08 พ.ย. 2568 | 18:00 น.

KEY
POINTS
“ผมคิดว่าทุกวันนี้ผมชอบดูเทนนิสมากกว่าฟุตบอล
ผมดูฟุตบอลไม่ได้แล้ว ผมคิดว่ามันน่าเบื่อเกินไป”
ประโยคข้างต้นมาจากคำพูดของ ‘โรนัลโด้ หลุยส์ นาซาริโอ เดอ ลิมา’ (Ronaldo Luz Nazario de Lima) หรือที่แฟนบอลทั่วโลกรู้จักกันในชื่อ ‘โล้นทองคำ’ (R9) อดีตศูนย์หน้าทีมชาติบราซิล ผู้ที่เคยกุมหัวใจแฟนบอลทั่วโลกด้วยลีลาการเล่นอันแพรวพราว ผู้คว้ารางวัลฟีฟ่าบัลลงดอร์ (FIFA Ballon d'Or) ถึง 3 สมัย และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของยุคสมัยที่ฟุตบอลยังเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความเป็นศิลปะ
คำพูดสั้น ๆ ของเขาชวนให้ตั้งคำถามว่า บางทีฟุตบอลที่เราดูกันอยู่ทุกวันนี้ จริงหรือไม่ที่หลายคนมองว่ามันอาจไม่สนุกเหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะไม่ว่าจะมองไปที่การแข่งขันในระดับไหน เรามักเห็นภาพระบบการเล่นที่คล้ายคลึงกันอย่างประหลาด มินับบุคลิกท่าทางของนักเตะที่แสดงออก ท่าดีใจ หรือแม้แต่สไตล์การแต่งตัว ราวกับว่าทั้งหมดนี้คือหุ่นยนต์ที่ถูกผลิตออกมาจากสายพานในโรงงานเดียวกัน
ฟุตบอลที่เคยถูกเปรียบเป็นบัลเลต์ของชนชั้นแรงงาน จึงค่อย ๆ กลายเป็นสินค้าสำเร็จรูปสำหรับผู้บริโภค มันได้สูญเสียเอกลักษณ์และความยากจะคาดเดาซึ่งเคยเป็นเสน่ห์สำคัญของกีฬานี้ให้หายไป และที่น่าขันก็คือ หากคุณบังเอิญรู้สึกว่าฟุตบอลยุคนี้ช่างน่าเบื่อ คุณอาจถูกมองว่าเป็นคนล้าหลัง ไม่เข้าใจวิทยาศาสตร์ของกีฬา ทั้งที่ยังเป็นข้อสงสัยอยู่ว่า ‘ฟุตบอลสมัยใหม่’ ที่เต็มไปด้วยระบบระเบียบนี้ มันคือความใหม่ของตรรกะในระบบทุนนิยมหรือไม่ ทุนได้เข้ามาควบคุมทุกอณูของเกมจนแทบไม่เหลือพื้นที่ให้กับจินตนาการและความหลากหลายอีกต่อไป
หากคุณรู้สึกในแบบเดียวกับโรนัลโด้ บทความนี้จะชวนคุณสำรวจว่า แท้จริงแล้วฟุตบอลสมัยใหม่คืออะไร? มันใหม่อย่างที่เราเข้าใจกันจริงหรือไม่ และเรายังสามารถจินตนาการถึงฟุตบอลหลังยุคสมัยนี้อย่างไร?
หากเราลองสืบค้นต้นกำเนิดของคำว่า ‘ฟุตบอลสมัยใหม่’ (modern football) ซึ่งปรากฎครั้งแรกในโลกตะวันตก จะพบว่า ‘ความใหม่’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเพิ่งอุบัติขึ้น (เช่น การมีเมียใหม่ การซื้อรถใหม่) หรือเป็นพัฒนาการด้านแท็กติค (tactics) และนวัตกรรมใด ๆ แต่หมายถึงการลุกฮือของแฟนบอลต่อระบบการแข่งขันที่เริ่มถูกผูกขาดโดยระบบทุน โดยเฉพาะแฟนบอลในอังกฤษจำนวนมากเริ่มใช้คำนี้ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 เมื่อลีกฟุตบอลของพวกเขากลายเป็นธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านปอนด์ ส่งผลให้แฟนบอลท้องถิ่นต้องเผชิญราคาตั๋วสูงลิ่ว จนหลายคนหันไปเชียร์ทีมโปรดจากผับแทนการเข้าชมเกมในสนามจริง เสื้อแข่งขันที่ผลิตใหม่ทุกปีกลายเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นและจับต้องได้ยาก และสนามที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนก็ถูกตั้งชื่อตามบริษัทผู้สนับสนุน
ในทางตรงกันข้ามเมื่อมองไปที่ความรับรู้ในสังคมไทย ‘ฟุตบอลสมัยใหม่’ กลับถูกตีความแตกต่างออกไป กลายเป็นคำที่หมายถึงความก้าวหน้าในกลยุทธ์และรูปแบบการเล่น เราจะเห็นศัพท์แสงสำคัญเช่น ‘การเพรสซิ่งสูง’ (High Pressing) ซึ่งคือยุทธวิธีที่ผู้เล่นพยายามกดดันคู่ต่อสู้ตั้งแต่แนวหน้าหรือใกล้กรอบเขตโทษ และ ‘การบิลด์อัพ’ (Build-up Play) ที่เป็นกระบวนการขึ้นเกมจากแนวหลังเพื่อพาบอลเข้าสู่พื้นที่โจมตีอย่างเป็นระบบ
แนวคิดเหล่านี้สะท้อนความเชื่อที่ว่า ‘การครองบอลคือการควบคุมเกม’ ซึ่งทำให้ตำแหน่งผู้รักษาประตู (goalkeeper) ต้องปรับบทบาทจากการใช้มือป้องกันประตูเพียงอย่างเดียว มาเป็นผู้เล่นที่ต้องใช้เท้าได้คล่องไม่ต่างจากผู้เล่นตำแหน่งอื่น ในความรับรู้ของแฟนบอลไทย สิ่งเหล่านี้กลายเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก (pop culture) ของการดูฟุตบอล และถูกผลิตซ้ำเพื่อกำหนดว่าฟุตบอลที่ดี ทันสมัย และมีประสิทธิภาพต้องเล่นตามรูปแบบนี้ ความเชื่อดังกล่าวถูกยืนยันด้วยความสำเร็จของโค้ชทั้งไทยและระดับโลกหลายคน ชื่อของ ‘เป๊ป กวาร์ดิโอล่า’ (Pep Guardiola) ถูกมองในฐานะผู้บุกเบิกนวัตกรรมทางฟุตบอล จนลืมคิดไปว่าทีมที่ประสบความสำเร็จด้วยวิธีการเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการเล่นตามพิมพ์เขียวของฟุตบอลสมัยใหม่เพียงอย่างเดียว แต่ปัจจัยที่ทำให้แต่ละทีมโดดเด่นนั้นมีความซับซ้อนและเฉพาะตัว ซึ่งทีมอื่น ๆ มักละเลยไปในขณะที่พยายามเลียนแบบเพียงรูปแบบการเล่น
‘มาร์ค ฟิชเชอร์’ (Mark Fisher) นักรัฐศาสตร์ชาวอังกฤษ เคยเสนอแนวคิด ‘สัจจนิยมแบบทุน’ (capitalist realism) โดยนิยามว่ามันคือ ความเชื่อที่ถูกทำให้แพร่หลายจนกลายเป็นทัศนคติทั่วไป สิ่งเหล่านี้ช่วยเปิดทางให้ระบบทุนนิยมและ ‘ความป็อบ’ ขยายตัวอย่างตะกละตะกลามแทรกซึมเข้าสู่ทุกอาณาบริเวณของชีวิต พร้อมยืนกรานว่าทุนนิยมคือทางเลือกเดียวที่เรามี เราลองมาคิดดูว่าฟุตบอลสมัยใหม่ที่เราถือมั่นเป็นแบบนั้นหรือไม่
คงคร้านที่จะถกเถียงกันแล้วว่าระบบทุนนิยมได้เปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของวงการฟุตบอลอย่างไร แต่ซ้ำร้ายทุนนิยมยังค่อยๆ เปลี่ยนวิธีที่มนุษย์ ‘รู้สึก’ ต่อเกมการแข่งขันนี้อย่างแนบเนียน นอกจากถูกทำให้กลายเป็นสินค้าที่ต้องคุ้มค่าในทุกวินาทีของการลงทุน สโมสรฟุตบอลต้องตอบโจทย์ผู้ถือหุ้น แบรนด์ต้องตอบสนองผู้บริโภค เกมจึงถูกออกแบบด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ แผนผังแท็กติก และทุกการเคลื่อนไหวของนักเตะถูกคำนวณล่วงหน้าในสมการทางคณิตศาสตร์ ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจถูกตีความว่าเป็น ‘ความไร้วินัย’ หรือ ‘การทำลายระบบทีม’ และการเคลื่อนไหวของนักเตะจึงถูกกำหนดด้วยสถิติที่วัดผลได้
เราจึงยากที่จะเห็นนักเตะรุ่นใหม่ที่มีรูปร่างตุ้ยนุ้ยแบบ พอล แกสคอยน์ หรือ ดีเอโก้ มาราโดน่า เพราะฟุตบอลสมัยใหม่ไม่ได้สร้างพื้นที่ให้กับ ‘ความแตกต่าง’ เพราะเราเชื่อว่าไม่มีทางหนทางที่นำไปสู่ความสำเร็จได้ต้องเดินตามพิมพ์เขียวของทุน
ฟุตบอลสมัย (ใหม่) จึงถูกห่อหุ้มด้วยคำว่า ‘นวัตกรรม’ ที่ถูกยกขึ้นเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ ใช้เรียกทุกสิ่งที่ดูใหม่ ทันสมัย หรือฉลาดล้ำ โดยที่หลายครั้งเราอาจไม่ได้เข้าใจความซับซ้อนที่อยู่เบื้องหลัง โดยหนังสือ ‘มายานวัตกรรม’ (The Myths of Innovation) เขียนโดย สก็อตต์ เบอร์คุน (Scott Berkun) ได้เปิดโปงมายาคติเหล่านี้ว่า มีความเข้าใจผิดที่สังคมมักมีต่อคำว่านวัตกรรม โดยเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นจาก ‘วาบความคิดของอัจฉริยะ’ หรือเป็นผลงานของ ‘คนเก่งเพียงคนเดียว’ หากในข้อเท็จจริงแล้ว ไม่มีนวัตกรรมใดที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน ทุกสิ่งที่ยิ่งใหญ่ล้วนผ่านกระบวนการการลองผิดลองถูก การสะสมความรู้ และการร่วมมือกันของผู้คนจำนวนมากอย่างยาวนาน โทรศัพท์ เครื่องบิน หรืออินเทอร์เน็ต ไม่ได้ถูกสร้างโดยคนเพียงคนเดียว และไม่ได้เกิดจากไอเดียอันยิ่งใหญ่ที่สุด
หลายครั้งไอเดียที่ดีกลับพ่ายให้กับไอเดียที่เหมาะกับเวลาและสังคมมากกว่า เช่น อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell) ความจริงแล้วเบลล์ไม่ได้เป็นคนแรกที่คิดค้นโทรศัพท์ มีนักประดิษฐ์หลายคน เช่น อีลิชา เกรย์ (Elisha Gray) และอันโตนิโอ เมอุชชี่ (Antonio Meucci) ที่พัฒนาแนวคิดเดียวกันมาก่อน แต่เบลล์คือคนที่จดสิทธิบัตรได้ตรงจังหวะ และมีเครือข่ายทางสังคมที่พร้อมสนับสนุน ทำให้โทรศัพท์ของเขากลายเป็น ‘นวัตกรรม’ ในเชิงพาณิชย์ ทั้งที่ในเชิงเทคนิคอาจไม่ได้เหนือกว่าคนอื่นมากนัก
เมื่อย้อนกลับมามองสิ่งที่เรียกว่าฟุตบอลสมัยใหม่เราจึงพบว่าโลกของเกมลูกหนังนั้นเต็มไปด้วย ‘มายานวัตกรรม’ ไม่ต่างจากโลกของเทคโนโลยีหรือธุรกิจ หนึ่งในบุคคลที่มักถูกยกให้เป็น ‘ผู้ปฏิวัติศาสตร์แห่งฟุตบอลสมัยใหม่’ คือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้ให้กำเนิดฟุตบอลแบบ positional play หรือ ‘การเล่นแบบยึดพื้นที่’
ในบทสัมภาษณ์หนึ่งกวาร์ดิโอล่ากลับเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า แนวคิดนี้ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ที่เขาคิดค้นขึ้นเอง ทว่าแต่เป็นสิ่งที่เขาหยิบยืมมาจากแนวคิดของเฮอร์เบิร์ต แชปแมน (Herbert Chapman) ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อลในช่วงปี 1925–1934 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่มีคำว่า ‘ฟุตบอลสมัยใหม่’ หรือ ‘นวัตกรรม’ แบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
เช่นเดียวกับการเล่นแบบ high pressing และ build-up play ที่กล่าวไว้ในช่วงบทนำก็มีรากฐานมาจากฟุตบอลดัตช์ในยุค 1970 ของไรนุส มิเชลล์ (Rinus Michels) ของทีม Ajax Amsterdam นี่เป็นการตอกย้ำว่า นวัตกรรมในฟุตบอลสมัยใหม่ไม่ได้หมายถึงการสร้างสิ่งใหม่จากศูนย์ หากแต่คือการนำแนวคิดเก่ามาปรับให้สอดคล้องกับยุคสมัย ความใหม่จึงไม่จำเป็นต้องเบียดขับความเก่าให้หายไป หากแต่ดำรงอยู่ร่วมกันในเงื่อนไขของเวลา และวัฒนธรรมการบริโภค ฟุตบอลสมัยใหม่จึงเป็นแค่ฟุตบอลสมัยนี้เท่านั้น
หากแต่คำว่าฟุตบอลสมัยใหม่ได้กลายเป็นสิ่งที่ทุนและแฟนบอลชื่นชอบพร้อมๆกัน สำหรับทุนมันคือสินค้าที่สามารถลงทุนแล้วการันตีผลตอบแทน ลดความเสี่ยง และสร้างรายได้มหาศาล ส่วนแฟนบอลมองเห็นความตื่นเต้น ความรวดเร็ว และความแข็งแกร่งแม่นยำคล้ายกับกีฬาของต่อสู้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้อยู่เต็มอกว่าเกมนี้ไม่ได้แข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน ทีมทุนหนามีอำนาจและทรัพยากรหนุนหลังมากกว่าทีมทุนน้อย แต่ความไม่เท่าเทียมนี้มักถูกกลบเกลื่อนด้วยภาพลักษณ์ของการแข่งขันให้เป็นเพียงการวางกลยุทธ์ของโค้ชและความสามารถของนักเตะในสนาม ซ้ำร้ายทีมเล็กกลับถูกครอบงำโดยยังใช้รูปแบบการเล่นเดียวกันกับทีมใหญ่เพราะเชื่อว่ามันไม่มีทางเลือกอื่น ๆ
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างการเมืองในพื้นที่กรอบ 18 หลาหรือเขตโทษ (Penalty Area) ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญหน้าประตูในสนามฟุตบอล มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า อยู่หน้าประตูทั้งสองด้าน มีความกว้าง: 16.5 เมตร จากเสาประตูทั้งสองเสา (ประมาณ 18 หลา จึงเรียกกรอบ 18 หลานั่นเอง) โดยมีผู้รักษาประตูที่เป็นตำแหน่งสำคัญในพื้นที่นี้ สามารถจับหรือควบคุมบอลด้วยมือได้เฉพาะในกรอบนี้เท่านั้น
ในช่วงเริ่มแรกของฟุตบอลที่อ้างถึงกฎกติกาที่สมาคมฟุตบอลอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1863 แต่เดิมไม่ได้กำหนดบทบาทผู้รักษาประตูโดยเฉพาะ ผู้เล่นทุกคนสามารถใช้มือจับลูกบอลได้ตามต้องการ แต่ไม่นานนัก การใช้มือจับบอลโดยผู้เล่นทั่วไปก็ถูกห้ามโดยเด็ดขาดในปี ค.ศ. 1870 เพื่อให้เกมมีระเบียบและชัดเจนมากขึ้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1871 กฎถูกปรับแก้เพื่อให้เกิดตำแหน่งผู้รักษาประตูโดยเฉพาะ ซึ่งอนุญาตให้ผู้รักษาประตูเป็นผู้เล่นคนเดียวที่สามารถจับบอลด้วยมือเพื่อปกป้องประตูได้เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นกฎเกี่ยวกับ
ผู้รักษาประตูมีการปรับเปลี่ยนหลายครั้งตามความเหมาะสมของเกม เช่น ในปี 1992 มีการออกกฎ ‘Back-pass’ ที่ห้ามผู้รักษาประตูจับบอลจากการส่งคืนโดยตั้งใจของเพื่อนร่วมทีม และในปี 1997 กำหนดเวลาการถือบอลไม่เกิน 6 วินาที การเปลี่ยนแปลงกฎเหล่านี้ทำให้บทบาทผู้รักษาประตูพัฒนาอย่างมากจากผู้เล่นที่ใช้มือจับบอลได้อย่างเสรี กลายเป็นตำแหน่งที่มีกฎชัดเจนทั้งเรื่อง พื้นที่ในการใช้มือ จำนวนก้าว และเวลาที่ถือบอล
อย่างไรก็ตาม ผู้รักษาประตูสมัยใหม่ถูกนิยามด้วยรูปแบบการเล่นที่รวดเร็วขึ้น มีร่างกายสูงใหญ่ และการมีส่วนร่วมในเกมรุก ทำให้ผู้รักษาประตูต้องมีทักษะการเล่นบอลด้วยเท้าเสมือนผู้เล่นในตำแหน่งอื่นๆ ตัวอย่างเช่น อลิสซง เบเกอร์ (Alisson Becker) และ แอเดอสัน (Ederson) มักถูกเรียกขานในฐานะผู้รักษาประตูที่เล่นบอลด้วยเท้าได้ดีและสามารถช่วยทีมในการบิลด์อัพเกมได้
เราเคยสงสัยไหมว่าในอดีตเคยมีผู้รักษาประตูในแบบเดียวกันหรือไม่ แน่อนว่าไม่ใช่ว่าไม่มี เพียงแต่มันไม่ค่อยได้ถูกเล่าอยู่ในวัฒนธรรมกระแสหลัก ในอดีตผู้รักษาประตูที่ใช้เท้าอย่างคล่องแคล่วนอกกรอบเขตโทษอย่าง ฮอร์เก้ คัมโปส (Jorge Campos) หรือ เรเน่ ฮิกิต้า (René Higuita) ต่างเคยเลี้ยงบอลออกมาสร้างเกมส์รุกได้เองอยู่บ่อยครั้ง หรือแม้แต่ โรเจริโอ เซนี (Rogério Ceni) ที่สามารถยิงประตูได้มากกว่ากองหน้าหลาย ๆ คนด้วยซ้ำ
คำถามคือ ทำไมพวกเขาถึงไม่ได้ถูกจัดในหมวดหมู่ของความทันสมัย ทั้งที่ถ้าใช้มาตรวัดเดียวกันพวกเขาถือว่าก้าวหน้ากว่ามาก เหตุผลหนึ่งคือ พวกเขาล้ำยุคเกินไปในเวลาที่ระบบแท็กติกของฟุตบอลยังไม่รองรับสิ่งที่พวกเขาทำ การออกมาเล่นนอกกรอบเขตโทษของพวกเขาเป็นการ ‘แหกกรอบ’ มากกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบเกม ในขณะที่ยุคปัจจุบันผู้รักษาประตูถูกฝึกให้ใช้เท้าอย่างเป็นระบบ
สอง พวกเล่นลงเล่นในประเทศชายขอบของวัฒนธรรมแบบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเม็กซิโก โคลอมเบีย หรือบราซิล ที่นิยามคำว่า modern football ยังถูกผูกขาดโดยยุโรป การเล่นของเขาจึงถูกเล่าในฐานะสีสันไม่ใช่นวัตกรรม ในทางตรงกันข้ามเมื่อผู้รักษาประตูในลีกชั้นนำทำสิ่งเดียวกัน มันกลับถูกเรียกว่า ‘การปฏิวัติทางแท็กติก’ เช่นเดียวกับลักษณะเด่นบางประการของพวกเขาท้าทายกับโครงสร้างอำนาจของโลกสัจจนิยมแบบทุนที่ไม่เน้นสิ่งที่ไม่ถูกใจตลาด เช่น ฮอร์เก้ คัมโปส นิยมใส่เสื้อสีฉูดฉาดแทนที่จะใส่ตามที่สปอนเซอร์ออกแบบให้ ทั้งมีส่วนสูงเพียง 170 ซม. ถือว่าเตี้ยไปสำหรับตำแหน่งผู้รักษาประตู และ เรเน่ ฮิกิต้า มีท่าป้องกันประตูที่ชื่อว่า ‘สกอเปี้ยน คิก’ (Scorpion Kick) ที่ไม่มีใครกล้าเลียนแบบ รวมถึง โรเจริโอ เซนี ที่มีการยิงประตูจากลูกจุดโทษและฟรีคิก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของผู้เล่นในตำแหน่งอื่น
อนึ่ง ปีเตอร์ ชไมเคิล (Peter Schmeichel) ผู้รักษาประตูทีมชาติเดนมาร์กแสดงให้เห็นถึงการท้าทายโครงสร้างอำนาจของฟุตบอลอย่างชัดเจนในศึกยูโร 1992 เดนมาร์กในตอนนั้นถูกมองเป็น ‘ม้านอกสายตา’ แต่ด้วยวิธีการเล่นที่แตกต่างของเขา ทำให้ทีมสามารถคว้าแชมป์อย่างเหนือความคาดหมาย สิ่งที่โดดเด่นคือ การใช้กฎ ‘แบ็คพาส’ อย่างชาญฉลาด ทีมเดนมาร์กมักส่งบอลกลับหลังให้ชไมเคิลเพื่อยืดเวลาและควบคุมจังหวะเกม ซึ่งในช่วงนั้นผู้รักษาประตูสามารถจับบอลได้ ทำให้เกมช้าลงช่วยลดความเสี่ยงในการเสียประตู และที่สำคัญมันได้กลายเป็นยุทธวิธีซึ่งทำให้ทีมเล็กสามารถต่อกรกับทีมใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกนำไปใช้ต่ออย่างแพร่หลาย
อย่างไรก็ดี วิธีการเล่นนี้ไม่ตอบโจทย์ของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ที่ต้องการให้ฟุตบอลมีความเร็ว และน่าตื่นเต้น ฟีฟ่ามองว่าวิธีแบบแบ็คพาสไม่เป็นผลดีแต่เกมส์ที่ต้องการความบันเทิงจากการยิงประตูของทีมยักษ์ใหญ่ ผลลัพธ์คือฟีฟ่าต้องแก้กฎในปี 1992–1997 เพื่อห้ามผู้รักษาประตูจับบอลจากการส่งกลับของเพื่อนร่วมทีม ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักในชื่อ กฎแบ็คพาส (Back-pass rule) กรณีนี้เป็นการยืนยันว่าความเร็วในเกมฟุตบอลไม่ได้มาจากพัฒนาการเพียงอย่างเดียว แต่ถูกกำหนดโดยผู้มีอำนาจ
การพูดถึงฟุตบอลหลังสมัยใหม่ไม่ใช่การโหยหาอดีต หรือบอกว่าฟุตบอลยุคมาราโดน่าดีกว่าฟุตบอลยุคเมสซี่ หากคือการตั้งคำถามว่าเมื่อทุนกลืนกินทุกอย่างในเกมนี้ไปหมดแล้ว เรายังสามารถ จินตนาการถึงฟุตบอลแบบอื่นได้อีกหรือไม่?
เมื่อฟุตบอลเกิดขึ้นจากวัฒนธรรมท้องถิ่นนิยมที่สอดคล้องกับสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง และไม่ใช่แค่เกมของนักเตะ 22 คนในสนาม หากเป็นเรื่องของคนที่อยู่รอบ ๆ มัน ทั้งคนทำความสะอาดห้องน้ำ ป้าที่ขายเบียร์หน้าสนาม แฟนบอลที่นั่งดูฟรีจากหลังคาบ้าน นักเตะเยาวชนผู้ถูกเบี้ยวค่าแรง ฟุตบอลสมัยหลังสมัยใหม่จึงหมายถึงการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มคนเหล่านี้มีส่วนร่วมทั้งในและนอกสนาม (ทีมในสแกนดิเนเวียร์ส่วนใหญ่แฟนบอลถือหุ้นมากกว่านายทุน)
เรายอมรับได้ว่าการตัดสินผู้เล่นด้วยตัวเลขและสถิติอาจเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพ แต่มันไม่อาจลดทอนความแปลกใหม่และความยากจะคาดเดาในเกมได้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น พาทริก ดอร์กู แบ็กซ้ายดาวรุ่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดในบรรดาผู้เล่นตำแหน่งเดียวกันทั่วยุโรป ขณะที่ลิโอเนล เมสซี่กลับมีระยะทางวิ่งต่อเกมน้อยกว่าตอนที่เขาวิ่งหยอกล้อลูกชายที่บ้าน คำถามคือ คุณจะกล้าบอกไหมว่าใครกันแน่คือ ‘ฟุตบอลสมัยใหม่’ ในทำนองเดียวกัน
หากคุณยังมองว่า ฮอร์เก้ คัมโปส หรือ เรเน่ ฮิกิต้า เป็นแค่ตัวตลกของวงการ นั่นอาจหมายความว่าเราคงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะอยู่ในโลกสัจจนิยมแบบทุน ที่คอยกำหนดแทนเราว่าอะไรคือ ‘มืออาชีพ’ และอะไรคือ ‘ของแปลก’ แม้เราจะรู้อยู่เต็มอกว่าพวกเขาเคยลงเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้วก็ตาม และบางทีสิ่งที่โรนัลโด้พูดไว้ในตอนต้นว่า ‘ฟุตบอลทุกวันนี้น่าเบื่อ’
อาจไม่ใช่เพราะว่าทุกอย่างมันเหมือนกันไปหมด แต่น่าเบื่อเพราะโรนัลโด้ไม่รู้จักฟุตบอลก็ได้ 555+
ภาพ : Getty Images
อ้างอิง
Berkun, S. (2019). มายานวัตกรรม (สฤณี อาชวานันทกุล, แปล). กรุงเทพฯ: ซอลต์ พับลิชชิ่ง.
Cox, M. (2017). The Mixer: The Story of Premier League Tactics, from Route One to False Nines. London: HarperCollins Publishers.
Mark Fisher. (2009). Capitalist Realism: Is There No Alternative? London: Zero Books.
จาตุรงค์ สุทาวัน. (2024) เราไม่ได้เกลียดฟุตบอลสมัยใหม่ แต่เราเกลียดทุนนิยม.งานประชุมสมาคมปรัชญาสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทยครั้งที่ 2
สรวิศ ชัยนาม. (2022). เมื่อโลกซึมเศร้า Mark Fisher โลกสัจนิยมแบบทุนและลัดดาแลนด์. กรุงเทพฯ: อิลลูมิเนชั่น อิดิชั่น