เพลงสวดส่งวิญญาณแด่สันติภาพ เบื้องหลังเพลง ‘Masters of War’ โดย ‘บ๊อบ ดีแลน’ 

เพลงสวดส่งวิญญาณแด่สันติภาพ เบื้องหลังเพลง ‘Masters of War’ โดย ‘บ๊อบ ดีแลน’ 

‘Masters of War’ บทเพลงประท้วงจากเสียงร้องของ ‘บ๊อบ ดีแลน’ ที่ถือกำเนิดกลางเงามืดสงครามเย็น คือถ้อยคำท้าทายอำนาจและสะท้อนบาดแผลสงครามซึ่งยังคงกึกก้องจนถึงวันนี้

KEY

POINTS

ต้นทศวรรษ 1960s โลกกำลังสั่นคลอนอยู่ภายใต้เงาของสงครามเย็น ความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจได้แผ่ขยายความหวาดระแวงไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ขณะที่อุตสาหกรรมอาวุธเติบโตอย่างก้าวกระโดด ท่ามกลางบรรยากาศอันน่าอึดอัดนั้น วงการเพลงป๊อปยังคงขับขานเรื่องราวความรักและความฝันหวาน หากแต่บนเวทีโฟล์คซองเล็ก ๆ ในย่านกรีนิช วิลเลจ นิวยอร์ก ซิตี เสียงร้องแหบพร่าของชายหนุ่มคนหนึ่งจากมินนิโซตากำลังจะเปลี่ยนทุกสิ่งไปตลอดกาล

‘บ๊อบ ดีแลน’ (Bob Dylan) ไม่ใช่แค่นักร้อง แต่เป็นกวีผู้ปฏิวัติวัฒนธรรมป๊อป เขาคือผู้ปลดแอกบทเพลงให้เป็นมากกว่าความบันเทิง เขาแสดงให้เห็นว่าเพลงป๊อปสามารถบรรจุความคิดที่ลึกซึ้ง วิพากษ์วิจารณ์สังคม และท้าทายอำนาจได้อย่างทรงพลัง และในบรรดาผลงานยุคแรกของเขา ไม่มีเพลงใดที่จะแสดงตัวตนอันเกรี้ยวกราดและตรงไปตรงมาได้เท่ากับ ‘Masters of War’

บทเพลงนี้เปรียบเสมือนเสียงคำรามที่สาดใส่หน้าผู้กุมอำนาจโดยตรง เป็น ‘การตำหนิที่รุนแรงที่สุดในสมุดเพลงของดีแลน’ ที่ใช้ภาษาเรียบง่ายแต่เฉียบราวคมดาบ ไม่มีสัญลักษณ์ซับซ้อนหรือการตีความที่หลากหลาย มีเพียงการประณาม ‘กลุ่มอุตสาหกรรมทางการทหาร’ (military-industrial complex) อย่างไม่ประนีประนอม บทเพลงนี้ถือกำเนิดขึ้นจากบริบททางการเมืองอันเข้มข้นในยุคสงครามเย็น และได้สถาปนาให้ ดีแลน กลายเป็น ‘เจ้าชายแห่งการประท้วง’ (prince of protest) อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าในเวลาต่อมา เขาจะพยายามอย่างยิ่งที่จะหลีกหนีจากสมญานามนั้นก็ตาม

กำเนิดและวิวัฒนาการของ ‘Masters of War’

บทเพลงที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่ถือกำเนิดขึ้นจากรอยปริแยกของยุคสมัย Masters of War ก็เช่นกัน มันคือเสียงสะท้อนจากความหวาดกลัวและความโกรธเกรี้ยว ที่ถูกหล่อหลอมขึ้นจากบริบททางการเมืองอันเปราะบางและรากฐานทางดนตรีที่หยั่งลึกในประวัติศาสตร์

ก่อนที่ Masters of War จะกลายเป็นเสียงคำรามของคนรุ่นใหม่ เคยมีเสียงกระซิบเตือนจากคนรุ่นเก่ามาก่อน ในเดือนมกราคม 1961 ประธานาธิบดี ‘ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์’ ได้ใช้สุนทรพจน์อำลาตำแหน่งของเขาเตือนประธานาธิบดีคนใหม่อย่าง ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’ ถึงอันตรายของ ‘กลุ่มอุตสาหกรรมทางการทหาร’ (military-industrial complex) ซึ่งเป็นเครือข่ายผลประโยชน์มหาศาลที่มีอำนาจชี้นำนโยบายต่างประเทศและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพื่อป้อนเชื้อไฟให้กับการแข่งขันทางอาวุธในยุคสงครามเย็น

แต่คำเตือนนั้นดูเหมือนจะถูกกลืนหายไปในสายลม เมื่อ เคนเนดี กลับอนุมัติโครงการจัดซื้ออาวุธมูลค่ามหาศาล ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่ากลไกของสงครามได้หยั่งรากลึกเกินกว่าที่ใครจะควบคุม บ๊อบ ดีแลน ในฐานะศิลปินผู้มีสัญชาตญาณเฉียบคม ได้มองเห็นภาพความวิปริตนี้อย่างชัดเจน และเปลี่ยนความขุ่นข้องนั้นให้กลายเป็นบทเพลงประณามที่ทรงพลังที่สุดบทหนึ่งแห่งศตวรรษ

ความโกรธอันบริสุทธิ์ของ ดีแลน ถูกถ่ายทอดผ่านท่วงทำนองที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากอีกซีกโลกหนึ่ง ทำนองหลักของเพลงนี้ถูกดัดแปลงมาจากเพลงพื้นบ้านอังกฤษโบราณ ชื่อ ‘Nottamun Town’ ซึ่ง ดีแลน เรียนรู้มาจาก ‘มาร์ติน คาร์ธี’ (Martin Carthy) นักร้องเพลงโฟล์คระดับตำนาน ระหว่างการเดินทางไปอังกฤษ การเลือกใช้ท่วงทำนองโบราณที่เรียบง่ายแต่โศกเศร้า มาขับขานเนื้อหาที่ทันสมัยและรุนแรง คือความชาญฉลาดทางศิลปะ ทำให้ Masters of War มีน้ำหนักของประวัติศาสตร์รองรับ และให้อารมณ์คล้ายบทสวดส่งวิญญาณแด่สันติภาพที่กำลังจะตาย

ดีแลน นำเพลงนี้ออกสู่สาธารณะเป็นครั้งแรกที่ Gerdes Folk City เมื่อวันที่ 21 มกราคม 1963 ก่อนที่เนื้อเพลงจะถูกตีพิมพ์ในนิตยสารใต้ดิน อย่าง Broadside ในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกัน แต่สิ่งที่ทำให้การตีพิมพ์ครั้งนั้นมีความพิเศษยิ่งขึ้น คือภาพวาดประกอบจากปลายปากกาของ ‘ซูซี โรโตโล’ (Suze Rotolo) คนรักของเขาในขณะนั้น ภาพของชายที่กำลังใช้มีดและส้อมหั่นโลกทั้งใบ และภาพรถเข็นเด็กที่ติดปืนกลกับสายพานรถถัง ได้กลายเป็นภาพสะท้อนทางสายตาที่ขยายความหมายของบทเพลงให้แหลมคมและบาดลึกยิ่งขึ้น นั่นคือการผนึกกำลังกันระหว่างถ้อยคำของกวีและลายเส้นของศิลปิน เพื่อสร้างงานประท้วงที่สมบูรณ์แบบ

เพลงสวดส่งวิญญาณแด่สันติภาพ เบื้องหลังเพลง ‘Masters of War’ โดย ‘บ๊อบ ดีแลน’ 

‘Masters of War’ ในอัลบั้ม The Freewheelin’ Bob Dylan

การปรากฏตัวของ Masters of War ในอัลบั้มที่สองของ บ๊อบ ดีแลน เป็นผลลัพธ์โดยตรงจากการปะทะกันระหว่างศิลปินหนุ่มผู้ไม่ยอมจำนนกับบรรษัทสื่อยักษ์ใหญ่ คือเรื่องราวของการเซ็นเซอร์ที่นำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม

เพลงสวดส่งวิญญาณแด่สันติภาพ เบื้องหลังเพลง ‘Masters of War’ โดย ‘บ๊อบ ดีแลน’ 

ก่อนที่ Masters of War จะได้เข้ามาอยู่ในอัลบั้ม The Freewheelin' Bob Dylan มีเพลงหนึ่งที่ถูกวางตัวไว้แต่ต้องถูกถอดออกไปอย่างน่าเสียดาย นั่นคือเพลงเสียดสีการเมือง อย่าง ‘Talkin’ John Birch Paranoid Blues  ซึ่ง ดีแลน มีกำหนดจะแสดงเพลงนี้ในรายการวาไรตี้ยอดนิยม The Ed Sullivan Show เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 1963 ทว่า ฝ่ายเซ็นเซอร์ของสถานีโทรทัศน์ CBS กลับสั่งห้ามในนาทีสุดท้าย โดยให้เหตุผลว่า เนื้อหาของเพลงอาจเข้าข่ายการหมิ่นประมาทกลุ่ม ‘John Birch Society’ ซึ่งเป็นองค์กรต่อต้านคอมมิวนิสต์ฝ่ายขวาจัด

พวกเขาเสนอให้ ดีแลน เปลี่ยนไปร้องเพลงอื่น แต่สำหรับศิลปินหนุ่มผู้ยึดมั่นในหลักการแล้ว การประนีประนอมไม่ใช่ทางเลือก ดีแลน เลือกที่จะเดินออกจากรายการ โดยกล่าวว่า “ถ้าผมเล่นเพลงของผมไม่ได้ ผมก็ขอไม่ปรากฏตัวในรายการดีกว่า” การตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวนี้สร้างแรงกระเพื่อมไปถึงบริษัทแม่ของค่ายเพลงโคลัมเบีย ซึ่งก็คือ CBS เอง ด้วยความกลัวปัญหาทางกฎหมายแบบเดียวกัน โคลัมเบียจึงกดดันให้ถอดเพลงเจ้าปัญหานี้ออกจากอัลบั้ม Freewheelin' ซึ่งกำลังจะวางจำหน่าย

แม้จะโกรธในตอนแรก แต่ ดีแลน ก็พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เขามองว่านี่เป็นจังหวะดีที่จะปรับปรุงอัลบั้มให้สะท้อนตัวตนของเขาในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น เขาจึงตัดสินใจถอดเพลงเก่า ๆ ออกหลายเพลง และนำเพลง ‘ชี้หน้า’ (finger-pointing) ที่เพิ่งแต่งขึ้นใหม่และมีความร่วมสมัยกว่าเข้ามาแทนที่ และหนึ่งในบทเพลงที่ถูกเลือกเข้ามาในนาทีสุดท้าย ก็คือ Masters of War ซึ่งถูกบันทึกเสียงในช่วงปลายเดือนเมษายน 1963 นั่นเอง

เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ตอกย้ำภาพลักษณ์ของ ดีแลน ในฐานะศิลปินผู้กล้าหาญและไม่ยอมอ่อนข้อให้กับอำนาจใด ๆ ในช่วงเวลานั้น เขามีบทบาทเป็นบรรณาธิการร่วมของนิตยสาร Broadside และกำลังเติบโตในฐานะนักแต่งเพลงประท้วงแถวหน้าของยุค การที่เขาตอบโต้การเซ็นเซอร์เพลงตลกเสียดสี ด้วยการส่งเพลงที่เกรี้ยวกราดและรุนแรงกว่า อย่าง Masters of War เข้าไปแทนที่ ถือเป็นการประกาศจุดยืนที่ชัดเจนและท้าทายอย่างยิ่ง

ดีแลน ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาจะไม่ยอมให้ใครมาบงการศิลปะของเขา และพร้อมที่จะใช้บทเพลงเป็นอาวุธในการต่อสู้กับความอยุติธรรมต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่าในขณะนั้น บัลลังก์ เจ้าชายแห่งการประท้วง ที่ทุกคนมอบให้ ก็เริ่มกลายเป็นกรงขังที่เขารู้สึกอึดอัดขึ้นมาทีละน้อยแล้วก็ตาม

ผลกระทบและการตีความ

Masters of War ไม่ใช่แค่บทเพลง แต่คือคำประกาศสงครามทางศิลปะ บทเพลงนี้ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนที่กำหนดภาพลักษณ์ของ บ๊อบ ดีแลน และทิศทางของเพลงประท้วงไปอีกหลายปี

สิ่งที่ทำให้ Masters of War โดดเด่นและแตกต่างจากเพลงอื่น ๆ ของ ดีแลน คือความตั้งใจที่จะสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาที่สุด นั่นคือ ‘กระแสของการพูดที่เรียบง่าย’ โดย “ไม่มีสัมผัสบทกวีใด ๆ มาบดบังข้อความ” ในขณะที่เพลงประท้วงอื่น ๆ อาจใช้สัญลักษณ์หรือการเปรียบเปรย แต่เพลงนี้กลับเลือกที่จะ ‘ชี้หน้า’ ผู้กระทำผิดอย่างชัดเจนและเกรี้ยวกราด เป็นการปลดเปลื้องศิลปะออกจากพันธนาการของความงาม เพื่อให้ความจริงอันน่าเกลียดได้เปล่งเสียงออกมาอย่างเต็มที่

ความตรงไปตรงมานี้เอง ที่ส่งให้ ดีแลน ขึ้นสู่จุดสูงสุดในฐานะศิลปินเพลงประท้วง เพลงนี้ได้สถาปนาเขาในฐานะ ‘ราชาเพลงประท้วงผู้ไม่มีใครเทียบได้’ และเป็น ‘กระบอกเสียงที่โดดเด่นที่สุดแห่งยุค’ ในสายตาของคนหนุ่มสาวที่กำลังแสวงหาทิศทางและความหวัง Masters of War ได้กลายเป็นเพลงชาติของพวกเขา เป็นบทเพลงที่สะท้อนความขุ่นเคืองและความอยุติธรรมที่พวกเขารู้สึก แต่ไม่สามารถหาถ้อยคำมาอธิบายได้

ทว่า ในขณะที่โลกภายนอกกำลังสวมมงกุฎให้เขา ดีแลน กลับเริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดเป็นการส่วนตัว เขายอมรับในภายหลังว่ามีความ “กังวลอย่างยิ่ง” เกี่ยวกับเพลงประเภทนี้และชื่อเสียงโดยทั่วไป เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับการถูกตีตราว่าเป็นเพียง ‘นักร้องเพลงประท้วง’ และปรารถนาที่จะเขียนเพลงที่มาจาก ‘ข้างในตัวเขาเอง’ มากขึ้น Masters of War และเพลงประท้วงอื่น ๆ ในช่วงเวลานี้ จึงเปรียบเสมือนจุดสูงสุดของยุคสมัยหนึ่ง ก่อนที่ตัวเขาเองจะก้าวข้ามมันไปสู่ดินแดนแห่งบทกวีที่ซับซ้อนและเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้นในอัลบั้มต่อ ๆ ไป

บทสรุป

Masters of War ไม่ใช่แค่บทเพลงประท้วงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ บ๊อบ ดีแลน แต่คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงถึงความกล้าหาญทางศิลปะและพลังของดนตรี ในการวิพากษ์วิจารณ์โครงสร้างอำนาจ เพลงนี้ได้ทำลายกำแพงที่ขวางกั้น ระหว่าง ดนตรีป๊อป กับประเด็นทางสังคมและการเมืองอย่างสิ้นเชิง และได้ “เปลี่ยนแปลงแนวคิดของสิ่งที่สามารถทำได้ในเพลงป๊อป” ไปตลอดกาล

แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 60 ปี แต่สาส์นของ Masters of War ยังคงดังกึกก้องและเจ็บปวดราวกับเพิ่งถูกเขียนขึ้นเมื่อวาน ตราบใดที่ยังมี กลุ่มอุตสาหกรรมทางการทหาร ที่ร่ำรวยจากความขัดแย้ง ตราบใดที่ยังมีผู้มีอำนาจที่ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงแล้วส่งคนอื่นไปตายแทน บทเพลงนี้ก็จะยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป 

การที่ยังมีคนรุ่นหลังนำเพลงนี้กลับมาบรรเลงบนเวทีคอนเสิร์ตในยุคปัจจุบัน คือการยืนยันว่า เปลวไฟแห่งการต่อต้านที่ บ๊อบ ดีแลน จุดขึ้นในวันนั้น ยังไม่เคยมอดดับ และคำถามที่เขาโยนใส่หน้าผู้สร้างสงครามยังคงดังก้องกังวาน เฉกเช่นเดียวกับวันที่มันถูกเปล่งออกมาครั้งแรกในฤดูหนาวปี 1963

 

เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์

ภาพ: Getty Images 

 

ที่มา:

Gill, Andy. Bob Dylan: The Stories Behind the Songs 1962-1969. Carlton Books, 2011. 

Nogowski, John. Bob Dylan: A Descriptive, Critical Discography and Filmography, 1961-2007. 2nd ed., McFarland & Company, 2008.