จอห์น เลนนอน & โยโกะ โอโนะ : “WAR IS OVER!” สายธารแห่งสันติภาพที่เริ่มขึ้นจาก ‘เตียงนอน’

จอห์น เลนนอน & โยโกะ โอโนะ : “WAR IS OVER!” สายธารแห่งสันติภาพที่เริ่มขึ้นจาก ‘เตียงนอน’

เรื่องราวของ ‘จอห์น เลนนอน’ (John Lennon) และ ‘โยโกะ โอโนะ’ (Yoko Ono) กับการต่อสู้เพื่อสันติภาพที่เริ่มขึ้นจาก ‘เตียงนอน’ ไปจนถึงบิลบอร์ด “WAR IS OVER!”

KEY

POINTS

 

WAR IS OVER! IF YOU WANT IT.

สงครามสิ้นสุดแล้ว! หากคุณต้องการให้เป็นเช่นนั้น

 

สายธารของของการต่อต้านสงครามกลายเป็นอัตลักษณ์สำคัญเมื่อนึกถึงภาพบรรยากาศยุคทศวรรษที่ 1960 โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่เป็นผลพวงของวัฒนธรรมปรปักษ์ (Counter Culture) จากการที่ประเทศปกคลุมไปด้วยความสูญเสียจากสงครามเวียดนาม ซึ่งถือเป็นสงครามที่ชาวอเมริกันหรือแม้แต่โลกมองว่าเป็นอะไรที่ ‘ไม่คุ้ม’ และสังเวยชีวิตและทิ้งร่องรอยแผลเป็นไว้ในความรู้สึกของผู้คนรุ่นใหม่มากมาย

การใช้ชีวิตโดยยึดถือปรัชญาแห่งความรักเป็นแก่นกลางก็กลายเป็นที่ของคนรุ่นใหม่ในยุคสมัยนั้นที่เอือมระอากับสภาวะสงครามจนกลายเป็นความนิยมในวิถีชีวิตแบบ ‘บุปผาชน’ หรือ ‘ฮิปปี้’ (Hippie) ที่กำเนิดมาเพื่อต่อต้านความเป็นวัตถุนิยม (Materialism) ค่านิยมการใช้ชีวิตแบบอเมริกัน หรือแม้แต่การกดขี่ เหลื่อมล้ำ และตีกรอบภายในสังคสในช่วงยุคสมัยดังกล่าวที่ไม่นานก็ได้แผ่ขยายไปทั้งแคนนาดาและอังกฤษ

เรียกได้ว่าการเรียกร้องต่อต้านสงครามในช่วงทศวรรษที่ 1960 ถึง 1970 และวัฒนธรรมบุปผาชน ที่เดิมทีถือกำเนิดขึ้นในฐานะวัฒนธรรมปรปักษ์ก็แทบจะกลายเป็นวิถีชีวิตกระแสหลักในสังคมยุคดังกล่าว ดังสะท้อนผ่านสไตล์การแต่งเนื้อแต่งตัว ศิลปะเสื้อมัดย้อม ไปจนถึงวัฒนธรรมการชมดนตรีสดที่สืบเนื่องมาจาก Woodstock ในปี 1969 

ภาพยนตร์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Easy Rider (1969), Zabriskie Point (1970) หรือ The Holy Mountain (1973) ก็ล้วนสะท้อนหัวใจของวัยรุ่นยุคสมัยดังกล่อนที่ถวิลหาความเสรี ในฝั่งของดนตรีก็แทบไม่ต้องสาธยายให้เห็นภาพ เพราะการต่อต้านสงครามมีให้เห็นตั้งแต่ บ็อบ ดีแลน (Bob Dylan) เดอะ โรลลิง สโตนส์ (The Rolling Stones) หรือ โจน บาเอซ (Joan Baez) ส่วนที่สะท้อนความจัดจ้านแบบบุปผาชนก็มีทั้ง จิมมี เฮนดริซ์ (Jimi Hendrix) เดอะ มามาส์ แอนด์ เดอะ ปาปาส์ (The Mamas & the Papas) ไปจนถึง เดอะ เกรทฟูล เดด (The Grateful Dead)

ทว่านอกจากบทเพลงของ บ็อบ ดีแลน ที่ชวนเราคิดคำนึงและตั้งคำถามเกี่ยวกับสงครามผ่าน ‘Blowin’ in the Wind’ แล้ว อีกหนึ่งการเคลื่อนไหวที่มีความสำคัญทั้งในมิติของการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง ไปจนถึงการสุกงอมของความคิดทางดนตรีและวัฒนธรรมที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในอดีตแถมยังกลายเป็นป็อปคัลเจอร์ให้เราได้หวนนึกถึงในปัจจุบันก็คงหนีไม่พ้นเรื่องราวของคู่รักแห่งโลกดนตรีอย่าง ‘จอห์น เลนนอน’ (John Lennon) และ ‘โยโกะ โอโนะ’ (Yoko Ono)

[ อ่าน ‘บ็อบ ดีแลน: ผู้นำพา Blowin' in the Wind กลายเป็นเพลงชาติอเมริกาของยุค 60s’ ]

ในปี 1969 มีสองเหตุการณ์สำคัญที่ จอห์น เลนนอน สลักฝากไว้ให้โลกใบนี้ อย่างแรกคือการปล่อยอัลบั้มที่สิบเอ็ดของ ‘เดอะบีเทิล์ส’ (The Beatles) ร่วมกับพลพรรคสมาชิกวงทั้งสามคนในชื่อ ‘Abbey Road’ (1969) ที่มาพร้อมกับบทเพลงและปกอัลบั้มพวกเขาทั้งสี่คนเดินข้ามทางม้าลาย จนกลายเป็นหนึ่งในชุดผลงานดนตรีที่มีผู้คนจดจำได้มากที่สุดที่ศิลปินบนโลกใบนี้ได้ปล่อยออกมา

ส่วนอีกอยากนั้นคือการเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพของเลนนอนกับคู่กับศรีภรรยาอย่างโยโกะจาก ‘บนเตียง’ หรือที่เรียกว่า ‘Bed-In’ ไปจนถึงป้ายขอความบนบิลบอร์ดและโปสเตอร์ด้วยตัวอักษรแน่นกรอบว่า “War Is Peace!” ที่ผุดขึ้นในหลายเมืองสำคัญในประเทศยุโรป ที่เป็นเรี่ยวแรงสำคัญและการสุกงอมทางความคิดของจอห์นในการเขียนบทเพลงโลกไม่ลืมอย่าง ‘Imagine’ และ ‘Happy Xmas (War Is Over)

 

จอห์น เลนนอน & โยโกะ โอโนะ : “WAR IS OVER!” สายธารแห่งสันติภาพที่เริ่มขึ้นจาก ‘เตียงนอน’

 

ในช่วงวันที่ 25 ถึง 31 มีนาคม 1969 ภายหลังจากที่เข้าพิธีวิวาห์ ณ เกาะยิบรอลตาร์ (Gibraltar) สองคู่รักจอห์น-โยโกะก็ได้เดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันต่อที่อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) ในช่วงมีนาคม และมอนทรีออล (Montreal) ในช่วงพฤษภาคมถึงมิถุนายน ทว่าทั้งคู่ได้เปลี่ยนทริปฮันนีมูนให้กลายเป็นเวทีที่พวกเขาใช้ทดลองการเรียกร้องสันติภาพในแบบฉบับของตัวเองโดยการสวมชุดนอนและนั่งอยู่บนเตียง และบางช่วงเวลาก็มีกีตาร์โปร่งอยู่บนนั้นด้วย

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ทั้งสองก็ยังเปิดให้บรรดาสื่อต่าง ๆ เข้ามาสัมภาษณ์พวกเขา ณ โรงแรมที่พวกเขาพักอยู่ด้วยตั้งแต่เก้าโมงเช้าไปจนถึงสามทุ่ม ทำให้เราได้เห็นภาพของจอห์นและโยโกะนอนอยู่บนเตียง โดยบนหน้าต่างกระจกเบื้องหลังพวกเขาก็มีแปะกระดาษสองแผ่นที่เขียนไว้ว่า ‘Hair Piece’ กับ ‘Bed Peace’ โดยที่ปลายเตียงรายล้อมไปด้วยนักข่าวผู้ถือกล้องและสัมภาษณ์พวกเขา แม้แต่เพลง ‘Give Peace a Chance’ จอห์นก็เชิญชวนบรรดากลุ่มเพื่อนมาอัดกันที่ห้องพักในมอนทรีอัลในวันที่ 1 มิถุนายน 1969 และปล่อยในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน

 

พวกเรารู้ดีว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม มันจะต้องลงหน้าหนังสือพิมพ์แน่นอน เราเลยตัดสินใจใช้พื้นที่ที่เราอยู่เป็นพื้นที่โฆษณาสันติภาพ และเราจะขายสินค้าของเรา โดยเราตั้งชื่อว่า ‘สันติภาพ’ และการจะขายสินค้าได้ คุณต้องมีลูกเล่น ซึ่งลูกเล่นที่เราคิดออกก็คือ ‘เตียง’

 

แม้ว่าการประท้วงบนเตียงของทั้งสองครั้งนี้จะถูกสื่อวิพากษ์วิจารณ์ว่า ‘ไม่จริงจัง’ แต่เลนนอนเองก็ตอบกลับคำวิจารณ์เหล่านี้ว่ามันเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำอยู่แล้ว กับการถูกมองว่าเอาจริงเอาจัง กลายเป็นว่ากลุ่มที่วิพากษ์วิจารณ์เองหรือเปล่า ที่ไม่เข้าถึงอารมณ์ขันของพวกเขาเอง สะท้อนถึงวิถีการต่อสู้ในแบบที่เลนนอนอยากจะทดลองกับการเอาความไม่จริงจังหรืออารมณ์ขันเข้าต่อสู้ — และนี่ก็อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เรากล่าวถึงเรื่องราวของเขาในวันนี้

 

จอห์น เลนนอน & โยโกะ โอโนะ : “WAR IS OVER!” สายธารแห่งสันติภาพที่เริ่มขึ้นจาก ‘เตียงนอน’

 

ภายหลังจาก Bed-In แล้ว ก็ถึงเวลาของก้าวถัดไปในการเรียกร้องของจอห์นและโยโกะ โดยในวันที่ 15 ธันวาคม 1969 ซึ่งก็คือการติดตั้งบิลบอร์ดไปที่เมืองสำคัญตั้งแต่ ลอนดอน, โตเกียว, โรม, โตรอนโต, ปารีส, เบอร์ลิน, ฮ่องกง, อัมสเตอร์ดัม, เอเธนส์, เฮลซิงกิ, ลอสแอนเจลิส ไปจนถึงนิวยอร์ก และโปสเตอร์ที่แผ่กระจายไปทั่วด้วยพื้นหลังสีขาวโดยมีอักษรตัวระบุข้อความว่า

 

WAR IS OVER! 
IF YOU WANT IT.
Happy Christmas from John & Yoko.

 

หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า “สงครามจบลงแล้ว! ถ้าคุณต้องการ สุขสันต์วันคริสต์มาสจากจอห์นและโยโกะ” เพื่อสานต่อการเรียกร้องจาก Bed-In และเน้นย้ำการต่อต้านสงครามจากทั้งคู่ จนกลายเป็นภาพที่ถูกจดจำฝนประวัติศาสตร์กับการที่จอห์นและโยโกะถือโปสเตอร์แผ่นใหญ่ด้วยข้อความดังกล่าว อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำจุดยืนของของพวกเขาทั้งสองที่มีต่อสงครามและสันติภาพอีกด้วย ในขณะเดียวกันก็เป็นการปูพรมสู่สันติภาพต้อนรับวันคริสต์มาสไปในตัว

มาจนถึงในปี 1971 จอห์น เลนนอนก็ได้ปล่อยเพลง ‘Imagine’ ที่ได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกดนตรี (สามารถอ่านเรื่องราวของเพลง Imagine ได้ที่บทความ ‘‘Imagine’ there's no heaven: ความฝันใต้ควันปืนและอดีตอันขมขื่นแห่งชีวิตจอห์น เลนนอน’) รวมไปถึงเพลง ‘Happy Xmas (War Is Over)’ จนกลายเป็นหนึ่งในเพลงคริสต์มาสที่ผสมผสานสารทางสังคมการเมืองที่ยังถูกจดจำมาถึงทุกวันนี้