02 พ.ย. 2568 | 17:00 น.

KEY
POINTS
“ถ้าไอ้เวรวิสคอนติยังมีชีวิตอยู่ ผมจะตามด่ามันจนไม่ได้ผุดได้เกิด”
‘บียอร์น อันเดรเซน’ (Björn Andrésen) นักแสดงและนักดนตรีชาวสวีเดน ผู้เคยได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เด็กชายที่สวยที่สุดในโลก’ ให้สัมภาษณ์กับ The Guardian ในปี 2003 โดยอันเดรเซนได้เล่าย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะได้เข้าสู่วงการบันเทิง เพราะสิ่งเดียวที่เขารักคือการเล่นดนตรี
แต่ด้วยใบหน้าที่งดงามราวกับพระเจ้าบรรจงปั้นแต่ง ทั้งเส้นผมสีบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าใสแลดูไร้เดียงสา โหนกแก้มสูงรับพอดีกับใบหน้า ริมฝีปากเรียวเล็กสีกลีบกุหลาบ และรูปร่างกำลังพอดี ทำให้เขาเป็นที่ต้องตาของ ‘ลูคีโน วิสคอนติ’ (Luchino Visconti) ผู้กำกับชื่อดังชาวอิตาลีจนคว้าตัวมาแสดงในภาพยนตร์ Death in Venice ในปี 1971 ซึ่งดัดแปลงจากนวนิยายปี 1912 ของโธมัส มันน์ (Thomas Mann) นักเขียนชาวเยอรมัน (วิสคอนติเสียชีวิตในปี 1976 ขณะอายุ 69 ปี)
แม้ว่าชื่อของอันเดรเซนจะเริ่มเป็นที่รู้จัก เพราะได้รับบท ‘ทัดซิโอ’ (Tadzio) เด็กชายชาวโปแลนด์ ผู้ทำให้ ‘กุสตาฟ ฟอน อัชชันบาค’ (Gustav von Aschenbach รับบทโดย ‘เดิร์ก โบการ์ด’ (Dirk Bogarde)) ตกอยู่ในห้วงอารมณ์รัก เมื่อบังเอิญเจอกันในลิฟท์และหันมาสบตากันชั่วขณะหนึ่งโดยปราศจากคำพูดใด ๆ หลังจากนั้นอัชชันบาคก็เริ่มติดตามทัดซิโอไปทั่วเมือง และมองเขาเป็นทั้งแรงบันดาลใจทางศิลปะและสัญลักษณ์ของความงาม ก่อนที่ตัวเองจะล้มป่วยและสิ้นใจในเก้าอี้ชายหาด ขณะยื่นมือไปหาทัดซิโอ
ในอัตชีวประวัติของโบการ์ด ‘Dirk Bogarde: An Orderly Man’ (1983) เขียนบรรยายไว้ว่า อันเดรเซนคือทัดซิโอที่สมบูรณ์แบบ และมีความงามในเชิงอภิปรัชญา (คือความงามสูงสุด ความงามจริงแท้ที่ปรากฎอยู่บนโลกนี้) แต่ถึงแม้เด็กชายที่เขาได้เล่นคู่ด้วยจะงดงามเพียงใด สิ่งที่เขาสัมผัสได้คือความทุกข์ใจที่มีต่อการแสดง
“ผมมั่นใจเลยว่า สิ่งสุดท้ายที่บียอร์นอยากเป็น ก็คือการเป็นนักแสดง”
สำหรับอันเดรเซนแล้ว การเป็นทัดซิโอ ไม่เคยทำให้เขารู้สึกดีกับตัวเองเลยสักครั้ง เพราะการกระทำของผู้กำกับชาวอิตาลี ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงวัตถุทางเพศ
“ตอนที่พวกเขาบอกให้ผมถอดเสื้อออก ผมรู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิด” อันเดรเซนสารภาพกับ Variety หลังจากสารคดี The Most Beautiful Boy in the World (2021) ออกฉาย และทำให้นึกถึงช่วงเวลาที่เขายังไร้เดียงสา อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น
“ผมไม่รู้มาก่อนว่าจะต้องทำแบบนั้น ผมจำได้ว่าเขาให้ผมโพสท์ท่าพิงผนัง แล้วยกเท้าอีกข้างวางขึ้น ผมไม่เคยยืนแบบนั้นเลย
“พอมาดูภาพนั้นอีกที ก็เห็นชัดเลยว่า ‘ไอ้เวรนี่! มันทำให้ผมกลายเป็นวัตถุทางเพศชัด ๆ’”
อันเดรเซนยังบอกอีกว่าวิสคอนติ คือ ‘นักล่า’ ที่พร้อมจะสังเวยทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงมนุษย์ เพื่อสรรสร้างผลงานศิลปะในหัวของเขาให้เกิดขึ้นจริง ส่วนฉายา ‘เด็กชายที่สวยที่สุดในโลก’ เริ่มขึ้นในงานรอบปฐมทัศน์ที่กรุงลอนดอนปี 1971 โดยวิสคอนติได้กล่าวถึงอันเดรเซนว่าเขางดงามเกินว่าใคร คำกล่าวนี้ติดตัวเขาไปตลอดชีวิต โดยที่เขาไม่เคยรู้สึกชอบใจเลยสักครั้ง
คำพูดเพียงไม่กี่คำจากปากวิสคอนติ ทำให้เขาเหมือนถูกดึงให้จมอยู่ใต้น้ำอีกครั้ง อันเดรเซนหายใจไม่ออก รู้สึกอึดอัดที่ต้องร่วมงานกับชายคนนี้ แต่เขายังเป็นแค่เด็ก ไม่อาจปฏิเสธผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลเช่นวิสคอนติได้ ไม่ว่าอยากพาไปไหน เขาก็ไปด้วยเสมอ และนั่นนำมาซึ่งประสบการณ์อันเลวร้าย ที่ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืม
อันเดรเซนเล่าว่าผู้กำกับเคยพาไปไนต์คลับเกย์ พร้อมกับกลุ่มชายวัยผู้ใหญ่ ตอนที่เขาอายุเพียง 16 ปี ถึงอันเดรเซนจะไม่ได้มีอคติต่อคนรักเพศเดียวกัน แต่การถูกปฏิบัติในสถานที่เช่นนั้น โดยที่เขายังเป็นแค่เด็ก ทำให้รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
“พนักงานเสิร์ฟในคลับ… มองผมเหมือนกับเป็นจานเนื้อชิ้นสวย ๆ ผมรู้ว่าผมไม่สามารถแสดงอาการอะไรได้ เพราะมันจะเท่ากับฆ่าตัวตายทางสังคม แต่นั่นเป็นเพียงครั้งแรกจากหลาย ๆ ครั้งที่ผมต้องเจออะไรแบบนั้น
“ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ประหลาดที่ถูกขังอยู่ในกรง”
ในสารคดี The Most Beautiful Boy in the World อันเดรเซนยังเล่าถึงประสบการณ์ที่ต้องไปไนต์คลับเกย์กับผู้กำกับเพิ่มเติมอีกว่า เขารู้สึกเหมือนถูกโลมเล้าด้วยสายตาหื่นกาม ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มักถูกมองด้วยความหิวกระหาย อันเดรเซนจึงตัดสินใจเมาให้สุด เพื่อหนีจากสายตาน่าขยะแขยงเหล่านั้น
“ผมคิดว่าวิสคอนติกำลังทดสอบว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้เป็น”
หลังจากภาพยนตร์ออกฉาย วิสคอนตีไม่เคยติดต่อกับอันเดรเซนอีกเลย และเปิดเผยว่าฉายาที่ได้รับตั้งแต่อายุ 15 ปี ทำลายตัวตน จิตวิญญาณ และอาชีพของเขาจนย่อยยับ
“ผมไม่เคยเห็นว่ามีวงการไหนเต็มไปด้วยพวกฟาสซิสต์และพวกงี่เง่ามากเท่าวงการภาพยนตร์และละครอีกแล้ว”
ความงามของเขาเป็นต้นแบบหน้าตาของตัวละครในมังงะและอนิเมะญี่ปุ่นหลายเรื่อง โดยเฉพาะแนวชูโจว (shōjo) ที่ตัวละครชายมักมีใบหน้าหวานหยด (bishōnen) รูปลักษณ์ของอันเดรเซน ซึ่งมีความงามละมุนระหว่างความเป็นชายและหญิง ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักวาดมังงะในยุค 70s ซึ่งรวมถึงนักวาดชื่อดังอย่าง ‘ริโยโกะ อิเกดะ’ (Riyoko Ikeda) โดยเธอใช้เขาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างตัวละคร เลดี้ออสการ์ (Lady Oscar) ใน The Rose of Versailles
ส่วน ‘เคโกะ ทาเคมิยะ’ (Keiko Takemiya) ผู้เขียนเรื่องบทเพลงแห่งสายลมและพฤกษา (Kaze to Ki no Uta) ที่เป็นหนึ่งในมังงะแบบ boys' love (BL) ยุคแรกเริ่ม ก็สร้างตัวละคร Gilbert Cocteau จากภาพจำของเขาเช่นกัน
ใบหน้าของอันเดรเซนยังถูกมองว่าเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวละครชายในอนิเมะยุคต่อมา เช่น Claudine (Claudine) รวมถึงตัวละครอื่น ๆ ที่สะท้อนเสน่ห์เยาว์วัยแบบเดียวกันอย่าง Griffith (Berserk) และ Howl (Howl’s Moving Castle) ความงามแบบ ‘บียอร์น’ จึงยังคงมีชีวิตอยู่ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นจนถึงทุกวันนี้
“มันเป็นแบบนั้นเลย มีแต่ความคลั่งไคล้อยู่รอบตัวผม”
ในยุคนั้น ชาวญี่ปุ่นแทบไม่คุ้นเคยกับคนตะวันตก แต่เมื่อเด็กชายที่ถูกขนานนามว่า เด็กหนุ่มที่สวยที่สุดในโลก ปรากฏบนป้ายโฆษณาและจอภาพยนตร์ เขาก็กลายเป็นมาตรฐานความงามใหม่ของประเทศในทันที
อันเดรเซนเดินทางไปญี่ปุ่นในฐานะไอดอลชาวตะวันตกยุคแรก ๆ และได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลามราวกับเทพลงมาจุติ ผู้คนต่างสวมเสื้อยืดและถือของที่ระลึกจาก Death in Venice มีงานแถลงข่าวไม่หยุดหย่อน ทั้งอัดเพลง ทั้งถ่ายโฆษณา มิวสิกวิดีโอก็เกิดขึ้นไม่เว้นวัน
ส่วนเส้นทางการเป็นนักแสดงของอันเดรเซน เริ่มมาจากคุณยายที่อยากผลักดันให้คนในครอบครัวกลายเป็นคนมีชื่อเสียง จึงพยายามให้หลานชายคนนี้ก้าวเข้าสู่เส้นทางบันเทิง เพราะเธอรู้ดีว่าใบหน้าที่งดงามของหลานจะต้องเป็นที่ชื่นชอบในวงการบันเทิงแน่
อันเดรเซนเกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1955 ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน พ่อกับแยกทางกันตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เขาไม่รู้ว่าพ่อแท้ ๆ ของตัวเองคือใคร ส่วนผู้เป็นแม่อย่าง ‘บาร์โบร อีริกซอน อันเดรเซน’ (Barbro Erixon Andresen) เธอคือกวีและศิลปินที่มีอารมณ์อ่อนไหว และได้แต่งงานกับ ‘เพอร์ อันเดรเซน’ (Per Andresen) ซึ่งเขาได้รับอุปการะบียอร์นเป็นบุตรบุญธรรมนับแต่นั้น
ใช่ว่าชีวิตครอบครัวของเขาจะสมบูรณ์แบบ เพราะหลังจากอันเดรเซนใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้เพียงสิบปี แม่ของเขาก็ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง ทิ้งเด็กชายตัวน้อยให้ต่อสู้กับโลกที่เลวร้ายเพียงลำพัง โชคดีที่คุณยายรับเลี้ยงเขาต่อจากผู้เป็นแม่
ตอนที่แม่ของเขายังอยู่ อันเดรเซนเรียนเปียโนตั้งแต่อายุ 6 ขวบ และเมื่อแม่จากไป เขาก็ยังคงชื่นชอบการเล่นดนตรีอยู่เสมอ และในอีกเกือบสิบปีต่อมา อันเดรเซนก็ได้เป็นนักดนตรีเล่นอยู่ในวงป๊อปร็อกตามฝัน ระหว่างนั้นคุณยายของเขาก็ได้ผลักดันให้หลานชายเข้าสู่วงการบันเทิง พาเขาออกจากห้องซ้อมดนตรี เพื่อไปออดิชันในภาพยนตร์ของวิสคอนติให้ทันการณ์
แม้จะประสบความสำเร็จด้านการแสดง แต่อันเดรเซนยังคงชื่นชอบเสียงเพลง เขารักดนตรียิ่งกว่าสิ่งใด และยังคงรับงานแสดงในภาพยนตร์และซีรีส์กว่า 30 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นผลงานในสวีเดน เขาเคยบรรยายเส้นทางอาชีพของตัวเองว่าเต็มไปด้วยความโกลาหล และกล่าวว่าบทบาททัดซิโอ ยังคงตามหลอกหลอนเขามาตลอดชีวิต
“อาชีพของผมเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เริ่มต้นจากจุดสูงสุด แล้วค่อย ๆ ดิ่งลงมา มันเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวมาก”
ในปี 2003 เขาตกเป็นข่าวอีกครั้งเมื่อออกมาคัดค้านนักคิดเฟมินิสต์ ‘เกอร์เมน เกรียร์’ (Germaine Greer) ที่นำภาพถ่ายของเขาไปใช้บนปกหนังสือ The Beautiful Boy โดยไม่ได้รับอนุญาต เขาให้เหตุผลว่าการคัดค้านนี้ส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ที่เขามีกับวิสคอนติ
“โดยหลักการแล้ว ความรักของผู้ใหญ่ที่มีต่อวัยรุ่นเป็นสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วย ทั้งในเชิงอารมณ์และเหตุผล ผมรู้สึกไม่สบายใจ เพราะผมเข้าใจดีว่าความรักแบบนั้นมันคืออะไร”
อย่างไรก็ตาม สำนักพิมพ์ Thames and Hudson ของเกรียร์ปฏิเสธคำคัดค้าน โดยอ้างว่าพวกเขาได้รับอนุญาตจากช่างภาพ ‘เดวิด เบลีย์’ (David Bailey) คนเดียวก็เพียงพอแล้ว
อันเดรเซนเคยแต่งงานกับ ‘ซูซานนา โรมัน’ (Susanna Román) ทั้งคู่มีลูกสองคน คือ โรบีน และเอลวิน ลูกชายที่เสียชีวิตเมื่ออายุเพียงเก้าเดือน จากภาวะไหลตาย (Sudden Infant Death Syndrome)
คืนที่ลูกจากไป เขานอนอยู่ข้างกาย ในสภาพที่มึนเมาและไม่อาจช่วยเหลือได้ทัน ความสูญเสียครั้งนั้นกลายเป็นบาดแผลลึกกัดกินชีวิต ทำให้เขาจมอยู่ในภาวะซึมเศร้าและพึ่งพาแอลกอฮอล์อย่างหนัก จนในที่สุดก็สูญเสียชีวิตแต่งงานไปเช่นกัน
เมื่อกาลเวลาค่อย ๆ พาร่างและชื่อเสียงของเขาให้ห่างจากวันวาน อันเดรเซนเริ่มกลับมาพบกับความเงียบงามอีกครั้ง ความสงบที่ไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องถูกมอง และไม่ต้องแบกรับคำว่าความคาดหวังของใครอีกต่อไป
ในวัยชรา เขากลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในภาพยนตร์ Midsommar (2019) ของผู้กำกับ ‘อารี แอสเตอร์’ (Ari Aster) รับบทชายชราผู้สละชีวิตในพิธีบูชายัญ เขาเคยพูดติดตลกว่า
“การถูกฆ่าในหนังสยองขวัญ คือความฝันของเด็กผู้ชายทุกคน”
ชื่อเสียงในอดีตทำให้เขาเกลียดตัวเองอยู่ไม่น้อย เขาไม่ชอบเห็นหน้าตัวเองตามที่สาธารณะ และรอวันที่ใบหน้าสวย ๆ นี้จะแห้งเหี่ยวลง กลายเป็นเพียงชายชราที่หน้าตาไม่น่าดูอีกต่อไป
“ผมรอไม่ไหวแล้วที่จะแก่”
“ผมอยากมีความสงบ ไม่อยากเห็นหน้าตัวเองบนโปสเตอร์หนังอีกแล้ว ผมเกลียดมัน”
เวลาผ่านไปกว่า 20 ปี ผมบลอนด์ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา หนวดเครายาวคล้ายพ่อมดแกนดัล์ฟจาก The Lord of the Rings เขายังคงรับงานแสดงเป็นระยะ ทั้งในโทรทัศน์และภาพยนตร์ รวมถึงทำสิ่งที่รักที่สุด นั่นคือดนตรี
อันเดรเซนทำหน้าที่นักคีย์บอร์ดในวงดนตรีเต้นรำ เป็นนักแต่งเพลงแจ๊สและบอสซาโนวา ผู้เรียบเรียงดนตรีให้เวอร์ชันสวีเดนของ The Rocky Horror Show และยังเป็นผู้จัดการโรงละครเล็ก ๆ ในสตอกโฮล์ม
“สิ่งเดียวที่พ่อคิดตอนจะไปออดิชันหนังเรื่องนั้น คือกลัวว่าจะไปซ้อมดนตรีสาย” โรบีน โรมัน (Robine Román) ลูกสาวของเขาเล่า
“ดนตรีคือชีวิตของพ่อ ส่วนการแสดงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ”
ลูกสาวของอันเดรเซนยังเล่าอีกว่าพ่อของเธอ เคยเจอกับ ‘แคร์รี ฟิชเชอร์’ (Carrie Fisher) พวกเขาพบกันที่ปารีสในปี 1976 ก่อนที่ฟิชเชอร์จะโด่งดังจาก Star Wars โดยเธอเข้ามาหาพ่อที่บาร์และถามว่า “คุณคือบียอร์น อันเดรเซน ใช่ไหม”
“พ่อเบื่อชื่อเสียงสุด ๆ ก็เลยถามเธอกลับว่า ‘ทำไมถึงอยากรู้ล่ะ’ เธอเลยตอบว่า ‘ฉันพกภาพของคุณไว้ในกระเป๋าสตางค์มาตลอดเลย’”
บียอร์น อันเดรเซน เสียชีวิตอย่างสงบในวันที่ 25 ตุลาคม 2025 ด้วยวัย 70 ปี หลังต่อสู้กับโรคมะเร็งมาอย่างยาวนาน
ถึงแม้ว่าชีวิตของเขาอาจเริ่มต้นด้วยคำว่าความงาม แต่จบลงด้วยคำว่าความเข้าใจทั้งต่อตัวเองและต่อโลกที่เคยบูชาความงามของเขาเกินกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะรับไหว
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : IMDb
อ้างอิง