23 ธ.ค. 2568 | 10:49 น.

KEY
POINTS
ก่อนที่เราจะก้าวเท้าลงสู่ฟลอร์เต้นรำพร้อมไปกับเรื่องราวต่อไปนี้ ขอแนะนำให้คุณรู้จักกับ ‘อัลเฟรด แอพเพล จูเนียร์’ (Alfred Appel, Jr.) อาจารย์ด้านวรรณคดีสมัยใหม่ที่มหาวิทยาลัยเยล ผู้เชี่ยวชาญผลงานของ ‘เจมส์ จอยซ์’ (James Joyce) และ ‘วลาดิเมียร์ นาโบคอฟ’ (Vladimir Nabokov) เจ้าของงานเขียน ‘Jazz Modernism: From Ellington and Armstrong to Matisse and Joyce’ ที่เราจะหยิบบางแง่มุมมาย่อยให้อ่านกัน
แอพเพล ไม่ใช่นักวิชาการที่นั่งเทียนเขียนปรัชญาศิลปะอยู่บนหอคอยงาช้าง แต่เขาคือนักอ่าน นักฟัง และ ‘คนเดินเมือง’ ที่เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า ศิลปะสมัยใหม่ (Modernism) ไม่ใช่สิ่งที่ต้องปีนกระไดดู หรือตัดขาดจากโลกความจริง
ในทางตรงกันข้าม เขาเสนอแนวคิดที่ท้าทายว่า ศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 ล้วนเติบโตขึ้นมาจาก ‘วัฒนธรรมสามัญชน’ (Vernacular Culture) ไม่ว่าจะเป็นดนตรีแจ๊ส เพลงป๊อป โปสเตอร์โฆษณา หรือจังหวะชีวิตของผู้คนทั่วไปบนท้องถนน
ไม่เพียงเชื่อมโยงดนตรีแจ๊สเข้ากับศิลปะ แต่ แอพเพล กำลังบอกเราว่า งานของปรมาจารย์อย่าง ‘ปีต มอนดรียาน’ (Piet Mondrian 1872-1944) นั้น... มันเต้นได้!
เมื่อพูดถึงชื่อ มอนดรียาน ภาพแรกที่แวบเข้ามาในหัวของเราคงหนีไม่พ้น เส้นสายตารางสี่เหลี่ยมสีดำ ตัดกับแม่สีสด ๆ อย่าง แดง เหลือง น้ำเงิน ที่ดูนิ่งสงบ เป็นระเบียบ และเคร่งขรึม เหมือนถูกคำนวณมาอย่างดี งานของเขาดูเหมือนจะพยายาม ‘ตัดอารมณ์’ (Cutting Emotion) ออกไปให้เหลือแต่แก่นแท้ของโครงสร้าง
แต่ช้าก่อน... ภาพจำอันนิ่งสนิทนั้นกำลังจะถูกสั่นคลอน เพราะ แอพเพล ได้พาเราไปรู้จักกับ มอนดรียาน ในอีกมุมหนึ่ง มุมที่คุณปู่วัย 70 ปีคนนี้ ไม่ได้ขลุกอยู่แต่ในห้องทำงานเงียบ ๆ แต่กลับเป็นแฟนพันธุ์แท้ของดนตรีแจ๊สจังหวะเร้าใจ อย่าง ‘Boogie Woogie’ (บูกี-วูกี) ชนิดเข้าเส้น!
ใครจะเชื่อว่า จิตรกรผู้ให้กำเนิดศิลปะแนวนามธรรมที่ดูเข้าใจยากที่สุดคนหนึ่ง จะมีหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสวิง และพร้อมจะขยับเท้าไปกับเสียงเปียโนที่กระแทกกระทั้นในบาร์แจ๊สยามค่ำคืน
จุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องนี้เริ่มต้นในเดือนตุลาคม ปี 1940 เมื่อมอนดรียานจำต้องหนีภัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จากยุโรปข้ามน้ำข้ามทะเลมายังมหานครนิวยอร์ก
ในวัย 70 ปี คนส่วนใหญ่อาจมองหาความสงบและสถานที่ปลอดภัยเพื่อพักผ่อนบั้นปลายชีวิต แต่มอนดรียานไม่ใช่คนส่วนใหญ่เหล่านั้น สำหรับเขา นิวยอร์กไม่ใช่เมืองที่น่าหดหู่สำหรับผู้ลี้ภัยสงคราม แต่คือ ‘สนามเด็กเล่น’ แห่งใหม่ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เขาเรียกนิวยอร์กเล่นๆ ว่า ‘Madhattan’ (Mad + Manhattan) แต่ในความบ้าคลั่งนั้น เขากลับมองเห็นความงาม แอพเพล บรรยายภาพความประทับใจแรกของมอนดรียานที่มีต่อนิวยอร์กไว้อย่างเห็นภาพว่า
“มอนดรียาน เองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กันในปี 1941 กับความพร่างพรูระยิบระยับตลอดแนวไทม์สแควร์และบรอดเวย์... ทั้งขบวนแท็กซี่สีเหลือง เครื่องแบบทหารจากหลากหลายชาติ หน้าร้านที่อัดแน่นไปด้วยสินค้า ข่าวไฟวิ่งที่กระพริบวาบ ป้ายโรงละครนีออนที่สว่างไสว… และเหนือสิ่งอื่นใด คือดนตรีแจ๊ส”
สำหรับมอนดรียาน แสงสีเสียงและความวุ่นวายเหล่านี้ไม่ใช่ ‘ความหยาบโลน’ แต่มันคือระเบียบแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย ‘จังหวะ’ (Rhythm) และจังหวะของเมืองนิวยอร์กนี่เอง ที่ปลุกพลังงานศิลปะในตัวเขาให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
ถ้าภาพจำของ มอนดรียาน ในตำราศิลปะ คือความนิ่ง สงบ และสมดุล... ที่นิวยอร์ก ภาพจำนั้นกำลังจะเปลี่ยนไป เพราะ แอพเพล บันทึกไว้ชัดเจนว่า มอนดรียานไม่ได้แค่ชอบฟังแจ๊สอยู่เงียบ ๆ ที่บ้าน แต่เขาออกไป ‘ใช้ชีวิต’ กับมันตามคลับต่าง ๆ อย่างจริงจัง
เขาเป็นนักสะสมแผ่นเสียงตัวยง โดยเฉพาะสไตล์ดนตรีที่เรียกว่า ‘Boogie Woogie’ ซึ่งเป็นสไตล์เปียโนแจ๊สที่เน้นจังหวะกระแทกกระทั้น รวดเร็ว และดิบเถื่อนกว่าแจ๊สทั่วไป โดยมีศิลปินในดวงใจ อย่าง ‘อัลเบิร์ต แอมมอนส์’ (Albert Ammons) และ ‘พีท จอห์นสัน’ (Pete Johnson) เป็นฮีโร่
ทำไมต้อง Boogie Woogie?
สิ่งที่ทำให้จิตรกรสายมินิมอลคนนี้หลงรักดนตรีแนวนี้หัวปักหัวปำ ไม่ใช่ความไพเราะเสนาะหู แต่คือ ‘โครงสร้างของจังหวะ’ (Rhythmic Structure)
Boogie Woogie เป็นดนตรีที่แทบไม่ให้ความสำคัญกับท่วงทำนองหวานซึ้ง แต่ขับเคลื่อนด้วยแพตเทิร์นซ้ำ ๆ ของมือซ้ายและการด้นสดของมือขวาที่ส่งพลังไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งไปคลิกกับปรัชญาศิลปะเรื่อง ‘Dynamic Equilibrium’ (ดุลยภาพที่มีการเคลื่อนไหว) ที่มอนดรียานยึดถือมาตลอดชีวิตพอดี
แอพเพล นิยามรสนิยมของมอนดรียานไว้อย่างคมคายว่า จังหวะมาก่อน ทำนองมาทีหลัง หรืออาจไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ
ความพีคของเรื่องนี้อยู่ที่เวลาออกสเต็ป มอนดรียานในวัย 70 ปี ชอบเต้น ‘Jitterbug’ (การเต้นสวิงผาดโผนที่ต้องใช้พลังงานสูง) มาก แต่เขามีกฎเหล็กข้อเดียวที่เคร่งครัดยิ่งกว่าการลากเส้นตรงบนผ้าใบ นั่นคือ... ห้ามมี Melody!
เมื่อใดก็ตามที่วงดนตรีเปลี่ยนฟีล จากจังหวะ ‘Boogie Woogie’ มันส์ ๆ มาเล่นเพลงช้า ๆ หรือเพลงบัลลาดที่มีทำนองไพเราะหวานซึ้ง มอนดรียาน จะหยุดชะงักทันที และหันไปบอกคู่เต้นด้วยประโยคสุดคลาสสิกว่า “ไปนั่งกันเถอะ ผมได้ยินเสียงทำนองเพลงแล้ว”
ประโยคสั้น ๆ นี้ ไม่ใช่แค่อาการเอาแต่ใจของคนแก่ แต่คือ ‘คำประกาศจุดยืนทางสุนทรียะ’ (Aesthetic Statement)
สำหรับมอนดรียาน ‘ทำนอง’ (Melody) คือตัวแทนของอารมณ์ดรามา การเล่าเรื่องยืดเยื้อ และความโหยหาอดีต ซึ่งขัดแย้งกับ ‘ความเป็นสมัยใหม่’ (Modernism) ที่เขาแสวงหา แต่ ‘จังหวะ’ (Rhythm) คือความจริงที่จับต้องได้ คือการอยู่กับปัจจุบัน และคือพลังงานบริสุทธิ์ที่ไม่ต้องตีความ
แอพเพล เปรียบเทียบว่า มอนดรียาน กำลังทำสิ่งเดียวกับตำนานแจ๊ส อย่าง ‘หลุยส์ อาร์มสตรอง’ (Louis Armstrong) หรือ ‘แฟ็ทส์ วอลเลอร์’ (Fats Waller) ที่ชอบ ‘รื้อ’ เพลงป๊อปดาษดื่นให้เหลือแค่โครงสร้างจังหวะ แล้วประกอบมันขึ้นใหม่ให้สนุกกว่าเดิม
ดังนั้น สำหรับมอนดรียาน การเต้น Boogie คือ แบบฝึกหัดของความเป็นสมัยใหม่ การเรียนรู้ที่จะตัดทอนสิ่งฟุ่มเฟือย (ทำนอง/อารมณ์) ทิ้งไป ให้เหลือแต่แก่นแท้ที่ขยับเขยื้อนได้จริง นั่นคือ ‘จังหวะ’
และเมื่อจังหวะแห่งนิวยอร์กซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณมากพอ เสียงเปียโนที่กระแทกกระทั้นในคลับแจ๊ส ก็กำลังจะกระโดดขึ้นไปโลดแล่นอยู่บนผืนผ้าใบ กลายเป็นผลงานชิ้นเอกที่โลกไม่ลืม...
ถ้าดนตรี Boogie Woogie คือสิ่งที่มอนดรียานใช้ ‘ฝึกหายใจ’ ให้เข้ากับจังหวะของนิวยอร์ก ภาพวาด ‘Broadway Boogie Woogie’ (1942–43) ก็คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า เขาได้หยุดฟังด้วยหู แล้วเริ่ม ‘ฟังด้วยสายตา’ แล้ว
อัลเฟรด แอพเพล ชวนให้เรามองภาพนี้ใหม่ ไม่ใช่ในฐานะงานนามธรรมที่เป็นแค่ตารางสี่เหลี่ยม แต่เป็น ‘ภาพที่ต้องใช้หูฟัง’
นี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘Synesthesia’ (ซินเนสทีเซีย) หรือสุนทรียศาสตร์แห่งการผสานประสาทสัมผัส เมื่อภาพวาด...ส่งเสียงได้ ซึ่งทำให้เส้นสายและสีสันบนผืนผ้าใบไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มัน ‘สวิง’ (Swing) ไปมา เหมือนวงแจ๊สที่กำลังบรรเลงสด ๆ
ลองสังเกตดูดี ๆ เส้นตรงแนวนอนและแนวตั้งในภาพนี้ ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างแข็งทื่อเหมือนกรงขังอีกต่อไป แต่มันทำงานเหมือน ‘ริฟฟ์เปียโน’ (Piano Riffs) ที่วิ่งไล่กันไปมา
สีเหลือง สีขาว สีฟ้า และสีแดง ไม่ได้ถูกวางเพื่อความสวยงามทางเรขาคณิตเท่านั้น แต่ถูกจัดเรียงเหมือน ‘ตัวโน้ต’ ที่มีจังหวะหนัก-เบา และ สั้น-ยาว สลับกันไปอย่างมีนัยยะสำคัญ
แอพเพล ถึงขั้น ‘อ่าน’ ภาพนี้ให้เราฟัง เหมือนอ่านโน้ตดนตรีเลยทีเดียว
“ลองตั้งใจฟังเส้นแนวนอนที่ขับเคลื่อนภาพนั้นเป็นพิเศษ: เหลือง ขาว เหลือง / ฟ้า เหลือง แดง / เหลือง เหลือง เหลือง เหลือง — นั่นคือการรัวเสียงแบบเทรโมโล (Tremolo)!”
คำว่า Tremolo หรือการรัวเสียงซ้ำ ๆ อย่างรวดเร็วนี้เอง คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ภาพหลุดออกจากกรอบทฤษฎีศิลปะเดิม ๆ กลายเป็นการเคลื่อนไหวทางเสียงที่เรารู้สึกได้ทันทีที่มองเห็น
ที่สำคัญที่สุด Broadway Boogie Woogie ไม่ได้แค่แปลเสียงเพลงมาเป็นภาพครับ แต่มันยังทำหน้าที่บันทึก ‘ภูมิทัศน์ของนิวยอร์ก’ ในแบบที่มอนดรียานมองเห็น
สำหรับเขา เมืองนี้ไม่ได้ประกอบด้วยตึกรามบ้านช่องที่หยุดนิ่ง แต่ประกอบด้วย ‘จังหวะการไหล’ ของรถแท็กซี่สีเหลืองที่วิ่งขวักไขว่ ของไฟจราจรที่เปลี่ยนสี ของป้ายไฟนีออนที่กะพริบวิบวับ และของผู้คนที่เคลื่อนที่ตลอดเวลาบนถนนบรอดเวย์
เส้นในภาพนี้จึงไม่ได้ทำหน้าที่ ‘แบ่งพื้นที่’ เหมือนงานยุคก่อน แต่ทำหน้าที่ ‘พาเราเคลื่อนที่’ ไปเรื่อย ๆ คล้ายกับถนนบรอดเวย์ที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบที่ชัดเจน
แอพเพล ปิดท้ายการวิเคราะห์ภาพนี้ ด้วยคำถามที่ชวนยิ้มและเห็นภาพตามว่า “มอนดรียาน เคยเต้นรำอยู่คนเดียวในสตูดิโอของเขาบ้างไหมนะ?”
คำตอบอาจจะอยู่ในภาพแล้ว เพราะ Broadway Boogie Woogie คือหลักฐานชั้นดีที่บอกว่า มอนดรียาน ไม่ได้เต้นแค่บนฟลอร์ แต่เขายัง ‘เต้นบนผืนผ้าใบ’ โดยใช้สีแทนร่างกาย และใช้เส้นแทนจังหวะนั่นเอง
แต่จังหวะดนตรีของ มอนดรียาน ยังไม่หยุดแค่นี้... งานชิ้นถัดไปซึ่งเป็นงานชิ้นสุดท้ายในชีวิตของเขา จะเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น ซับซ้อนขึ้น และเต็มไปด้วยความหวังต่อโลกหลังสงคราม
หลังจากที่ Broadway Boogie Woogie ทำให้โลกศิลปะต้องตื่นตะลึงไปแล้ว จังหวะในหัวใจของมอนดรียานก็ยังไม่ได้ผ่อนลง กลับกัน มันยิ่งเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น หนาแน่นขึ้น และแตกตัวมากขึ้นไปอีก ในผลงานชิ้นสุดท้ายของชีวิตที่ชื่อว่า ‘Victory Boogie Woogie’ (1942–44)
Victory Boogie Woogie: จังหวะสุดท้ายของความหวัง ภาพนี้คืองานที่มอนดรียานทำค้างไว้ก่อนจะเสียชีวิตในปี 1944 สำหรับ แอพเพล แล้ว ภาพนี้ไม่ใช่แค่ภาคต่อ แต่มันคือการ ‘เร่งจังหวะชีวิตให้ถึงขีดสุด’
คำว่า ‘Victory’ ในชื่อภาพ ไม่ได้เป็นคำเปรียบเปรยลอย ๆ แต่ในบริบทของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กำลังจะสิ้นสุดลง มันคือความหวังต่อ ‘ชัยชนะของโลกเสรี’ และในขณะเดียวกัน ในมุมของศิลปะ มันคือ ชัยชนะของจังหวะที่เอาชนะความนิ่งงัน ได้อย่างเด็ดขาด
หาก Broadway Boogie Woogie ยังพอให้เรามองเห็นเป็นถนนและผังเมืองได้บ้าง Victory Boogie Woogie กลับแทบไม่เปิดโอกาสให้สายตาได้หยุดพักเลย สีถูกซอยย่อยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เส้นสายถูกตัดเป็นจังหวะสั้น ๆ รัว ๆ เหมือนเพลง Boogie Woogie ที่ถูกนักดนตรีเร่งเทมโป (Tempo) ให้เร็วขึ้นไปอีกระดับจนแทบหายใจไม่ทัน
แอพเพล สรุปสถานะของมอนดรียานในช่วงสุดท้ายของชีวิตไว้อย่างคมคายว่า
“มอนดรียาน จิตรกรนามธรรมผู้ไม่ยอมอ่อนข้อ นักทฤษฎี และผู้ลี้ภัยจากสงคราม ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแนวร่วมเดียวกัน และก้าวเข้าสู่อาณาจักรแห่งแจ๊ส (Jazznocracy) แล้ว”
คำว่า ‘Jazznocracy’ ในที่นี้ แอพเพล ไม่ได้หมายถึงแค่แนวเพลง แต่เขาหมายถึง ‘ระบบคุณค่าทางวัฒนธรรม’ ที่ให้ความสำคัญกับจังหวะ พลังชีวิต และการเข้าถึงได้ง่าย พอ ๆ กับทฤษฎีอันซับซ้อน
ในอาณาจักรนี้ มอนดรียานได้เข้ามายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับตำนานอย่าง หลุยส์ อาร์มสตรอง, ดุ๊ก เอลลิงตัน (Duke Ellington) หรือแม้แต่นักเขียนอย่าง เจมส์ จอยซ์ ไม่ใช่เพราะพวกเขาทำงานเหมือนกัน แต่เพราะพวกเขาทุกคนเข้าใจตรงกันว่า ‘ความเป็นสมัยใหม่’ (Modernism) ไม่จำเป็นต้องเย็นชา หรือแยกตัวออกจากชีวิตจริง
Victory Boogie Woogie จึงไม่ใช่งานศิลปะที่ต้องยืนกอดอกตีความด้วยทฤษฎีอันยากเข็ญ แต่มันคืองานที่เรียกร้องให้เรา ‘ยอมรับจังหวะ’ ของมัน เหมือนเวลาเราได้ยินเพลงมันส์ ๆ ดังมาจากบาร์หัวมุมถนน
ใครก็ตามที่เผลอขยับเท้าตามจังหวะสีสันในภาพนี้โดยไม่รู้ตัว คน ๆ นั้นอาจจะเข้าใจ มอนดรียาน ได้ลึกซึ้งยิ่งกว่านักวิจารณ์ศิลปะที่ยืนจ้องมันในพิพิธภัณฑ์เสียอีก
และนี่คือบทสรุปที่สวยงามที่สุดของเรื่องนี้... มอนดรียานไม่ได้ละทิ้งความเป็นมินิมอล (Minimalist) ที่สร้างมาทั้งชีวิต แต่เขาเพียงแค่ทำให้ความมินิมอลนั้น... ‘สวิง’
หวังว่าบทความนี้จะทำให้คุณมองภาพตารางสี่เหลี่ยมของ พีต มอนดรียาน เปลี่ยนไป และได้ยินเสียงดนตรีแจ๊สทุกครั้งที่มองเห็นงานศิลปะของเขา!
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: Getty Images
ที่มา:
- Appel, Alfred, Jr. Jazz Modernism: From Ellington and Armstrong to Matisse and Joyce. Yale University Press, 2002.