จินตนาการถึง ‘Postmodern Football’ เมื่อฟุตบอลสมัยใหม่กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ

จินตนาการถึง ‘Postmodern Football’ เมื่อฟุตบอลสมัยใหม่กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ

บทความนี้จะชวนให้ผู้อ่านนึกถึง ‘Postmodern Football’ กับฟุตบอลในยุคปัจจุบันว่าไฉนในบางคราวถึงดูจำเจและเต็มไปด้วยความเพรียบพร้อมแม่นยำแบบวิทยาศาสตร์ ต่างกับในอดีตที่เราจะได้เห็นการเล่นนอกขนบที่สีสันจัดจ้านจนเกิดเป็นภาพความทรงจำในอดีต

KEY

POINTS

 

ผมคิดว่าทุกวันนี้ผมชอบดูเทนนิสมากกว่าฟุตบอล
ผมดูฟุตบอลไม่ได้แล้ว ผมคิดว่ามันน่าเบื่อเกินไป
” 

 

ประโยคข้างต้นมาจากคำพูดของ ‘โรนัลโด้ หลุยส์ นาซาริโอ เดอ ลิมา’ (Ronaldo Luz Nazario de Lima) หรือที่แฟนบอลทั่วโลกรู้จักกันในชื่อ ‘โล้นทองคำ’ (R9) อดีตศูนย์หน้าทีมชาติบราซิล ผู้ที่เคยกุมหัวใจแฟนบอลทั่วโลกด้วยลีลาการเล่นอันแพรวพราว ผู้คว้ารางวัลฟีฟ่าบัลลงดอร์ (FIFA Ballon d'Or) ถึง 3 สมัย และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของยุคสมัยที่ฟุตบอลยังเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความเป็นศิลปะ 

คำพูดสั้น ๆ ของเขาชวนให้ตั้งคำถามว่า บางทีฟุตบอลที่เราดูกันอยู่ทุกวันนี้ จริงหรือไม่ที่หลายคนมองว่ามันอาจไม่สนุกเหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะไม่ว่าจะมองไปที่การแข่งขันในระดับไหน เรามักเห็นภาพระบบการเล่นที่คล้ายคลึงกันอย่างประหลาด มินับบุคลิกท่าทางของนักเตะที่แสดงออก ท่าดีใจ หรือแม้แต่สไตล์การแต่งตัว ราวกับว่าทั้งหมดนี้คือหุ่นยนต์ที่ถูกผลิตออกมาจากสายพานในโรงงานเดียวกัน 

 

จินตนาการถึง ‘Postmodern Football’ เมื่อฟุตบอลสมัยใหม่กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ

 

ฟุตบอลที่เคยถูกเปรียบเป็นบัลเลต์ของชนชั้นแรงงาน จึงค่อย ๆ กลายเป็นสินค้าสำเร็จรูปสำหรับผู้บริโภค มันได้สูญเสียเอกลักษณ์และความยากจะคาดเดาซึ่งเคยเป็นเสน่ห์สำคัญของกีฬานี้ให้หายไป และที่น่าขันก็คือ หากคุณบังเอิญรู้สึกว่าฟุตบอลยุคนี้ช่างน่าเบื่อ คุณอาจถูกมองว่าเป็นคนล้าหลัง ไม่เข้าใจวิทยาศาสตร์ของกีฬา  ทั้งที่ยังเป็นข้อสงสัยอยู่ว่า ‘ฟุตบอลสมัยใหม่’ ที่เต็มไปด้วยระบบระเบียบนี้ มันคือความใหม่ของตรรกะในระบบทุนนิยมหรือไม่ ทุนได้เข้ามาควบคุมทุกอณูของเกมจนแทบไม่เหลือพื้นที่ให้กับจินตนาการและความหลากหลายอีกต่อไป

หากคุณรู้สึกในแบบเดียวกับโรนัลโด้ บทความนี้จะชวนคุณสำรวจว่า แท้จริงแล้วฟุตบอลสมัยใหม่คืออะไร? มันใหม่อย่างที่เราเข้าใจกันจริงหรือไม่ และเรายังสามารถจินตนาการถึงฟุตบอลหลังยุคสมัยนี้อย่างไร?

ฟุตบอลสมัยใหม่คืออะไร ? 

หากเราลองสืบค้นต้นกำเนิดของคำว่า ‘ฟุตบอลสมัยใหม่’ (modern football) ซึ่งปรากฎครั้งแรกในโลกตะวันตก จะพบว่า ‘ความใหม่’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเพิ่งอุบัติขึ้น (เช่น การมีเมียใหม่ การซื้อรถใหม่) หรือเป็นพัฒนาการด้านแท็กติค (tactics) และนวัตกรรมใด ๆ แต่หมายถึงการลุกฮือของแฟนบอลต่อระบบการแข่งขันที่เริ่มถูกผูกขาดโดยระบบทุน โดยเฉพาะแฟนบอลในอังกฤษจำนวนมากเริ่มใช้คำนี้ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 เมื่อลีกฟุตบอลของพวกเขากลายเป็นธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านปอนด์ ส่งผลให้แฟนบอลท้องถิ่นต้องเผชิญราคาตั๋วสูงลิ่ว จนหลายคนหันไปเชียร์ทีมโปรดจากผับแทนการเข้าชมเกมในสนามจริง เสื้อแข่งขันที่ผลิตใหม่ทุกปีกลายเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นและจับต้องได้ยาก และสนามที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนก็ถูกตั้งชื่อตามบริษัทผู้สนับสนุน

ในทางตรงกันข้ามเมื่อมองไปที่ความรับรู้ในสังคมไทย ‘ฟุตบอลสมัยใหม่’ กลับถูกตีความแตกต่างออกไป กลายเป็นคำที่หมายถึงความก้าวหน้าในกลยุทธ์และรูปแบบการเล่น เราจะเห็นศัพท์แสงสำคัญเช่น ‘การเพรสซิ่งสูง’ (High Pressing) ซึ่งคือยุทธวิธีที่ผู้เล่นพยายามกดดันคู่ต่อสู้ตั้งแต่แนวหน้าหรือใกล้กรอบเขตโทษ  และ ‘การบิลด์อัพ’ (Build-up Play) ที่เป็นกระบวนการขึ้นเกมจากแนวหลังเพื่อพาบอลเข้าสู่พื้นที่โจมตีอย่างเป็นระบบ 

แนวคิดเหล่านี้สะท้อนความเชื่อที่ว่า ‘การครองบอลคือการควบคุมเกม’ ซึ่งทำให้ตำแหน่งผู้รักษาประตู (goalkeeper) ต้องปรับบทบาทจากการใช้มือป้องกันประตูเพียงอย่างเดียว มาเป็นผู้เล่นที่ต้องใช้เท้าได้คล่องไม่ต่างจากผู้เล่นตำแหน่งอื่น ในความรับรู้ของแฟนบอลไทย สิ่งเหล่านี้กลายเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก (pop culture) ของการดูฟุตบอล และถูกผลิตซ้ำเพื่อกำหนดว่าฟุตบอลที่ดี ทันสมัย และมีประสิทธิภาพต้องเล่นตามรูปแบบนี้ ความเชื่อดังกล่าวถูกยืนยันด้วยความสำเร็จของโค้ชทั้งไทยและระดับโลกหลายคน ชื่อของ ‘เป๊ป กวาร์ดิโอล่า’ (Pep Guardiola) ถูกมองในฐานะผู้บุกเบิกนวัตกรรมทางฟุตบอล จนลืมคิดไปว่าทีมที่ประสบความสำเร็จด้วยวิธีการเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการเล่นตามพิมพ์เขียวของฟุตบอลสมัยใหม่เพียงอย่างเดียว แต่ปัจจัยที่ทำให้แต่ละทีมโดดเด่นนั้นมีความซับซ้อนและเฉพาะตัว ซึ่งทีมอื่น ๆ มักละเลยไปในขณะที่พยายามเลียนแบบเพียงรูปแบบการเล่น 

 

ฟุตบอลสมัยใหม่ในโลกสัจจนิยมแบบทุน:
เมื่อทุกอย่างในสนามหญ้าดูคล้ายๆกันไปหมด 

มาร์ค ฟิชเชอร์’ (Mark Fisher) นักรัฐศาสตร์ชาวอังกฤษ เคยเสนอแนวคิด ‘สัจจนิยมแบบทุน’ (capitalist realism) โดยนิยามว่ามันคือ ความเชื่อที่ถูกทำให้แพร่หลายจนกลายเป็นทัศนคติทั่วไป สิ่งเหล่านี้ช่วยเปิดทางให้ระบบทุนนิยมและ ‘ความป็อบ’ ขยายตัวอย่างตะกละตะกลามแทรกซึมเข้าสู่ทุกอาณาบริเวณของชีวิต  พร้อมยืนกรานว่าทุนนิยมคือทางเลือกเดียวที่เรามี เราลองมาคิดดูว่าฟุตบอลสมัยใหม่ที่เราถือมั่นเป็นแบบนั้นหรือไม่

คงคร้านที่จะถกเถียงกันแล้วว่าระบบทุนนิยมได้เปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของวงการฟุตบอลอย่างไร แต่ซ้ำร้ายทุนนิยมยังค่อยๆ เปลี่ยนวิธีที่มนุษย์ ‘รู้สึก’ ต่อเกมการแข่งขันนี้อย่างแนบเนียน นอกจากถูกทำให้กลายเป็นสินค้าที่ต้องคุ้มค่าในทุกวินาทีของการลงทุน สโมสรฟุตบอลต้องตอบโจทย์ผู้ถือหุ้น แบรนด์ต้องตอบสนองผู้บริโภค เกมจึงถูกออกแบบด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ แผนผังแท็กติก และทุกการเคลื่อนไหวของนักเตะถูกคำนวณล่วงหน้าในสมการทางคณิตศาสตร์ ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจถูกตีความว่าเป็น ‘ความไร้วินัย’ หรือ ‘การทำลายระบบทีม’ และการเคลื่อนไหวของนักเตะจึงถูกกำหนดด้วยสถิติที่วัดผลได้ 

เราจึงยากที่จะเห็นนักเตะรุ่นใหม่ที่มีรูปร่างตุ้ยนุ้ยแบบ พอล แกสคอยน์ หรือ ดีเอโก้ มาราโดน่า เพราะฟุตบอลสมัยใหม่ไม่ได้สร้างพื้นที่ให้กับ ‘ความแตกต่าง’ เพราะเราเชื่อว่าไม่มีทางหนทางที่นำไปสู่ความสำเร็จได้ต้องเดินตามพิมพ์เขียวของทุน 

 

จินตนาการถึง ‘Postmodern Football’ เมื่อฟุตบอลสมัยใหม่กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ

 

ฟุตบอลสมัย (ใหม่) จึงถูกห่อหุ้มด้วยคำว่า ‘นวัตกรรม’ ที่ถูกยกขึ้นเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ ใช้เรียกทุกสิ่งที่ดูใหม่ ทันสมัย หรือฉลาดล้ำ โดยที่หลายครั้งเราอาจไม่ได้เข้าใจความซับซ้อนที่อยู่เบื้องหลัง โดยหนังสือ ‘มายานวัตกรรม’ (The Myths of Innovation) เขียนโดย สก็อตต์ เบอร์คุน (Scott Berkun) ได้เปิดโปงมายาคติเหล่านี้ว่า มีความเข้าใจผิดที่สังคมมักมีต่อคำว่านวัตกรรม โดยเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นจาก ‘วาบความคิดของอัจฉริยะ’ หรือเป็นผลงานของ ‘คนเก่งเพียงคนเดียว’ หากในข้อเท็จจริงแล้ว ไม่มีนวัตกรรมใดที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน ทุกสิ่งที่ยิ่งใหญ่ล้วนผ่านกระบวนการการลองผิดลองถูก การสะสมความรู้ และการร่วมมือกันของผู้คนจำนวนมากอย่างยาวนาน โทรศัพท์ เครื่องบิน หรืออินเทอร์เน็ต ไม่ได้ถูกสร้างโดยคนเพียงคนเดียว และไม่ได้เกิดจากไอเดียอันยิ่งใหญ่ที่สุด

หลายครั้งไอเดียที่ดีกลับพ่ายให้กับไอเดียที่เหมาะกับเวลาและสังคมมากกว่า เช่น อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell) ความจริงแล้วเบลล์ไม่ได้เป็นคนแรกที่คิดค้นโทรศัพท์ มีนักประดิษฐ์หลายคน เช่น อีลิชา เกรย์ (Elisha Gray) และอันโตนิโอ เมอุชชี่ (Antonio Meucci) ที่พัฒนาแนวคิดเดียวกันมาก่อน แต่เบลล์คือคนที่จดสิทธิบัตรได้ตรงจังหวะ และมีเครือข่ายทางสังคมที่พร้อมสนับสนุน ทำให้โทรศัพท์ของเขากลายเป็น ‘นวัตกรรม’ ในเชิงพาณิชย์ ทั้งที่ในเชิงเทคนิคอาจไม่ได้เหนือกว่าคนอื่นมากนัก

เมื่อย้อนกลับมามองสิ่งที่เรียกว่าฟุตบอลสมัยใหม่เราจึงพบว่าโลกของเกมลูกหนังนั้นเต็มไปด้วย ‘มายานวัตกรรม’ ไม่ต่างจากโลกของเทคโนโลยีหรือธุรกิจ หนึ่งในบุคคลที่มักถูกยกให้เป็น ‘ผู้ปฏิวัติศาสตร์แห่งฟุตบอลสมัยใหม่’ คือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้ให้กำเนิดฟุตบอลแบบ positional play หรือ ‘การเล่นแบบยึดพื้นที่’

ในบทสัมภาษณ์หนึ่งกวาร์ดิโอล่ากลับเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า แนวคิดนี้ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ที่เขาคิดค้นขึ้นเอง ทว่าแต่เป็นสิ่งที่เขาหยิบยืมมาจากแนวคิดของเฮอร์เบิร์ต แชปแมน (Herbert Chapman) ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อลในช่วงปี 1925–1934 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่มีคำว่า ‘ฟุตบอลสมัยใหม่’ หรือ ‘นวัตกรรม’ แบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน  

เช่นเดียวกับการเล่นแบบ high pressing และ build-up play ที่กล่าวไว้ในช่วงบทนำก็มีรากฐานมาจากฟุตบอลดัตช์ในยุค 1970 ของไรนุส มิเชลล์ (Rinus Michels) ของทีม Ajax Amsterdam นี่เป็นการตอกย้ำว่า นวัตกรรมในฟุตบอลสมัยใหม่ไม่ได้หมายถึงการสร้างสิ่งใหม่จากศูนย์ หากแต่คือการนำแนวคิดเก่ามาปรับให้สอดคล้องกับยุคสมัย ความใหม่จึงไม่จำเป็นต้องเบียดขับความเก่าให้หายไป หากแต่ดำรงอยู่ร่วมกันในเงื่อนไขของเวลา และวัฒนธรรมการบริโภค ฟุตบอลสมัยใหม่จึงเป็นแค่ฟุตบอลสมัยนี้เท่านั้น 

หากแต่คำว่าฟุตบอลสมัยใหม่ได้กลายเป็นสิ่งที่ทุนและแฟนบอลชื่นชอบพร้อมๆกัน สำหรับทุนมันคือสินค้าที่สามารถลงทุนแล้วการันตีผลตอบแทน ลดความเสี่ยง และสร้างรายได้มหาศาล ส่วนแฟนบอลมองเห็นความตื่นเต้น ความรวดเร็ว และความแข็งแกร่งแม่นยำคล้ายกับกีฬาของต่อสู้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้อยู่เต็มอกว่าเกมนี้ไม่ได้แข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน ทีมทุนหนามีอำนาจและทรัพยากรหนุนหลังมากกว่าทีมทุนน้อย แต่ความไม่เท่าเทียมนี้มักถูกกลบเกลื่อนด้วยภาพลักษณ์ของการแข่งขันให้เป็นเพียงการวางกลยุทธ์ของโค้ชและความสามารถของนักเตะในสนาม ซ้ำร้ายทีมเล็กกลับถูกครอบงำโดยยังใช้รูปแบบการเล่นเดียวกันกับทีมใหญ่เพราะเชื่อว่ามันไม่มีทางเลือกอื่น ๆ 

 

ผู้รักษาประตูสมัยใหม่
กับการเมืองในพื้นที่กรอบ 18 หลา 

ผู้เขียนขอยกตัวอย่างการเมืองในพื้นที่กรอบ 18 หลาหรือเขตโทษ (Penalty Area) ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญหน้าประตูในสนามฟุตบอล มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า อยู่หน้าประตูทั้งสองด้าน มีความกว้าง: 16.5 เมตร จากเสาประตูทั้งสองเสา (ประมาณ 18 หลา จึงเรียกกรอบ 18 หลานั่นเอง) โดยมีผู้รักษาประตูที่เป็นตำแหน่งสำคัญในพื้นที่นี้ สามารถจับหรือควบคุมบอลด้วยมือได้เฉพาะในกรอบนี้เท่านั้น 

ในช่วงเริ่มแรกของฟุตบอลที่อ้างถึงกฎกติกาที่สมาคมฟุตบอลอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1863 แต่เดิมไม่ได้กำหนดบทบาทผู้รักษาประตูโดยเฉพาะ ผู้เล่นทุกคนสามารถใช้มือจับลูกบอลได้ตามต้องการ แต่ไม่นานนัก การใช้มือจับบอลโดยผู้เล่นทั่วไปก็ถูกห้ามโดยเด็ดขาดในปี ค.ศ. 1870 เพื่อให้เกมมีระเบียบและชัดเจนมากขึ้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1871 กฎถูกปรับแก้เพื่อให้เกิดตำแหน่งผู้รักษาประตูโดยเฉพาะ ซึ่งอนุญาตให้ผู้รักษาประตูเป็นผู้เล่นคนเดียวที่สามารถจับบอลด้วยมือเพื่อปกป้องประตูได้เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นกฎเกี่ยวกับ

ผู้รักษาประตูมีการปรับเปลี่ยนหลายครั้งตามความเหมาะสมของเกม เช่น ในปี 1992 มีการออกกฎ ‘Back-pass’ ที่ห้ามผู้รักษาประตูจับบอลจากการส่งคืนโดยตั้งใจของเพื่อนร่วมทีม และในปี 1997 กำหนดเวลาการถือบอลไม่เกิน 6 วินาที การเปลี่ยนแปลงกฎเหล่านี้ทำให้บทบาทผู้รักษาประตูพัฒนาอย่างมากจากผู้เล่นที่ใช้มือจับบอลได้อย่างเสรี กลายเป็นตำแหน่งที่มีกฎชัดเจนทั้งเรื่อง พื้นที่ในการใช้มือ จำนวนก้าว และเวลาที่ถือบอล 

อย่างไรก็ตาม ผู้รักษาประตูสมัยใหม่ถูกนิยามด้วยรูปแบบการเล่นที่รวดเร็วขึ้น มีร่างกายสูงใหญ่ และการมีส่วนร่วมในเกมรุก ทำให้ผู้รักษาประตูต้องมีทักษะการเล่นบอลด้วยเท้าเสมือนผู้เล่นในตำแหน่งอื่นๆ ตัวอย่างเช่น อลิสซง เบเกอร์ (Alisson Becker) และ แอเดอสัน (Ederson) มักถูกเรียกขานในฐานะผู้รักษาประตูที่เล่นบอลด้วยเท้าได้ดีและสามารถช่วยทีมในการบิลด์อัพเกมได้

เราเคยสงสัยไหมว่าในอดีตเคยมีผู้รักษาประตูในแบบเดียวกันหรือไม่ แน่อนว่าไม่ใช่ว่าไม่มี  เพียงแต่มันไม่ค่อยได้ถูกเล่าอยู่ในวัฒนธรรมกระแสหลัก ในอดีตผู้รักษาประตูที่ใช้เท้าอย่างคล่องแคล่วนอกกรอบเขตโทษอย่าง ฮอร์เก้ คัมโปส (Jorge Campos) หรือ เรเน่ ฮิกิต้า (René Higuita) ต่างเคยเลี้ยงบอลออกมาสร้างเกมส์รุกได้เองอยู่บ่อยครั้ง หรือแม้แต่ โรเจริโอ เซนี (Rogério Ceni) ที่สามารถยิงประตูได้มากกว่ากองหน้าหลาย ๆ คนด้วยซ้ำ 

 

จินตนาการถึง ‘Postmodern Football’ เมื่อฟุตบอลสมัยใหม่กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ

 

คำถามคือ ทำไมพวกเขาถึงไม่ได้ถูกจัดในหมวดหมู่ของความทันสมัย ทั้งที่ถ้าใช้มาตรวัดเดียวกันพวกเขาถือว่าก้าวหน้ากว่ามาก เหตุผลหนึ่งคือ พวกเขาล้ำยุคเกินไปในเวลาที่ระบบแท็กติกของฟุตบอลยังไม่รองรับสิ่งที่พวกเขาทำ การออกมาเล่นนอกกรอบเขตโทษของพวกเขาเป็นการ ‘แหกกรอบ’ มากกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบเกม ในขณะที่ยุคปัจจุบันผู้รักษาประตูถูกฝึกให้ใช้เท้าอย่างเป็นระบบ 

สอง พวกเล่นลงเล่นในประเทศชายขอบของวัฒนธรรมแบบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเม็กซิโก โคลอมเบีย หรือบราซิล ที่นิยามคำว่า modern football ยังถูกผูกขาดโดยยุโรป การเล่นของเขาจึงถูกเล่าในฐานะสีสันไม่ใช่นวัตกรรม ในทางตรงกันข้ามเมื่อผู้รักษาประตูในลีกชั้นนำทำสิ่งเดียวกัน มันกลับถูกเรียกว่า ‘การปฏิวัติทางแท็กติก’ เช่นเดียวกับลักษณะเด่นบางประการของพวกเขาท้าทายกับโครงสร้างอำนาจของโลกสัจจนิยมแบบทุนที่ไม่เน้นสิ่งที่ไม่ถูกใจตลาด เช่น ฮอร์เก้ คัมโปส นิยมใส่เสื้อสีฉูดฉาดแทนที่จะใส่ตามที่สปอนเซอร์ออกแบบให้ ทั้งมีส่วนสูงเพียง 170 ซม. ถือว่าเตี้ยไปสำหรับตำแหน่งผู้รักษาประตู และ เรเน่ ฮิกิต้า มีท่าป้องกันประตูที่ชื่อว่า ‘สกอเปี้ยน คิก’ (Scorpion Kick) ที่ไม่มีใครกล้าเลียนแบบ รวมถึง โรเจริโอ เซนี ที่มีการยิงประตูจากลูกจุดโทษและฟรีคิก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของผู้เล่นในตำแหน่งอื่น 

 

จินตนาการถึง ‘Postmodern Football’ เมื่อฟุตบอลสมัยใหม่กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ

 

จินตนาการถึง ‘Postmodern Football’ เมื่อฟุตบอลสมัยใหม่กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ

 

อนึ่ง ปีเตอร์ ชไมเคิล (Peter Schmeichel) ผู้รักษาประตูทีมชาติเดนมาร์กแสดงให้เห็นถึงการท้าทายโครงสร้างอำนาจของฟุตบอลอย่างชัดเจนในศึกยูโร 1992 เดนมาร์กในตอนนั้นถูกมองเป็น ‘ม้านอกสายตา’ แต่ด้วยวิธีการเล่นที่แตกต่างของเขา ทำให้ทีมสามารถคว้าแชมป์อย่างเหนือความคาดหมาย สิ่งที่โดดเด่นคือ การใช้กฎ ‘แบ็คพาส’ อย่างชาญฉลาด ทีมเดนมาร์กมักส่งบอลกลับหลังให้ชไมเคิลเพื่อยืดเวลาและควบคุมจังหวะเกม ซึ่งในช่วงนั้นผู้รักษาประตูสามารถจับบอลได้ ทำให้เกมช้าลงช่วยลดความเสี่ยงในการเสียประตู และที่สำคัญมันได้กลายเป็นยุทธวิธีซึ่งทำให้ทีมเล็กสามารถต่อกรกับทีมใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกนำไปใช้ต่ออย่างแพร่หลาย

อย่างไรก็ดี วิธีการเล่นนี้ไม่ตอบโจทย์ของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ที่ต้องการให้ฟุตบอลมีความเร็ว และน่าตื่นเต้น ฟีฟ่ามองว่าวิธีแบบแบ็คพาสไม่เป็นผลดีแต่เกมส์ที่ต้องการความบันเทิงจากการยิงประตูของทีมยักษ์ใหญ่ ผลลัพธ์คือฟีฟ่าต้องแก้กฎในปี 1992–1997 เพื่อห้ามผู้รักษาประตูจับบอลจากการส่งกลับของเพื่อนร่วมทีม ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักในชื่อ กฎแบ็คพาส (Back-pass rule) กรณีนี้เป็นการยืนยันว่าความเร็วในเกมฟุตบอลไม่ได้มาจากพัฒนาการเพียงอย่างเดียว แต่ถูกกำหนดโดยผู้มีอำนาจ

 

แล้วเราจะจินตนาการถึง
ฟุตบอลหลังสมัยใหม่อย่างไร ?

การพูดถึงฟุตบอลหลังสมัยใหม่ไม่ใช่การโหยหาอดีต หรือบอกว่าฟุตบอลยุคมาราโดน่าดีกว่าฟุตบอลยุคเมสซี่ หากคือการตั้งคำถามว่าเมื่อทุนกลืนกินทุกอย่างในเกมนี้ไปหมดแล้ว เรายังสามารถ จินตนาการถึงฟุตบอลแบบอื่นได้อีกหรือไม่? 

เมื่อฟุตบอลเกิดขึ้นจากวัฒนธรรมท้องถิ่นนิยมที่สอดคล้องกับสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง และไม่ใช่แค่เกมของนักเตะ 22 คนในสนาม หากเป็นเรื่องของคนที่อยู่รอบ ๆ มัน ทั้งคนทำความสะอาดห้องน้ำ ป้าที่ขายเบียร์หน้าสนาม แฟนบอลที่นั่งดูฟรีจากหลังคาบ้าน นักเตะเยาวชนผู้ถูกเบี้ยวค่าแรง ฟุตบอลสมัยหลังสมัยใหม่จึงหมายถึงการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มคนเหล่านี้มีส่วนร่วมทั้งในและนอกสนาม (ทีมในสแกนดิเนเวียร์ส่วนใหญ่แฟนบอลถือหุ้นมากกว่านายทุน) 

 

จินตนาการถึง ‘Postmodern Football’ เมื่อฟุตบอลสมัยใหม่กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ

 

เรายอมรับได้ว่าการตัดสินผู้เล่นด้วยตัวเลขและสถิติอาจเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพ แต่มันไม่อาจลดทอนความแปลกใหม่และความยากจะคาดเดาในเกมได้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น พาทริก ดอร์กู แบ็กซ้ายดาวรุ่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดในบรรดาผู้เล่นตำแหน่งเดียวกันทั่วยุโรป ขณะที่ลิโอเนล เมสซี่กลับมีระยะทางวิ่งต่อเกมน้อยกว่าตอนที่เขาวิ่งหยอกล้อลูกชายที่บ้าน คำถามคือ คุณจะกล้าบอกไหมว่าใครกันแน่คือ ‘ฟุตบอลสมัยใหม่’ ในทำนองเดียวกัน 

หากคุณยังมองว่า ฮอร์เก้ คัมโปส หรือ เรเน่ ฮิกิต้า เป็นแค่ตัวตลกของวงการ นั่นอาจหมายความว่าเราคงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะอยู่ในโลกสัจจนิยมแบบทุน ที่คอยกำหนดแทนเราว่าอะไรคือ ‘มืออาชีพ’ และอะไรคือ ‘ของแปลก’ แม้เราจะรู้อยู่เต็มอกว่าพวกเขาเคยลงเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้วก็ตาม และบางทีสิ่งที่โรนัลโด้พูดไว้ในตอนต้นว่า ‘ฟุตบอลทุกวันนี้น่าเบื่อ

อาจไม่ใช่เพราะว่าทุกอย่างมันเหมือนกันไปหมด แต่น่าเบื่อเพราะโรนัลโด้ไม่รู้จักฟุตบอลก็ได้ 555+

 

ภาพ : Getty Images

อ้างอิง 
Berkun, S. (2019). มายานวัตกรรม (สฤณี อาชวานันทกุล, แปล). กรุงเทพฯ: ซอลต์ พับลิชชิ่ง. 

Cox, M. (2017). The Mixer: The Story of Premier League Tactics, from Route One to False Nines. London: HarperCollins Publishers.

Mark Fisher. (2009). Capitalist Realism: Is There No Alternative? London: Zero Books.

จาตุรงค์ สุทาวัน. (2024) reflection ของหนังสือเมื่อโลกซึมเศร้า Mark Fisher โลกสัจนิยมแบบทุนและลัดดาแลนด์. Cracker books. 

จาตุรงค์ สุทาวัน. (2024) เราไม่ได้เกลียดฟุตบอลสมัยใหม่ แต่เราเกลียดทุนนิยม.งานประชุมสมาคมปรัชญาสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทยครั้งที่ 2 

สรวิศ ชัยนาม. (2022). เมื่อโลกซึมเศร้า Mark Fisher โลกสัจนิยมแบบทุนและลัดดาแลนด์. กรุงเทพฯ: อิลลูมิเนชั่น อิดิชั่น