เมื่อหนังไทยคือพื้นที่เยียวยา: บทเรียนจาก ‘นากรักมาก ม๊ากมาก’

เมื่อหนังไทยคือพื้นที่เยียวยา: บทเรียนจาก ‘นากรักมาก ม๊ากมาก’

‘นากรักมาก ม๊ากมาก’ หนังไทยที่รวมตำนาน ความรัก และนักแสดงระดับตำนาน สร้างปรากฏการณ์ความบันเทิงและพื้นที่เยียวยาในยุคไม่แน่นอน

KEY

POINTS

ท่ามกลางภูมิทัศน์ของวงการภาพยนตร์ไทยที่ยังคงต้องต่อสู้กับรสนิยมผู้ชมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ปี 2568 คือปีที่ “นากรักมาก ม๊ากมาก” ถือกำเนิดขึ้น หนังที่นำตำนานนางนาก พระโขนง อันเป็นวัฒนธรรมร่วมของสังคมไทย กลับมาเล่าใหม่ในโทนที่ต่างออกไป ท่ามกลางสีสันของความรักและเสียงหัวเราะ

สำหรับผู้ชมรุ่นใหม่ “นาก” อาจเป็นเพียงชื่อตัวละครที่เคยได้ยินผ่านหู หรือเคยเห็นผ่านภาพยนตร์คลาสสิกในอดีต แต่สำหรับคนทำหนังอย่าง พรชัย ว่องศรีอุดมพร กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แบล็ค ดรากอน เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เขามองเห็นมากกว่านั้น มองเห็นว่าตัวละคร “นาก” และ “มาก” ไม่ใช่แค่ผีตำนานท้องถิ่น แต่คือ “IP” หรือ intellectual property ที่แข็งแรง เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ทุกคนรู้จัก และยังคงสามารถตีความใหม่ได้อย่างไม่มีวันหมด

IP หรือทรัพย์สินทางปัญญาในโลกของธุรกิจบันเทิง หมายถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เรื่องราว ตัวละคร หรือจักรวาลใดจักรวาลหนึ่ง ที่มีคุณค่าเพราะเป็นที่รู้จักและเชื่อมโยงกับความทรงจำของผู้คน ความเป็นที่รับรู้ร่วมกันนี้เองที่ทำให้ IP มีพลังต่อการตลาดและศักยภาพในการต่อยอด ในโลกภาพยนตร์สากล IP คือหัวใจของฮอลลีวูด ตั้งแต่ Marvel Cinematic Universe จนถึง Harry Potter ล้วนเกิดจากการพัฒนา IP ที่แข็งแรงให้กลายเป็นจักรวาลทางการค้าและวัฒนธรรม การที่ “นาก” ซึ่งเป็นตำนานท้องถิ่นของไทยถูกมองในมิตินี้ จึงไม่ต่างจากการยกระดับสมบัติทางวัฒนธรรมพื้นบ้านให้กลายเป็นทุนทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่

“หนึ่ง คือ IP ของนางนาก เป็นเรื่องที่คนไทยรู้จักกันทุกคน เรานำมาเล่าในคอนเซ็ปต์ใหม่ที่ยังคงยึดธีมเดิม คือความรักของนากและมากที่เป็นรักอมตะ” พรชัยอธิบาย นี่ไม่ใช่เพียงคำพูดถึงการหยิบตำนานมาปัดฝุ่น แต่คือการมองเห็นศักยภาพของทุนวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา และแปลงมันให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่สร้างมูลค่าในโลกปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม การเล่าเพียงตำนานเก่าอาจไม่เพียงพอหากขาดการเชื่อมโยงกับผู้ชมรุ่นปัจจุบัน กลยุทธ์สำคัญอีกอย่างคือการรวมพลังของนักแสดงแม่เหล็กทั้งเก่าและใหม่ หม่ำ เท่ง โหน่ง สามตลกที่ห่างหายจากการรวมทีมกันมานานถึง 15 ปี—กลับมาสร้างเสียงหัวเราะอีกครั้ง พร้อมด้วยนักแสดงรุ่นใหม่อย่าง ญดา และ คริส พีรวัส “พี่หม่ำ พี่เท่ง พี่โหน่ง มีฐานแฟนกลุ่มใหญ่เป็นเจเนอเรชันวาย เอ็กซ์ และกลุ่มน้องญดา น้องคริสจะมีแฟนคลับที่เด็กกว่าและต่างออกไป สามารถเชื่อมความต่างในเรื่องยุคสมัยของกลุ่มคนดูเข้าด้วยกันได้” พรชัยบอก

การผสมเช่นนี้ไม่ใช่เพียงการแคสต์นักแสดง แต่คือการบริหาร audience segmentation อย่างแยบคาย การรวมคนดูหลายรุ่นให้นั่งอยู่ในโรงเดียวกันได้ คือการขยายตลาดในเชิงธุรกิจ ขณะเดียวกันก็คือการสร้างสะพานทางวัฒนธรรมระหว่างเจเนอเรชันที่อาจไม่เคยพูดภาษาเดียวกัน

 

เหตุผลที่สามคือการได้โอกาสใหม่ในอาชีพของ “โหน่ง ชะชะช่า” ซึ่งครั้งนี้นั่งเก้าอี้ผู้กำกับเป็นครั้งแรก “เป็นการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของพี่โหน่ง เก็บของไว้เยอะมากตลอดอาชีพการทำงาน อยากปล่อยของ” พรชัยย้อนเล่า การให้โอกาสคนทำงานรุ่นเก่าลองก้าวสู่บทบาทใหม่ นอกจากจะเป็นการเพิ่มมิติทางการตลาดแล้ว ยังเป็นการขยายทุนทางมนุษย์ (human capital) ของวงการบันเทิงไทยอีกด้วย

อย่างไรก็ดี เส้นทางของหนังไม่มีสิ่งใดคาดเดาได้ วันแรกที่เข้าฉาย หนังเปิดตัวด้วยรายได้ราว 1.45 ล้านบาท ต่ำกว่าที่ทีมงานคาดการณ์ไว้ เหตุผลไม่ใช่เพราะตัวหนังไม่ดึงดูด แต่เพราะในวันเดียวกันนั้นเกิดเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา ผู้คนทั้งประเทศหันเหความสนใจไปที่ข่าวสถานการณ์สงคราม พรชัยยอมรับว่า หากไม่เกิดเหตุการณ์นั้น “ตัวเลขน่าจะสูงกว่านี้มาก ๆ”

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นบทเรียนสำคัญ ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถทำรายได้คงที่และเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดสามสัปดาห์แรก รายได้สัปดาห์ที่สองสูงกว่าสัปดาห์แรกเกือบ 20% และสัปดาห์ที่สามยังคงใกล้เคียงกับสัปดาห์แรก “ปรากฏการณ์สำหรับหนังที่เปิดตัวรายได้ต่ำ แล้วกลับมาทำรายได้สูงขึ้นและคงที่ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อย” พรชัยเปรียบเทียบ พร้อมยกตัวอย่าง “โหมโรง” ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกัน

สิ่งที่ทำให้ “นากรักมาก ม๊ากมาก” ครองใจผู้ชม อาจไม่ใช่เพียงเพราะความเป็น IP ที่ทุกคนคุ้นเคย หรือเพราะสามตลกในตำนานกลับมารวมตัวกัน แต่เป็นเพราะภาพยนตร์สามารถผสมรสชาติได้กลมกล่อม ทั้งตลก เศร้า ซาบซึ้ง และอบอุ่น “มีทั้งความสนุก ตลก ลุ้น และมีความรักที่น่ารักของนากกับมาก” พรชัยอธิบาย

เสียงสะท้อนจากคนดูยิ่งตอกย้ำสิ่งนี้ หนึ่งในคอมเมนต์ที่พรชัยจำได้ขึ้นใจคือคำว่า “คิดถึงแฟนเก่า” แม้หนังไม่ได้ตั้งใจเล่าเรื่องแฟนเก่าโดยตรง แต่ผู้ชมจำนวนไม่น้อยกลับเชื่อมโยงเข้ากับประสบการณ์ส่วนตัว ความหมายที่ผู้ชมสร้างขึ้นเองนี้คือปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญ เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่า ศิลปะการเล่าเรื่องเปิดพื้นที่ให้ผู้คนร้อยเรียงชีวิตตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้นได้

การกลับมารวมตัวของหม่ำ เท่ง โหน่ง ก็ไม่ใช่เพียงเรื่องการตลาด แต่คือการทวงความทรงจำร่วมของผู้ชมชาวไทย “ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะให้สามคนนี้มารวมตัวกันได้ในการทำอะไรสักอย่างนึง” พรชัยย้ำ เมื่อผสานกับนักแสดงรุ่นใหม่ ความทรงจำในอดีตจึงถูกวางเคียงคู่กับจินตนาการของคนรุ่นใหม่ กลายเป็นบทสนทนาทางวัฒนธรรมที่ไม่ต้องอาศัยคำพูด

รายได้ที่ทะลุ 50 ล้านบาทภายในสามสัปดาห์แรก ไม่เพียงทำให้หนังเรื่องนี้อยู่รอด แต่ยังสะท้อนถึงพลังของการแปลงทุนทางวัฒนธรรมให้กลายเป็นผลตอบแทนเชิงธุรกิจ และเปิดทางไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ ขณะเดียวกันในประเทศลาว หนังเข้าฉายพร้อมกับไทย และมีกระแสตอบรับที่ดีเช่นกัน สิ่งนี้ตอกย้ำว่าความเป็นไทยสามารถเดินทางได้ หากถูกเล่าในภาษาที่เข้าถึงใจสากล

อีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนความสำเร็จคือการร่วมทุนกับพันธมิตรอย่าง บริษัท เนชั่น กรุ๊ป และ บริษัท ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม ความร่วมมือเช่นนี้ไม่ใช่เพียงการหารายจ่าย แต่คือการสร้างเครือข่ายทางวัฒนธรรมและธุรกิจ เนชั่นแข็งแรงด้านสื่อ ขณะที่ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์มแข็งแรงด้านโปรดักชัน เมื่อแต่ละฝ่ายนำความถนัดของตนมาประกอบเข้าด้วยกัน สิ่งที่ได้คือระบบนิเวศทางอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์กว่า

นอกเหนือจากตัวเลขรายได้ สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีคุณค่าเกินกว่าผลงานเชิงพาณิชย์คือการที่ทีมผู้สร้างเลือกจัดรอบพิเศษเพื่อการกุศล และฉายฟรีให้ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ชายแดน “ในฐานะที่เราเป็นคนบันเทิง เราจะช่วยเหลือสังคมได้ยังไง? และเราก็จะแก้ไขปัญหาของเราเองได้ยังไง? ให้ไปพร้อม ๆ กัน” พรชัยเล่า การนำหนังไปฉายให้กำลังพลดู และเห็นพวกเขาหัวเราะทั้งน้ำตา สะท้อนบทบาททางวัฒนธรรมอีกด้านหนึ่งของภาพยนตร์ไทย นั่นคือการทำหน้าที่เป็นพื้นที่ของการเยียวยา

ประสบการณ์ครั้งนี้ยังทำให้พรชัยตอกย้ำบทเรียนอีกประการว่า ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน แม้จะวางแผนและเตรียมการมาอย่างรอบคอบ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็สามารถเปลี่ยนทิศทางได้เสมอ “ถ้าคอนเทนต์เราดี เราก็จะผ่านมันไปได้” เขาสรุป พร้อมเสริมว่า การมีพาร์ทเนอร์ที่ดีและการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดคือสิ่งสำคัญที่จะพาโปรเจ็กต์หนึ่ง ๆ รอดพ้นวิกฤตไปได้

และเมื่อถูกถามถึงสิ่งที่อยากฝากกับผู้ชมที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ พรชัยตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “ผมอยากให้ทุกท่านลองไปดูหนังเรื่องนี้ รับรองว่าคุณจะรักหนังเรื่องนี้ อย่างไม่ทันตั้งตัวครับ”

“นากรักมาก ม๊ากมาก” จึงไม่ใช่เพียงหนังรัก–ตลกที่ดัดแปลงตำนานเก่าให้เข้ากับยุคใหม่ แต่คือการพิสูจน์ว่าทุนทางวัฒนธรรมของไทยสามารถกลายเป็นทุนทางธุรกิจได้ หากรู้จักเล่าและรู้จักจัดการ และที่สำคัญ มันยังทำหน้าที่เป็นมากกว่าความบันเทิง แต่คือความบันเทิงที่มีพลังปลอบประโลมผู้คนได้ แม้ในยามที่สังคมเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

 

เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า