไม่ได้เล่นแค่ทำนอง แต่เขากำลัง รำพึงรำพัน ถึงความทรงจำที่เจ็บปวดผ่านเสียงแซ็กโซโฟน นักวิจารณ์หลายคนยกให้เวอร์ชันนี้เป็นหนึ่งในผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคหลังสงครามของเขา ลองสัมผัสความ เหงาจับใจ ที่แทรกซึมอยู่ในทุกตัวโน้ต เป็นความงามที่เกิดจากบาดแผลโดยแท้

5. Fine and Mellow (1957) – จากรายการทีวี The Sound of Jazz

การพบกันครั้งสุดท้ายบนเวทีระหว่าง เลสเตอร์ ยัง และ บิลลี ฮอลิเดย์ (สองปีต่อมาทั้งคู่ก็ทยอยลาจากโลกไปในปี 1959)  แม้ร่างกายของ Prez จะร่วงโรยจนแทบไม่มีแรงเป่า แต่เขารวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายบรรเลงโซโลสั้นๆ เพียง 1 คอรัสที่งดงามที่สุด 

นี่คือบทสนทนาที่ไร้คำพูดระหว่างเพื่อนแท้สองคน สายตาที่ บิลลี มองมาที่เขาขณะเป่า เต็มไปด้วยความรักและความอาลัย ดนตรีในช่วงนี้เปราะบางราวกับแก้ว แต่ก็ใสกระจ่างจนเห็น สัจธรรม ข้างใน เพลงนี้ไม่ได้แสดงเทคนิคที่แพรวพราว แต่คือ น้ำเสียง ที่เศร้าสร้อยแต่เปี่ยมด้วยรัก คือจดหมายลาตายที่เขียนด้วยสำเนียงบลูส์

 

ที่มา:

- Büchmann-Møller, Frank. You Got to Be Original, Man!: The Music of Lester Young. Greenwood Press, 1990.

- Daniels, Douglas Henry. Lester Leaps In: The Life and Times of Lester "Pres" Young. Beacon Press, 2002.

- Gelly, Dave. Being Prez: The Life and Music of Lester Young. Equinox Publishing, 2007.

- Porter, Lewis, editor. A Lester Young Reader. Smithsonian Institution Press, 1991.

- Reid, Jamie. Prez: Homage to Lester Young. Oolichan Books, 1993.

#LesterYoung #Prez #Jazz #ThePeopleMusic #CoolJazz