Ground Control to เดวิด โบวี: ‘เมเจอร์ทอม’ ถึง ‘ซิกกี’ ชีวิตและเสียงดนตรีของชายผู้มาจากต่างดาว

Ground Control to เดวิด โบวี: ‘เมเจอร์ทอม’ ถึง ‘ซิกกี’ ชีวิตและเสียงดนตรีของชายผู้มาจากต่างดาว
/ Ground Control to Major Tom /   ตัวเลขถูกนับถอยหลัง กระสวยอวกาศถูกปล่อยตัวจากพื้นผิวโลก    นักอวกาศในยวดยานทะยานขึ้นสู่ห้วงจักรวาลที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจสัมผัส เสียงวิทยุสื่อสารจากภาคพื้นผิดติดต่อมาเป็นระยะ ถูกบันทึกถ้อยคำไว้ในบทเพลง ‘Space Oddity’ ของเดวิด โบวี เมื่อปี 1969   “กราวนด์คอนโทรลถึงเมเจอร์ทอม ตอนนี้ได้เวลาที่คุณต้องก้าวขาออกนอกยานแล้ว ถ้าคุณกล้าพอ”   “เมเจอร์ทอมถึงกราวนด์คอนโทรล บัดนี้ผมลอยคว้างอยู่กลางหมู่ดาว และห้วงจักรวาลนั้นสวยงามเสียเหลือเกิน”   / For here am I sitting in a tin can. Far above the world.  Planet Earth is blue and there’s nothing I can do /   ดาวโลกเป็นสีฟ้า เช่นเดียวตาข้างขวาของเดวิด โบวี   บทเพลง ‘Space Oddity’ นั้นเปลี่ยวเหงาและเปี่ยมมนต์สะกด มันเล่าถึงเรื่องราวของเมเจอร์ทอม นักบินอวกาศที่ทะยานขึ้นสู่ฟ้าเบื้องบนโดยลำพัง และไม่ปรารถนา (หรือไม่สามารถ) กลับมาบนโลกอีก เดวิด โบวี คือศิลปินที่รังสรรค์บทเพลงนี้ขึ้น โดยได้แรงบันดาลใจมาจากการปล่อยยานขึ้นสู่ห้วงอวกาศของนาซ่า   ‘Space Oddity’ เป็นเพลงจำอีกเพลงของโบวี ที่แม้จะไม่ได้โด่งดังในขวบปีแรก แต่ก็กลับกลายเป็นที่พูดถึง กึ่งบทเพลงอมตะเมื่อภาพลักษณ์ภายหลังของนักร้อง - นักแต่งเพลงคนนี้สร้างผลงานที่ข้องเกี่ยวกับจักรวาลอยู่หลายครั้ง   เดวิด โบวีเป็นศิลปินยุค 60s – 2010s ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากคนหนึ่งของโลก หลายอย่างที่เขาทำ หลายสิ่งที่เขาสร้าง ได้เปลี่ยนแปลงโลกดนตรีจากวันนั้นไปจนตลอดกาล เรียกได้ว่าเขาเป็นทั้งผู้สร้างและเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก โบวีปลุกปั้นตัวเอง สร้าง ‘บุคลิก’ ให้ตัวเอง และสวมบทบาทเป็น ‘ผู้ (มาจากดาว) อื่น’ มากมายเหลือเกินในหนึ่งชีวิตของเขา   โดยรากเหง้าแล้ว เดวิด โบวี มีชื่อจริงว่า เดวิด โรเบิร์ต โจนส์ (David Robert Jones) เขาเกิดและโตในย่านบริกซ์ตัน ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน ครอบครัวของเด็กชายเดวิดถูกหลอกหลอนโดยสิ่งที่เรียกว่า ‘คำสาปในตระกูล’ มาตั้งแต่เขาจำความได้ คำสาปนั้นคือโรคทางจิตเภทที่ถูกถ่ายทอดผ่านสายเลือด ญาติหลาย ๆ คนของเดวิดมีสัญญาณแห่งความป่วยไข้ทางใจ บางรายก็อาการหนักจนต้องรับการักษา แม้กระทั่งเทอร์รี (Terry) ญาติผู้พี่ที่เดวิดสนิทสนมในวัยเด็ก ก็จบชีวิตตัวเองขณะที่ยังรักษาอยู่ในรั้วโรงหมอ ท่ามกลางความอาลัยของเดวิดที่ตอนนั้นกลายเป็นศิลปินเต็มตัวแล้ว   ตอนเข้ามัธยมปลาย เดวิดปิ๊งผู้หญิงคนเดียวกับเพื่อนสนิท พวกเขาทะเลาะกันและเดวิดได้ของฝากเป็นอาการบาดเจ็บที่ดวงตาข้างขวา ซึ่งแม้หมอจะช่วยให้หายดีจนไม่มีผลร้ายต่อการมองเห็น แต่ก็แลกมาด้วยม่านตาที่ขยายแบบไม่คืนกลับ ทำให้ตาข้างนั้นของเขากลายเป็นสีฟ้า ต่างกับตาอีกข้างที่เป็นสีเข้ม   ฟังดูโชคร้าย แต่นั่นกลับกลายเป็นจุดขายที่เข้ากันได้พอดิบพอดีกับภาพลักษณ์ประหนึ่งไม่ใช่มนุษย์บนดาวนี้ของเขาเมื่อกลายเป็นศิลปิน   เดวิดกลายเป็นศิลปิน และนำคำ ‘โบวี’ มาต่อท้ายด้านหลังแทน ‘โจนส์’ เพื่อไม่ให้สับสนกับศิลปินคนอื่น และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาก้าวเข้าสู่วงการดนตรีด้วยการเรียนรู้ที่จะ ‘ไม่เป็นตัวเอง’   สู่ห้วงอวกาศ   “ผมเป็นนักสะสมบุคลิก”   เดวิด โบวี เคยกล่าวไว้แบบนั้น นับจากครั้งแรกที่เขาปรากฎตัวในบทบาท ‘ซิกกี สตาร์ดัส’ (Ziggy Stardust) มนุษย์ต่างดาวผมแดงที่เดินทางมายังโลกในอัลบั้ม ‘The Rise and Fall of Ziggy Stardust and the Spiders from Mars’ (1972) การ ‘สวมบทบาท’ ก็กลายเป็นอะไรที่โบวีทำจนเป็นกิจวัตรประจำวัน ในหมู่แฟน ๆ บางคนถึงกับมีทฤษฎีว่าโบวีเปลี่ยนแปลงบุคลิกของเขาไปมา เพื่อที่จะจัดการกับปัญหาจิตเภทภายในจิตใจ   จากมนุษย์ต่างดาวหัวแดง ไปเป็นขุนนางผิวขาวร่างผอม (The White Thin Duke) ต่อด้วยบทบาทเอเลี่ยนในคราบมนุษย์ในภาพยนตร์เรื่อง The Man Who Fell to Earth ‘บุคลิก’ ของโบวีเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามแต่ละบทบาทที่เขาต้องเล่น และคล้ายกับว่าเขาจะ ‘อิน’ กับมันมากเหลือเกิน เขาแทบจะไม่อธิบายถึงอะไรที่เป็น ‘โบวี’ หากแต่ใช้เวลาไปกับการเล่าเรื่องราวของตัวละครที่เขากำลังเล่น   การแสดงเป็นคนอื่นอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลบางอย่างกับสภาพจิตใจของโบวี ครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า   “ผมรู้จักตัวเองน้อยมากและมั่นใจในตัวเองต่ำแบบสุดกู่ ชีวิตวิ่งผ่านผมไปไวเหลือเกิน ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองดีพอ สิ่งที่ผมพอจะมีค่าได้เพียงอย่างเดียวคือการทำงาน”   ตลอดต้นยุค 70s ที่โบวีใช้ชีวิตราวกับเขาเป็นเมเจอร์ทอมที่นั่งโดดเดี่ยวอยู่บนกระสวยอวกาศ รอบกายคือห้วงจักรวาลที่เขาสร้าง รอบข้างคือดนตรี เวที และผงโคเคน เช่นเดียวกับนักดนตรีร่วมสมัยคนอื่น ๆ โบวีติดยา   ปัญหาคืบคลานมาหาเขาในขณะที่เขาสวมบทบาทเป็น The White Thin Duke เขาพูดและทำตัวเหมือน The White Thin Duke ทุกอย่าง แม้กระทั่งการสนับสนุนฟาสซิสต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้แฟน ๆ หลายคนของเขาต้องเบือนหน้าหนี และห่างหายจากการติดตามเขาไป หลายพฤติกรรมของเขาในช่วงนั้นทำให้หลายคนได้ข้อสรุปว่าฤทธิ์ยาและความเครียดสะสมทำให้เดวิด โบวีสร้างโลกอีกใบที่ทับซ้อนกับโลกจริงขึ้นมาอย่างสมบูรณ์   เขาไม่กิน ไม่นอน และผอมซูบขึ้นทุกที   โบวีต้องเลิกยา เขาจึงบินลัดฟ้าไปที่กรุงเบอร์ลิน   หนึ่งจูบสู่ครู่ยามของวีรชน   / We can beat them, for ever and ever.  We can be Heroes, just for one day /   ที่เบอร์ลิน โบวีค่อย ๆ รู้สึกว่าเขาได้ชีวิตกลับคืน เขาไม่ต้องตะลอนทัวร์ทุกค่ำ และไม่ต้องหมกมุ่นกับการสวมบทบาทเป็นใครอื่นอีกแล้ว ที่นี่เขาคือเดวิด โบวี เขาคือนักดนตรีที่พยายามจะแต่งเพลงโดยไม่พึ่งฤทธิ์ยา   และก็เป็นที่เบอร์ลินอีกเช่นกันที่โบวีได้ผลิตสามอัลบั้มที่ถูกยกย่องว่าดีที่สุดของเขา   Low (1977), Heroes (1977) และ Lodger (1979) ถือกำเนิดขึ้นที่นั่น ในสตูดิโอที่ชื่อว่า Hansa Studio โดยเฉพาะ ‘Heroes’ ที่โด่งดังกว่าใครเพื่อน เพลงนี้เป็นผลพวงจากการที่โบวีขอเวลาส่วนตัวจากทีมงานในห้องอักคนอื่น ๆ เพื่อคิดเนื้อร้องสักท่อน เขายืนนิ่งในสตูดิโอโดยลำพังและเริ่มมองไปนอกหน้าต่าง   อีกฟากฝั่งของถนน ในอาคารตรงข้าม เดวิดมองเห็น โทนี วิสคอนติ (Tony Visconti) โปรดิวเซอร์ของเขากำลังจูบแลกรักกับหญิงสาวที่นับได้ว่าเป็น ‘ชู้’ เพราะโทนีมีภรรยาอยู่แล้ว ฉากพลอดรักที่เขาเห็นผ่านหน้าต่างนั่นจึงกลายมาเป็นเนื้อร้องท่อนที่โบวีกำลังตามหา และกลายมาเป็นเพลงชั้นตำนานที่มีพยานรักลับหลังเมียของโทนีฟังอยู่ทั่วโลก   / I, I can remember (I remember) Standing, by the wall (by the wall) And the guns, shot above our heads (over our heads) And we kissed, as though nothing could fall (nothing could fall) /   กลับดาว   / Look up here, I'm in heaven /   ตลอดชีวิตการทำงานของโบวี เขาผลิตผลงานเพลงออกมาอีกหลายชุด จนกระทั่งมิถุนายน ปี 2004 โบวีถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลหลังจากสลบไประหว่างการแสดงในเทศกาลดนตรี Hurricane Festival ที่เยอรมัน และหลังจากนั้นเขาก็แทบจะเร้นหายจากสายตาสื่อมวลชน เขาปรากฎตัวน้อยครั้ง จนกระทั่งปี 2013   เดวิด โบวีกลับมาพร้อมกับอัลบั้ม The Next Day (2013) โดยแทบไม่มีการแสดงสดและให้สัมภาษณ์กับสื่อใด ๆ เลยจวบจนอัลบั้มสุดท้าย ที่วางขายก่อนการจากไปของเขาไม่กี่วัน   อัลบั้ม Blackstar เปิดตัวในวันเกิดของโบวี คือวันที่ 8 มกราคม ปี 2016 ก่อนที่โรคมะเร็งจะคร่าชีวิตเขาไปในอีกสองวันให้หลังโดยไม่ทันได้ให้ใครตั้งตัว โบวีไม่เคยปริปากถึงโรคร้ายที่เขาต้องเผชิญต่อสาธารณะ และกำชับไม่ให้ทุกคนที่ทำงานร่วมกับเขาแพร่งพรายมันให้ใครรู้   10 มกราคม 2016 เสียงเพลงที่เล่าถึงความตายและชีวิตหลังจากนั้นที่ถูกถ่ายทอดลงในอัลบั้ม Blackstar ถูกเปิดและฟังอย่างตั้งใจกว่าที่เคยเพื่อระลึกถึงชายผู้สร้างสรรค์มันขึ้นมา   ชายผู้เคยเขียนเพลงถึงการท่องอวกาศของเมเจอร์ทอม เคยสวมบทบาทเป็นมนุษย์ต่างดาว และดูราวกับว่าเขามาจากต่างดาวอย่างแท้จริง ได้กลับไปสู่ที่ที่เขาจากมา ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะเป็นสวรรค์อย่างในเพลง ‘Lazarus’ แทร็กในอัลบั้มหรือไม่ หรือเป็นดาวอังคารอย่างใน ‘Life on Mars?’ หรือว่าดาวดวงอื่น แต่ประวัติศาสตร์โลกดนตรีจะจารึกการมีชีวิตการมีอยู่ของเดวิด โบวี และเสียงเพลงของเขา ไว้บนชั้นบรรยากาศของโลกไปอีกนานเท่านาน   เรื่อง: จิรภิญญา สมเทพ   ที่มา: หนังสือ The AGE OF BOWIE: How David Bowie Made a World of Difference โดย Paul Morley https://faroutmagazine.co.uk/david-bowie-life-on-mars-story-behind-the-song/ https://www.marieclaire.co.uk/entertainment/people/david-bowie-22095 https://www.loudersound.com/features/the-story-behind-the-song-heroes-by-david-bowie https://faroutmagazine.co.uk/david-bowie-heroes-story-behind-song/ https://www.history.com/this-day-in-history/ziggy-stardust-makes-his-earthly-debut https://happymag.tv/why-did-bowie-create-ziggy-stardust-an-insight-into-the-greatest-alter-ego-pop-music-has-ever-seen/ https://www.youtube.com/watch?v=ieVpVwgs4c4 https://www.davidbowienews.com/2016/12/heroes-hurricane-festival-2004/