30 ต.ค. 2568 | 13:34 น.

KEY
POINTS
แรกมีภาพยนตร์เมื่อราว 130 ปีก่อน จากความเร็ว 12 - 16 เฟรมต่อวินาทีที่บันทึก และฉายด้วยฟิล์มภาพยนตร์ จนมาเป็น 24 เฟรมในคริสต์ทศวรรษที่ 1920 เทคนิคพิเศษบนแผ่นฟิล์ม ทั้งการหายตัว วัตถุขยับเอง ดอกไม้บานและเหี่ยวลงในพริบตา ฯลฯ กระบวนการต่าง ๆ ทั้งย้อนภาพ เร่งสปีด ซ้อนภาพ รวมทั้ง ‘สต็อปโมชัน’ (Stop Motion) หรือการเคลื่อนวัตถุไปทีละเฟรมแล้วฉายเป็นภาพเคลื่อนไหว ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วิชวลเอฟเฟ็กต์’ (Visual Effects) มาตั้งแต่นั้น
‘The Humpty Dumpty Circus’ (1898) โดย ‘เจมส์ สจ๊วร์ต’ กับ ‘อัลเบิร์ต อี. สมิท’ เป็นหนังเรื่องแรก ๆ ที่สร้างด้วยเทคนิคสต็อปโมชันทั้งเรื่อง แต่บุคคลที่ใช้กลวิธีนี้ได้น่าตื่นตะลึงจนเป็นที่จดจำคือ ‘วิลลิส โอไบรอัน’ ที่เนรมิตหุ่นลิงติดขนกระต่ายสูงไม่กี่นิ้ว ให้เป็นลิงยักษ์บนจอมหึมาราวกับมีชีวิตจริงใน ‘King Kong’ (1933) หนังที่ถูกสร้างขึ้นในขณะเศรษฐกิจอเมริกากำลังตกต่ำ แต่กลับสวนทางกลายเป็นหนังทำเงินได้อย่างมหาศาล
และจากสต็อปโมชันของไอโบรอัน ต่อมาคือแรงบันดาลใจให้เกิด ‘เรย์ แฮร์รีเฮาเซน’ เจ้าแห่งเทคนิคนี้อีกราย จากคำแนะนำของโอไบรอัน แฮร์รีเฮาเซนทั้งออกแบบ สร้าง และขยับหุ่นจำลองสิ่งมีชีวิตจริงและแฟนตาซีเพียงลำพัง ปรากฏอยู่ในหนังอย่าง ‘20 Million Miles to Earth’ (1957) หรือ ‘Jason and the Argonauts’ (1963) เป็นตัวอย่าง
ทั้งโอไบรอัน และแฮร์รีเฮาเซน ต่างได้รับการยกย่องเป็นปรมาจารย์สต็อปโมชัน และหนึ่งในผู้สืบสานคือ ‘ฟิล ทิปเป็ตต์’ อดีตทีมงานรุ่นบุกเบิกของ ‘ไอแอลเอ็ม’ (ILM - Industrial Light & Magic) สตูดิโอวิชวลเอฟเฟ็กต์ชั้นนำของโลก
“ผมอายุ 7 ขวบ หลังจากนั้นผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย” ทิปเป็ตต์กล่าวถึง ภายหลังพ่อกับแม่พาไปดู ‘The 7th Voyage of Sinbad’ (1958) ไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของเขา “ผมรู้สึกแบบว่า มันคืออะไร? ผมเพิ่งได้ดูอะไร? ทำไมมันเป็นแบบนั้นได้?” ทิปเป็ตต์รำลึก
นับแต่นั้น สต็อปโมชันที่เด็กชายเห็นก็กำหนดให้ชีวิตเดินตามจินตนาการไปโดยไร้เจตจำนงค์ จากยุคอะนาล็อก สู่ดิจิทัล มันช่วยให้เขาทั้งดำรงอยู่ เป็นไป และรอดตายจากน้ำมือตัวเอง จนชื่อ ฟิล ทิปเป็ตต์ ถูกยกให้อยู่ในทำเนียบเดียวกับ วิลลิส โอไบรอัน หรือ เรย์ แฮร์รีเฮาเซนในวันนี้
“ผมเรียกงานประจำของผมว่าเป็น ‘สถาปัตยกรรม’ ถ้าคุณทำธุรกิจเกี่ยวกับภาพยนตร์ คุณก็ควรรู้ว่าฐานรากที่คุณเทลงไปนั้น จะต้องรองรับตัวอาคารสูงสิบสองชั้น เพราะคุณคงไม่อยากขึ้นไปชั้นสี่แล้วมารู้ทีหลังว่าต้องใช้เครื่องเจาะทุบทุกอย่างลงมา แถมยังต้องใช้เงินมหาศาลอีก เมื่อไม่มีภาระแบบนั้น กระบวนการทำงานจึงจะแตกต่างออกไปได้” ทิปเป็ตต์กล่าวกับเว็บไซต์ Illusion Almanac เมื่อปี 2021 ถึง การทำงานกับข้อแม้บางประการในการสร้าง ‘สถาปัตยกรรม’ ซึ่งในที่นี้หมายถึง วิชวลเอฟเฟ็กต์และสต็อปโมชัน
แต่ถ้าย้อนไปในช่วงชีวิตที่ผ่านมากว่า 70 ปี ก่อนจะมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้เมื่อราว 50 ปีก่อน ทิปเป็ตต์เหมือนจะเริ่มสร้างรากฐานของตนขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
ทิปเป็ตต์เกิดที่เบิร์กลีย์ ในแคลิฟอร์เนีย เมื่อ 27 กันยายน 1951 ในครอบครัวชนชั้นกลาง เติบโตขึ้นมาโดยการอบรมเลี้ยงดูจากแม่รวมทั้งปู่กับย่า แต่ในช่วงประถมต้นคุณครูก็บอกกับพ่อของเขา เด็กชายทิปเป็ตต์มีปัญหาบกพร่องด้านการเรียนรู้ คุณครูเลยแนะให้ส่งเขาไปโรงเรียนเด็กพิเศษ
แต่พ่อของเขาก็ไม่ได้ทำ เด็กชายเองยังคงเรียนรู้ได้ดี โดยเฉพาะกับสิ่งที่เขาสนใจ โดยทุกอย่างเริ่มต้นตั้งแต่ทิปเป็ตต์อายุเพียง 5 ขวบ
“ผมพิศวงกับมันทั้งหมด และด้วยคอนเซ็ปต์ที่ว่า มันยังมีโลกอื่นก่อนจะมีโลกของเรา ที่มีแต่สัตว์ประหลาด ไม่มีมนุษย์อยู่เลย ผมเลยคิดว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของผม มันเริ่มซึมเข้ามา” ทิปเป็ตต์กล่าวถึง ประกายเล็ก ๆ จาก ‘King Kong’ ที่ได้ดูทางทีวีไว้ใน ‘Mad Dreams and Monsters: the Art of Phil Tippett and Tippett Studio’ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2022
และในขณะเดียวกัน เรื่องราวไดโนเสาร์ที่พิมพ์อยู่ในนิตยสาร Life ที่เด็กชายเปิดเจอ ประกอบกับพ่อแม่ชอบพาไปดูหนังที่โรงไดรฟ์-อิน แล้วได้เห็นสัตว์ประหลาดเคลื่อนไหวราวมีชีวิตจากหนังไซไฟในยุคนั้น ซึ่งนิยมสร้างกันออกมามากมาย ล้วนแต่กระตุ้นความคิดให้เด็กชาย
“ตอนนั้น ผมเริ่มรู้จักจินตนาการถึงโครงเรื่องและเรื่องราว ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับของพวกนี้ในห้องคนเดียว ราคากล่องละประมาณ 5 เหรียญ มันจะมีตุ๊กตาหุ่นอยู่ราว 50 ตัว ผมเรียกพวกมันว่า ไอ้ตัวเล็ก ผมเล่นกับมันเป็นชั่วโมง” ทิปเป็ตต์กล่าว
แต่จากเซ็ตตุ๊กตาหุ่นแบบต่าง ๆ ทั้งไดโนเสาร์ หรือคาวบอยที่พ่อมักซื้อมาฝาก ขยับเคลื่อนไหว มันอยู่เพียงในจินตนาการ ทิปเป็ตต์ก็เริ่มคิดจะถ่ายทอดสิ่งที่เคยอยู่แต่ในหัวกับตุ๊กตาหุ่นพวกนั้น ให้มีชีวิตจริงแบบที่เคยเห็นมาแล้วจากจอภาพยนตร์
จากชั้นประถมที่เด็กชายมักหมกอยู่ในห้องสมุดประจำเมืองทุกสุดสัปดาห์ เพื่อเรียนรู้กายภาพของไดโนเสาร์พันธุ์ต่าง ๆ ด้วยการคัดลอกเป็นภาพวาด ต่อมาทิปเป็ตต์คงเริ่มอยากให้ไดโนเสาร์มีมิติมากขึ้น เขาจึงเริ่มปั้นพวกมันขึ้นมา
และจากคำตอบแรกของพ่อที่อธิบายถึงความตื่นตะลึง ซึ่งทิปเป็ตต์เห็นจาก ‘The 7th Voyage of Sinbad’ ว่าเป็นหุ่นที่เคลื่อนไหวได้ด้วยเทคนิคแอนิเมชัน เหมือนการทำหนังการ์ตูน เมื่ออายุได้ 13 ปี ทิปเป็ตต์เลยตระเวนรับจ้างตัดหญ้าตามละแวกบ้านเพื่อเก็บเงินซื้อกล้อง 8 มม. สำหรับถ่ายทำหนังสต็อปโมชันของเขา โดยศึกษาจากนิตยสารอย่าง Famous Monsters of Filmland ที่มี ‘ฟอร์เรสต์ แอคเคอร์แมน’ เป็นบรรณาธิการ และมีคอลัมน์ของ เรย์ แฮร์รีเฮาเซน คอยนำเสนอเรื่องราววิชวลเอฟเฟ็กต์
ทิปเป็ตต์เริ่มทำหนังสต็อปโมชันจากตุ๊กตาหุ่นที่มี หรือบางทีก็ไปขโมยมาจากร้าน เพราะไม่มีเงิน เขาคลำไปเหมือนคนตาบอด เพราะหลังจากถ่ายแล้ว ต้องส่งไปล้างกว่าจะได้ดู แต่ละครั้งกินเวลาร่วมเดือน แต่ทิปเป็ตต์ก็ทำมันต่อไป
และเมื่อเรียนชั้นมัธยม เขายังศึกษาจาก ‘The Technique of Special Effects Cinematographer’ (1965) โดย ‘เรย์มอนด์ ฟิลดิง’ หนังสือที่ทิปเป็ตต์ขโมยมาจากห้องสมุดโรงเรียน เพราะเล่มนี้รวบรวมการทำวิชวลเอฟเฟ็กต์แบบต่าง ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงล่าสุด ทิปเป็ตต์เปิดดูมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับเป็นคัมภีร์
“ผมไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ผมทำจะนำไปใช้ในทางปฏิบัติได้อย่างไร เพราะในเวลานั้น ไม่มีใครสนใจในสิ่งที่ผมสนใจ และด้วยเหตุนั้น ส่วนใหญ่ตั้งแต่เรียนประถมจนถึงมหาวิทยาลัย ผมเป็นมิตรนะ แต่รู้สึกกับใคร ๆ น้อยมาก ผมเลยใช้เวลาส่วนใหญ่ลำพัง ผมไม่ชอบกีฬาหรืออะไรพวกนั้น แล้วก็ทึ่มเกินไปสำหรับสาว ๆ ผมเลยใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่คนเดียว” ทิปเป็ตต์กล่าว
หลังจบไฮสคูลในช่วงสงครามเวียดนามปะทุ ด้วยไม่อยากโดนเกณฑ์ทหารและยังมีเงินไม่พอ เขาเลยไปเรียนศิลปะที่ ‘พาโลมาร์ คอลเลจ’ และใช้ทักษะทางศิลปะรับจ้างทุกอย่าง รวมทั้งเป็นลูกมือให้ศิลปินอย่าง ‘สเวโตซาร์ โทซา ราดาโควิช’ ที่อนุญาตให้เขายังคงมีสตูดิโอทำสต็อปโมชันต่อไป จากนั้น ในปี 1969 ทิปเป็ตต์ก็เข้าเรียนศิลปะต่อที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในเออร์วิน เมื่ออายุได้ 18 ปี
ในช่วงนั้น เขาสร้างงานศิลปะมากมายที่เป็นแนวทดลอง หลอมรวมหลายแขนงของทัศนศิลป์เข้าด้วยกัน ทั้งนำเสนอแบบจัดวางในสถานที่จริง และเคลื่อนไหวในรูปของหนังสั้น
“ขณะที่คุณกำลังสร้างภาพลวงตานี้ขึ้นมาทีละเฟรม จากนั้นฉายเป็นภาพออกไปด้วยความเร็ว 24 เฟรมต่อวินาที เรย์ (แฮร์รีเฮาเซน) อธิบายว่า มันเป็นภาพเหนือจริง มันอยู่ในสองจักรวาลที่แตกต่างกัน และสิ่งที่ยึดโยงก็คือจิตใจของคุณ” ทิปเป็ตต์กล่าวกับนิตยสาร The Fabulist เมื่อปี 2021
ทิปเป็ตต์มีโอกาสได้พบแฮร์รีเฮาเซนเป็นครั้งแรกที่บ้านของแอคเคอร์แมน ซึ่งเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงของจากหนังไซไฟ แฟนตาซี และสยองขวัญ รวมทั้งเป็นสถานที่พานักเขียนชื่อดังจากนิตยสารมาพบปะผู้อ่าน มันจึงเป็นการพาคนคอเดียวกันมาพบปะสังสรรค์กันด้วย ทำให้ทิปเป็ตต์ได้รู้จักกับอีกหลายคน ซึ่งต่อมากลายเป็นมือวิชวลเอฟเฟ็กต์คนสำคัญ เช่น ‘เคน ราลสตัน’ และ ‘เดนนิส มิวเรน’
นอกจากคำแนะนำของผู้อาวุโสอย่างแฮร์รีเฮาเซน ทิปเป็ตต์ยังได้พบกับ ‘เรย์ แบรดบิวรี’ นักเขียนไซไฟชื่อดัง ที่มีผลงานตีพิมพ์เป็นประจำอยู่ในนิตยสารของแอคเคอร์แมนเช่นกัน ในช่วงนั้น ทิปเป็ตต์กำลังช่วย ‘บิลสตรอม เบิร์ก’ ทำ ‘A Sound of Thunder’ ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของแบรดบิวรี โดยทิปเป็ตต์ใช้โรงรถของสตรอมเบิร์กทำสต็อปโมชันไดโนเสาร์ทั้งเรื่อง
คราวพบกันครั้งแรกเมื่อครั้งแบรดบิวรีมาบรรยายที่สถานศึกษาแห่งหนึ่งในซานดิเอโก เขาเลยนำทั้งบทหนังและภาพถ่ายจากเรื่องนี้ไปอวดนักเขียนคนโปรดด้วย
“เรย์เป็นคนสำคัญมากในชีวิตของผมคนหนึ่งที่ให้คำปรึกษากับผม ในขณะที่พวกผู้ใหญ่มักจะห้ามปราม แต่เรย์กลับบอกผมว่า จงทำในสิ่งที่นายรัก ทำมันถึงมันจะล้มเหลว เพราะนายยังได้ขยับไปมากขึ้น มากกว่าจะไปบนเส้นทางที่ปลอดภัย” ทิปเป็ตต์กล่าว
ทิปเป็ตต์รู้จัก บิลสตรอมเบิร์ก ครั้งแรกราวปี 1961 จากทางจอทีวีพร้อมกับได้ดู ‘Time Tomorrow’ ผลงานสต็อปโมชันของสตรอมเบิร์กในรายการหนังสยองรอบดึก เด็กหนุ่มหาทางติดต่อเขาไป และสตรอมเบิร์กก็ใจดี ขับรถมาพร้อมกับนำเครื่องฉาย 16 มม. มาฉายผลงานของเขาให้เด็กหนุ่มได้เรียนรู้ถึงบ้าน
และด้วยคงเห็นแววของทิปเป็ตต์ สตรอมเบิร์กจึงวางใจให้มาช่วยงานของเขา รวมทั้งหนังโฆษณาที่เขารับมาจาก ‘แคสเคด พิกเจอร์ส’ บริษัทที่ก่อตั้งเมื่อปี 1952 โดย ‘รอย ซีไรท์’ อดีตมือวิชวลเอฟเฟ็กต์หนังของเอ็มจีเอ็ม ดำเนินงานโดย ‘ฟิล เคลลิแวน’ ที่เคยทำงานกับ วิลลิส โอไบรอัน กับโจ ไรเนอร์ เพื่อรับงานหนังโฆษณา มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญการสร้างภาพแปลก ๆ มากมาย
และจากผลงานที่ทำกับสตรอมเบิร์ก สุดท้ายทิปเป็ตต์ก็ได้รับการชักชวนจากแคสเคดให้มาร่วมงาน ทิปเป็ตต์ตอบตกลงด้วยเหตุผลเดียวคือ ‘ค่าตอบแทน’
แต่ทิปเป็ตต์ก็ใช้เวลาที่แคสเคดอย่างคุ้มค่า เพราะหนังโฆษณาของที่นี่ใช้ทุกเวทย์มนต์ภาพยนตร์มาดึงดูดความสนใจผู้ชม เพื่อรองรับการเติบโตและการแข่งขันในวงการทีวีอเมริกันในยุคนั้น และนอกเหนือจากเวลางาน ยังอนุญาตให้พนักงานใช้อุปกรณ์ของบริษัททำโปรเจ็กต์ส่วนตัวได้อีกด้วย
ในขณะเดียวกัน ชีวิตที่แอลเอในเวลานั้น ยังเป็นช่วงที่ทิปเป็ตต์เริ่มรู้จักความเมามายจากปาร์ตี้ เพราะเพื่อนร่วมงานล้วนคืออดีตเด็กเนิร์ดที่เคยทำอะไรเหมือนกัน เพียงแต่ต่างความเชี่ยวชาญกันไป ในขณะที่ทิปเป็ตต์สร้างหุ่นต่าง ๆ กับสต็อปโมชัน ‘เดนนิส มิวเรน’ เพื่อนสนิทของเขาก็เชี่ยวชาญเรื่องกล้องหรือเป็นช่างภาพ
เนื่องจากในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 หนังโฆษณาสารพัดเอฟเฟ็กต์แบบที่แคสเคดทำเริ่มไร้มนต์ขลัง สุดท้ายจึงปิดตัวลง จอน เบิร์ก, เคน ราลสตัน, เดนนิส มิวเรน และ ทิปเป็ตต์ ถึงคราวแยกย้าย
แต่ภายหลัง มิวเรนเข้าไปเป็นช่างภาพของไอแอลเอ็ม สตูดิโอของ ‘จอร์จ ลูคัส’ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อทำวิชวลเอฟเฟ็กต์ให้กับหนังเรื่องใหม่ของเขา หลังจากเพิ่งมี ‘American Graffiti’ (1973) เป็นหนังฮิตเรื่องแรก ส่วนเรื่องนี้จะเป็น ‘สเปซโอเปรา’ มิวเรนจึงชักชวนเพื่อน ๆ จากแคสเคดมาร่วมงานกันต่อที่ไอแอลเอ็ม
มิวเรนยังจำได้ว่าเขาเอาบทเรื่องนี้ไปอ่านครั้งแรกที่อพาร์ทเมนต์ของทิปเป็ตต์ พวกเขายังนึกขันกันด้วยซ้ำ ถึงความเป็นไปได้ของมัน ซึ่งต่อมาก็คือ ‘Star Wars’ (1977)
“จอร์จเป็นคนทำหนังแบบที่พวกเราอยากทำ ที่ผ่านมามันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะได้ทำหนังฉายโรง เพราะไม่มีใครทำอะไรพรรค์นี้ ตอนนั้นแผนกวิชวลเอฟเฟ็กต์ของสตูดิโอมีแต่โดนยุบ แต่สิ่งที่จอร์จกับ ‘แกรี เคิร์ตซ์’ (โปรดิวเซอร์) ทำ คือพวกเขาก่อตั้งไอแอลเอ็มขึ้นมานอกเหนืออำนาจใด ซึ่งอนุญาตให้เรามีส่วนร่วมได้” ทิปเป็ตต์กล่าว
เมื่อออกฉาย Star Wars สร้างปรากฏการณ์ด้านรายได้เหนือกว่าหนังทุกเรื่องที่เคยมี คู่หูหุ่นยนต์ ดาบมีแสง ยานอวกาศไล่ล่า ดาวมรณะลอยคว้างกลางอวกาศ ฯลฯ ล้วนเป็นความแปลกใหม่ของภาพยนตร์โลก
“จอร์จจ้างผมกับ ‘จอห์น เบิร์ก’ และแอนิเมเตอร์อีกสองสามคนแล้วสั่งว่าสร้างเอเลี่ยนให้ได้มากที่สุดภายใน 2 สัปดาห์” ทิปเป็ตต์กล่าวในซีรีส์สารคดี ‘Light & Magic’ (2022) สำหรับซีนบาร์เอเลี่ยนหรือแคนตินาในเรื่อง ซึ่งกลายเป็นความคลาสสิกไปแล้ว
แต่ซีนที่ทิปเป็ตต์ได้โชว์ทักษะสต็อปโมชัน คือซีนการเล่นหมากรุกโฮโลแกรม มันถูกใส่เข้าไปหลังจากลูคัสมาที่สตูดิโอแล้วเห็นหุ่นสต็อปโมชันของทิปเป็ตต์ เขาเลยให้ทิปเป็ตต์กับเบิร์ก ช่วยกันทำซีนนี้ โดยมีเวลาเพียง 1 สัปดาห์กับการสร้างเอเลี่ยน 10 ตัว แต่ทิปเป็ตต์ใช้เวลาถ่ายทำอยู่ 4 คืนก็เสร็จสิ้น เพราะสำหรับเขามันไม่ต่างจากการได้เล่นกับของเล่นแบบที่เคยทำ
จากนั้น ‘Empire Strikes Back’ หรือภาค 2 ของ Star Wars ก็ตามมาในปี 1980 คราวนี้ทิปเป็ตต์ได้แสดงฝีมือมากขึ้น มิวเรนแนะให้ลูคัสใช้สต็อปโมชันแบบ ‘โกโมชั่น’ (Go Motion) ที่ทิปเป็ตต์พัฒนาขึ้นมาสำหรับ ‘Dragonslayer’ (1981) ทั้งยานรบวอล์กเกอร์และทอนทอน สัตว์ประหลาดเหมือนม้าของทิปเป็ตต์ กลายเป็นอีกผลงานสต็อปโมชันที่ถูกกล่าวขานเรื่อยมา
แต่หลังจาก ‘Return of the Jedi’ (1983) หรือภาค 3 ที่ทำให้เขาได้ออสการ์ตัวแรก ทิปเป็ตต์กับอีกหลายคนก็โบกมือลาไอแอลเอ็ม
ทิปเป็ตต์บอกว่า ในช่วงนั้น พวกเขาเหมือนได้จบการศึกษาจากระดับไฮสคูล
“ผมจะไปที่สวนสัตว์ และดูมังกรโคโมโด ถ่ายรูปมัน หาฟุตเทจสารคดี ดูลักษณะการก้าวเท้าและการกัดของมัน จนกลายมาเป็นคัมภีร์ที่มีรูปดรออิงเป็นตันออกมาในช่วงเตรียมงาน เพื่อให้นิ้วของผมคุ้นก่อนสี่ห้าเดือน ผมก็ไม่สนใจ และพอผมพร้อมจะทำ ผมจะโยนทุกอย่างทิ้งไป แล้วปล่อยให้ความรู้สึกตรงนั้นพาไป” ทิปเป็ตต์กล่าวกับเว็บไซต์ Film Freak Central เมื่อปี 2022 ถึง กระบวนการสร้างชีวิตให้ ‘สัตว์ประหลาด’ หรือ ‘ไดโนเสาร์’
สิ่งมีชีวิตที่ทิปเป็ตต์หลงใหลเรื่อยมา
ทิปเป็ตต์ก่อตั้ง ‘ทิปเป็ตต์สตูดิโอ’ ขึ้นในปี 1984 และในปีถัดมา หนังสือ ‘The Technique of Special Effects Cinematographer’ ที่เคยเป็นคัมภีร์ของทิปเป็ตต์มีการนำมาพิมพ์ใหม่อีกครั้ง พร้อมกับปรับปรุงเนื้อหา และทิปเป็ตต์ก็ได้ไปปรากฏอยู่ในเล่มร่วมกับมือสต็อปโมชันชั้นครูอย่าง วิลลิส โอไบรอัน และ เรย์ แฮร์รีเฮาเซน แต่คำยกย่องหรือออสการ์ไม่มีผลอะไรนักกับเขา
“ผมสนใจใช้วิชวลเอฟเฟ็กต์สร้างพวกหนังทดลอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นหนังเพื่อฉายโรงก็ได้” เขาบอก “แนวคิดคือกลับไปหารูปแบบศิลปะที่ผมรักมากสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย” ทิปเป็ตต์กล่าวเหมือนต้องการย้อนเวลากลับ จึงเป็นที่มาของ ‘Prehistory Beast’ หนังไดโนเสาร์สต็อปโมชันที่เขาลงทุนเอง หวังขายให้ช่องการศึกษาแบบเคยดูตอนเป็นเด็ก เขาทำไปเรื่อย ๆ เพียงลำพัง ในโรงรถเหมือนในอดีต แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นไปตามแผน ด้วยเหตุผลว่า ไดโนเสาร์ของเขาน่ากลัวเกินไป อย่างไรก็ตาม ต่อมามันก็กลายเป็น 10 นาทีแรกของ ‘Dinosaur!’ หนังสารคดีช่องซีบีเอสในปี 1985
“ผมยังคงทำงานที่ไอแอลเอ็ม ซึ่งพวกเรามีการพัฒนาเทคนิคกันอยู่ตลอด แต่ไม่ใช่สิ่งที่ฟิลสนใจ เขากำลังมองหาสุนทรียะ” มิวเรนกล่าวในหนังสือ Mad Dreams and Monsters
แรกเริ่มโปรเจ็กต์ ‘Jurassic Park’ (1993) ของผู้กำกับ ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ ตั้งใจให้ไดโนเสาร์ในเรื่องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง ‘สแตน วินสตัน’ (The Thing, The Terminator) สำหรับหุ่นยนต์กลไกของเขา กับสต็อปโมชันของทิปเป็ตต์
แต่ขณะที่ทิปเป็ตต์เตรียมไดโนเสาร์ของเขาเอาไว้พร้อมสรรพ ทุกสิ่งกลับเปลี่ยนไปในชั่วคืน พร้อมกับอนาคตของสต็อปโมชันก็เหมือนจะเดินทางมาถึงจุดจบ เพราะผลการทดลองสร้างไดโนเสาร์ซีจีของทีมดิจิทัล ไอแอลเอ็ม ทำให้สปีลเบิร์กตัดสินใจลองประเดิมนำเทคนิคนี้มาใช้แบบเต็ม ๆ เขารู้ว่าโลกภาพยนตร์กำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาลด้วยสิ่งนี้
ก่อนหน้านั้น ทีมงานดิจิทัลของไอแอลเอ็มได้พัฒนาเทคนิคนี้และนำไปใช้ในหนังดังบางเรื่องมาบ้างแล้ว แต่ที่สร้างความฮือฮาให้ผู้ชมได้มากที่สุด คือ ‘The Abyss’ (1989) และ ‘Terminator 2: Judgment Day’ (1991)
“พวกเขาสร้างมนุษย์สเตนกลาสใน ‘The Young Sherlock Holmes’ (1985) อะไรที่เหมือนงูน้ำใน The Abyss และ Terminator 2 ผมคิดว่าคอมพิวเตอร์เหมาะกับการทำของแบบนั้น แต่ลืมไปได้เลยกับสิ่งมีชีวิต แต่พอพวกเขาเอาที่เสร็จสมบูรณ์เตรียมจะให้สปีลเบิร์กมาให้ผมดู…” ทิปเป็ตต์กล่าวถึง คัตสั้น ๆ ของทีเร็กซ์ซีจีกำลังเดินผ่านทุ่งหญ้า
ด้วยอัตตาทำให้ทิปเป็ตต์ไม่ได้แสดงความชื่นชมเหมือนคนอื่น แต่เขารู้ได้ทันทีถึงหายนะ
“ผมตอบไปว่า ผมรู้สึกเหมือนสูญพันธุ์ เขาบอกประโยคนี้ดี ผมจะใส่ลงไปในหนัง” ทิปเป็ตต์เล่าถึง คราวสปีลเบิร์กถามความเห็นของเขาต่อไดโนเสาร์ซีจี หลังจากนั้น ทิปเป็ตต์ถึงขั้นล้มป่วยเป็นไข้นอนซมอยู่เป็นสัปดาห์ จิตตกเพราะเหมือนทุกอย่างที่ทุ่มทำมาทั้งชีวิตถูกทิ้งลงถังขยะ
แม้จะมีบางคนในไอแอลเอ็มให้ตัดทิปเป็ตต์ทิ้งไป แต่ด้วยลักษณะแบบที่ทิปเป็ตต์เรียกว่า ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ และตระหนักถึงความสามารถ สปีลเบิร์กจึงเปลี่ยนให้ทิปเป็ตต์ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับแอนิเมเตอร์ โดยเขากับมิวเรน ให้ทีมงานสร้างอุปกรณ์ (DID: Dinosaur Input Device) ที่ให้ทิปเป็ตต์ยังสามารถใช้ทักษะในการกำกับการเคลื่อนไหว ผ่านทางหุ่นเหมือนโครงกระดูกไดโนเสาร์ที่ทุกส่วนมีจุดเชื่อมกับภาพไดโนเสาร์ซีจีบนจอ
แต่หลังจากนั้น ทิปเป็ตต์ก็ไม่เคยพยายามดิ้นรนเพื่อไม่ให้สูญพันธุ์ และยังไปต่อกับสต็อปโมชันของเขา
“รูปทรงสุดท้ายของ ‘Mad God’ (2021) ไม่ใช่ภาพยนตร์ด้วยตัวมันเอง แต่เป็นความทรงจำหลังจากคุณได้ดูมัน พาคุณสู่ช่วงเวลาหลังจากตื่นจากความฝัน ถูกแช่แข็ง สำรวจเศษเสี้ยววิจิตรที่กราดเกรี้ยวของคุณ ก่อนจะค่อยกลายเป็นเงามืด เป็นช่วงเวลาแบบนั้น Mad God แค่หนทางที่พาคุณไป” ทิปเป็ตต์กล่าวถึง หนังสต็อปโมชันของเขาที่ต้องใช้เวลาร่วม 30 ปีกว่าจะเกิดขึ้นจริง
โปรเจ็กต์นี้ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่หลังจากทิปเป็ตต์ทำ ‘Robocop’ (1987) ไล่มาถึง ‘Starship Troopers’ (1997) แต่ด้วยความบ้าบิ่นเกินกว่าตลาดจะรับไหว มันต้องใช้เงินมหาศาลจนไม่มีใครกล้าออกทุนให้ เขาจึงทำได้เพียงทดลองสร้างไม่กี่นาทีแล้วพับเก็บไป
กระทั่งหลายปีผ่าน เมื่อทีมงานของเขามาเห็นเข้า มันก็เริ่มกลับมาก่อรูปเป็นจริงเป็นจัง โดยอาศัยการหาทุนผ่านทางคิกสตาร์เตอร์ แพลทฟอร์มที่คอยระดมทุนให้ศิลปิน จนรวบรวมมาได้ 124,672 เหรียญ เกินกว่าเป้าตั้งต้นที่ 40,000 เหรียญถึง 3 เท่า และด้วยพลังอินเตอร์เน็ตทำให้โลกแคบลง คนรุ่นหลานทั้งเด็กมัธยมและมหาวิทยาลัย นับร้อยมาขออาสาเป็นลูกมือให้ทิปเป็ตต์
แต่ในช่วงขวบปีสุดท้ายของการถ่ายทำ ทิปเป็ตต์ล้มป่วยด้วยโรคภัยที่กัดกินจิตใจมานาน เพียงแต่เขาไม่เคยรู้ตัว จึงไม่เคยไปตรวจเพื่อรับการรักษามาก่อน
“ผมเป็นโรคซึมเศร้าแบบโมโนโพลาร์ หมายความว่า ผมไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า เว้นแต่จะมีเหตุผลดีจริง ๆ ที่จะเป็น แต่ผมเป็นบ้า และวิธีเดียวที่ผมจะกำจัดเสียงที่วนเวียนอยู่ในหัวและในตัวของผมได้ คือการจดจ่ออยู่กับการทำสิ่งต่าง ๆ” ทิปเป็ตต์กล่าว แต่อาการของเขาเกินกว่าจะทำแบบนั้น เขากลายเป็นเกลียดชังสิ่งที่กำลังทำ ไม่ยอมหลับยอมนอน ปล่อยเนื้อปล่อยตัว จนมีสภาพเหมือนคนจรจัด
และหากย้อนไปในวัยเด็กกับจุดเริ่มต้นของการเอาแต่ขลุกอยู่กับตุ๊กตาหุ่นคนเดียวจนพัฒนามาเป็นคนทำหนังสต็อปโมชัน โรคซึมเศร้าคงสะสมมาตั้งแต่นั้น หรืออาจเป็นผลทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ที่ติดเหล้า
“พวกเขาอาจเป็นสัตว์ประหลาดในความฝันของผม” เขาบอก เพราะตั้งแต่จำความได้ เด็กชายจำต้องเป็นพยานให้ความเลวร้ายของมนุษย์ ผ่านทางพฤติกรรมของพ่อแม่ เช่น ในคืนหนึ่งตอนอายุ 4 ขวบ เขาเคยต้องวิ่งร้องไห้ไล่ตามรถของพ่อที่ขับจากไป บางครั้งแม่ก็ขว้างจานใส่พ่อ หรือคว้าแมนโดลินเก่าแก่มาฟาดจนพัง หรือตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อมาเห็นพ่อกำลังกดแม่อยู่กับพื้นจนเขาร้องไห้จ้า แล้วขอให้พ่อปล่อยแม่
ทิปเป็ตต์เติบโตมาในสภาพนั้น แต่สุดท้ายความป่วยไข้ก็แสดงผลร้ายออกมาเมื่อล่วงสู่วัยชรา ทิปเป็ตต์ถูกส่งเข้าแผนกจิตเวชที่โรงพยาบาลอยู่ 1 - 3 วัน ใช้เวลาอีก 1 เดือนเพื่อรักษาให้กลับมาเป็นปกติ สามารถกลับมาจดจ่ออยู่กับสต็อปโมชันของเขา กระทั่งเสร็จสิ้นเป็นหนังความยาว 83 นาที และเกือบทุกวินาทีมีชีวิตด้วยสัมผัสของมนุษย์เหมือนในอดีต
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่ง่ายที่จะหาโรงฉาย เริ่มจากโดนปฏิเสธจากเทศกาลหนังโลก 1 แห่งหนึ่งในนั้นคือ ‘เทศกาลหนังเบอร์ลิน’ ก่อนจะได้ ‘ชัดเดอร์’ ค่ายสตรีมหนังสยองขวัญมาจัดจำหน่าย และเข้าโรงอย่างจำกัด แต่ก็ยังทำกำไรเป็นเท่าตัว โดยทำรายได้กว่า 329,000 เหรียญ พร้อมกับเสียงตอบรับจากนักวิจารณ์อย่างอบอุ่น
“เป้าหมายตลอดมาของเขาคือทำให้มันจะแจ้งกว่า บันเทิงกว่า และสนุกยิ่งกว่า” มิวเรนแสดงความเห็นถึงผลงานของเพื่อนใน ‘Starship Troopers’ หนังเรื่องสุดท้ายที่ทิปเป็ตต์ยอมรับว่าภูมิใจกับมัน ทั้งที่หลังจากนั้น ทิปเป็ตต์สตูดิโอของเขายังคงสร้างผลงานไว้ในหนังดังอีกหลายเรื่อง รวมทั้งขยายผลงานไปในหนังต่างประเทศ เพิ่มขอบเขตธุรกิจออกแบบสวนสนุกอย่างเช่น ‘Jurassic World: The Experience’
ในปัจจุบัน ไอแอลเอ็มเป็นของดิสนีย์ไปแล้ว ตามดีลการขายลูคัสฟิล์มเมื่อปี 2012 ส่วนทิปเป็ตต์สตูดิโอ เมื่อปี 2023 ได้ขอยื่นล้มละลาย และขายหุ้นเกือบทั้งหมดให้กับ ‘แฟนทอมเอฟเฟ็กต์’ สตูดิโอวิชวลเอฟเฟ็กต์และซีจีในอินเดีย โดยทิปเป็ตต์ยังนั่งเป็นบอร์ดผู้บริหาร
และเมื่อปีก่อนอีกเช่นกัน เพิ่งมีการเปิดเผยถึง ‘Sentinel’ หนังสต็อปโมชันเรื่องใหม่ที่ยังคงบรรยากาศดำมืดเหมือนใน Mad God แต่คราวนี้ทิปเป็ตต์จะยกวิวัฒนาการทั้งมวลของวิชวลเอฟเฟ็กต์รวมทั้งซีจีมาไว้ในเรื่องนี้
“มีคนถามว่า ไม่เบื่อบ้างเหรอที่ต้องทำแต่ของแบบนี้ ผมตอบว่า ไม่... เอาอะไรมาพูด?” ทิปเป็ตต์กล่าวถึง อนาคตของเขากับสต็อปโมชัน
“เพราะมันทำให้คุณไม่หันเหไปไหน จริง ๆ มันก็เหมือนการทำสมาธิ คุณแค่ทำให้เวลาช้าลงโดยคุณไม่รู้ตัว และนั่นทำให้ผมคิดว่า มันช่วยให้ผมไม่ฆ่าตัวตาย” เขากล่าว
เรื่อง: สืบสกุล แสงสุวรรณ
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง:
- Alexandre Poncet & Gilles Penso, Mad Dreams and Monsters: the Art of Phil Tippett and Tippett Studio, Abrams, 2022
- Light & Magic, Directed by Lawrence Kasdan, Disney+, 2022
-“Phil Tippett talks Mad God”, Illusion Almanac, March 15, 2021
- Trevor Hogg, “Phil Tippett Emerges from an Inferno to Create ‘Mad God’,” VFX Voice, 2023 - Walter Chaw, “Mad God: An Interview with Phil Tippett.”, Film Freak Central, June 1, 2022 - Josh Wilson, “Phil Tippett: 24 Frames Per Second.”, Fabulist Magazine, November 5, 2021
- Jamie Lang, “VFX Legend Phil Tippett Unveils His Next Stop-Motion Project, ‘Sentinel,’ Pitching at Cannes’ Frontières (Exclusive).”,Variety, May 9, 2024