29 ก.ค. 2568 | 18:00 น.
KEY
POINTS
“WAR IS OVER! IF YOU WANT IT.”
“สงครามสิ้นสุดแล้ว! หากคุณต้องการให้เป็นเช่นนั้น”
สายธารของของการต่อต้านสงครามกลายเป็นอัตลักษณ์สำคัญเมื่อนึกถึงภาพบรรยากาศยุคทศวรรษที่ 1960 โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่เป็นผลพวงของวัฒนธรรมปรปักษ์ (Counter Culture) จากการที่ประเทศปกคลุมไปด้วยความสูญเสียจากสงครามเวียดนาม ซึ่งถือเป็นสงครามที่ชาวอเมริกันหรือแม้แต่โลกมองว่าเป็นอะไรที่ ‘ไม่คุ้ม’ และสังเวยชีวิตและทิ้งร่องรอยแผลเป็นไว้ในความรู้สึกของผู้คนรุ่นใหม่มากมาย
การใช้ชีวิตโดยยึดถือปรัชญาแห่งความรักเป็นแก่นกลางก็กลายเป็นที่ของคนรุ่นใหม่ในยุคสมัยนั้นที่เอือมระอากับสภาวะสงครามจนกลายเป็นความนิยมในวิถีชีวิตแบบ ‘บุปผาชน’ หรือ ‘ฮิปปี้’ (Hippie) ที่กำเนิดมาเพื่อต่อต้านความเป็นวัตถุนิยม (Materialism) ค่านิยมการใช้ชีวิตแบบอเมริกัน หรือแม้แต่การกดขี่ เหลื่อมล้ำ และตีกรอบภายในสังคสในช่วงยุคสมัยดังกล่าวที่ไม่นานก็ได้แผ่ขยายไปทั้งแคนนาดาและอังกฤษ
เรียกได้ว่าการเรียกร้องต่อต้านสงครามในช่วงทศวรรษที่ 1960 ถึง 1970 และวัฒนธรรมบุปผาชน ที่เดิมทีถือกำเนิดขึ้นในฐานะวัฒนธรรมปรปักษ์ก็แทบจะกลายเป็นวิถีชีวิตกระแสหลักในสังคมยุคดังกล่าว ดังสะท้อนผ่านสไตล์การแต่งเนื้อแต่งตัว ศิลปะเสื้อมัดย้อม ไปจนถึงวัฒนธรรมการชมดนตรีสดที่สืบเนื่องมาจาก Woodstock ในปี 1969
ภาพยนตร์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Easy Rider (1969), Zabriskie Point (1970) หรือ The Holy Mountain (1973) ก็ล้วนสะท้อนหัวใจของวัยรุ่นยุคสมัยดังกล่อนที่ถวิลหาความเสรี ในฝั่งของดนตรีก็แทบไม่ต้องสาธยายให้เห็นภาพ เพราะการต่อต้านสงครามมีให้เห็นตั้งแต่ บ็อบ ดีแลน (Bob Dylan) เดอะ โรลลิง สโตนส์ (The Rolling Stones) หรือ โจน บาเอซ (Joan Baez) ส่วนที่สะท้อนความจัดจ้านแบบบุปผาชนก็มีทั้ง จิมมี เฮนดริซ์ (Jimi Hendrix) เดอะ มามาส์ แอนด์ เดอะ ปาปาส์ (The Mamas & the Papas) ไปจนถึง เดอะ เกรทฟูล เดด (The Grateful Dead)
ทว่านอกจากบทเพลงของ บ็อบ ดีแลน ที่ชวนเราคิดคำนึงและตั้งคำถามเกี่ยวกับสงครามผ่าน ‘Blowin’ in the Wind’ แล้ว อีกหนึ่งการเคลื่อนไหวที่มีความสำคัญทั้งในมิติของการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง ไปจนถึงการสุกงอมของความคิดทางดนตรีและวัฒนธรรมที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในอดีตแถมยังกลายเป็นป็อปคัลเจอร์ให้เราได้หวนนึกถึงในปัจจุบันก็คงหนีไม่พ้นเรื่องราวของคู่รักแห่งโลกดนตรีอย่าง ‘จอห์น เลนนอน’ (John Lennon) และ ‘โยโกะ โอโนะ’ (Yoko Ono)
[ อ่าน ‘บ็อบ ดีแลน: ผู้นำพา Blowin' in the Wind กลายเป็นเพลงชาติอเมริกาของยุค 60s’ ]
ในปี 1969 มีสองเหตุการณ์สำคัญที่ จอห์น เลนนอน สลักฝากไว้ให้โลกใบนี้ อย่างแรกคือการปล่อยอัลบั้มที่สิบเอ็ดของ ‘เดอะบีเทิล์ส’ (The Beatles) ร่วมกับพลพรรคสมาชิกวงทั้งสามคนในชื่อ ‘Abbey Road’ (1969) ที่มาพร้อมกับบทเพลงและปกอัลบั้มพวกเขาทั้งสี่คนเดินข้ามทางม้าลาย จนกลายเป็นหนึ่งในชุดผลงานดนตรีที่มีผู้คนจดจำได้มากที่สุดที่ศิลปินบนโลกใบนี้ได้ปล่อยออกมา
ส่วนอีกอยากนั้นคือการเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพของเลนนอนกับคู่กับศรีภรรยาอย่างโยโกะจาก ‘บนเตียง’ หรือที่เรียกว่า ‘Bed-In’ ไปจนถึงป้ายขอความบนบิลบอร์ดและโปสเตอร์ด้วยตัวอักษรแน่นกรอบว่า “War Is Peace!” ที่ผุดขึ้นในหลายเมืองสำคัญในประเทศยุโรป ที่เป็นเรี่ยวแรงสำคัญและการสุกงอมทางความคิดของจอห์นในการเขียนบทเพลงโลกไม่ลืมอย่าง ‘Imagine’ และ ‘Happy Xmas (War Is Over)’
ในช่วงวันที่ 25 ถึง 31 มีนาคม 1969 ภายหลังจากที่เข้าพิธีวิวาห์ ณ เกาะยิบรอลตาร์ (Gibraltar) สองคู่รักจอห์น-โยโกะก็ได้เดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันต่อที่อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) ในช่วงมีนาคม และมอนทรีออล (Montreal) ในช่วงพฤษภาคมถึงมิถุนายน ทว่าทั้งคู่ได้เปลี่ยนทริปฮันนีมูนให้กลายเป็นเวทีที่พวกเขาใช้ทดลองการเรียกร้องสันติภาพในแบบฉบับของตัวเองโดยการสวมชุดนอนและนั่งอยู่บนเตียง และบางช่วงเวลาก็มีกีตาร์โปร่งอยู่บนนั้นด้วย
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ทั้งสองก็ยังเปิดให้บรรดาสื่อต่าง ๆ เข้ามาสัมภาษณ์พวกเขา ณ โรงแรมที่พวกเขาพักอยู่ด้วยตั้งแต่เก้าโมงเช้าไปจนถึงสามทุ่ม ทำให้เราได้เห็นภาพของจอห์นและโยโกะนอนอยู่บนเตียง โดยบนหน้าต่างกระจกเบื้องหลังพวกเขาก็มีแปะกระดาษสองแผ่นที่เขียนไว้ว่า ‘Hair Piece’ กับ ‘Bed Peace’ โดยที่ปลายเตียงรายล้อมไปด้วยนักข่าวผู้ถือกล้องและสัมภาษณ์พวกเขา แม้แต่เพลง ‘Give Peace a Chance’ จอห์นก็เชิญชวนบรรดากลุ่มเพื่อนมาอัดกันที่ห้องพักในมอนทรีอัลในวันที่ 1 มิถุนายน 1969 และปล่อยในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน
“พวกเรารู้ดีว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม มันจะต้องลงหน้าหนังสือพิมพ์แน่นอน เราเลยตัดสินใจใช้พื้นที่ที่เราอยู่เป็นพื้นที่โฆษณาสันติภาพ และเราจะขายสินค้าของเรา โดยเราตั้งชื่อว่า ‘สันติภาพ’ และการจะขายสินค้าได้ คุณต้องมีลูกเล่น ซึ่งลูกเล่นที่เราคิดออกก็คือ ‘เตียง’”
แม้ว่าการประท้วงบนเตียงของทั้งสองครั้งนี้จะถูกสื่อวิพากษ์วิจารณ์ว่า ‘ไม่จริงจัง’ แต่เลนนอนเองก็ตอบกลับคำวิจารณ์เหล่านี้ว่ามันเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำอยู่แล้ว กับการถูกมองว่าเอาจริงเอาจัง กลายเป็นว่ากลุ่มที่วิพากษ์วิจารณ์เองหรือเปล่า ที่ไม่เข้าถึงอารมณ์ขันของพวกเขาเอง สะท้อนถึงวิถีการต่อสู้ในแบบที่เลนนอนอยากจะทดลองกับการเอาความไม่จริงจังหรืออารมณ์ขันเข้าต่อสู้ — และนี่ก็อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เรากล่าวถึงเรื่องราวของเขาในวันนี้
ภายหลังจาก Bed-In แล้ว ก็ถึงเวลาของก้าวถัดไปในการเรียกร้องของจอห์นและโยโกะ โดยในวันที่ 15 ธันวาคม 1969 ซึ่งก็คือการติดตั้งบิลบอร์ดไปที่เมืองสำคัญตั้งแต่ ลอนดอน, โตเกียว, โรม, โตรอนโต, ปารีส, เบอร์ลิน, ฮ่องกง, อัมสเตอร์ดัม, เอเธนส์, เฮลซิงกิ, ลอสแอนเจลิส ไปจนถึงนิวยอร์ก และโปสเตอร์ที่แผ่กระจายไปทั่วด้วยพื้นหลังสีขาวโดยมีอักษรตัวระบุข้อความว่า
“WAR IS OVER!
IF YOU WANT IT.
Happy Christmas from John & Yoko.”
หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า “สงครามจบลงแล้ว! ถ้าคุณต้องการ สุขสันต์วันคริสต์มาสจากจอห์นและโยโกะ” เพื่อสานต่อการเรียกร้องจาก Bed-In และเน้นย้ำการต่อต้านสงครามจากทั้งคู่ จนกลายเป็นภาพที่ถูกจดจำฝนประวัติศาสตร์กับการที่จอห์นและโยโกะถือโปสเตอร์แผ่นใหญ่ด้วยข้อความดังกล่าว อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำจุดยืนของของพวกเขาทั้งสองที่มีต่อสงครามและสันติภาพอีกด้วย ในขณะเดียวกันก็เป็นการปูพรมสู่สันติภาพต้อนรับวันคริสต์มาสไปในตัว
มาจนถึงในปี 1971 จอห์น เลนนอนก็ได้ปล่อยเพลง ‘Imagine’ ที่ได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกดนตรี (สามารถอ่านเรื่องราวของเพลง Imagine ได้ที่บทความ ‘‘Imagine’ there's no heaven: ความฝันใต้ควันปืนและอดีตอันขมขื่นแห่งชีวิตจอห์น เลนนอน’) รวมไปถึงเพลง ‘Happy Xmas (War Is Over)’ จนกลายเป็นหนึ่งในเพลงคริสต์มาสที่ผสมผสานสารทางสังคมการเมืองที่ยังถูกจดจำมาถึงทุกวันนี้