22 ธ.ค. 2563 | 16:37 น.
“เคยมีคนบอกผมว่า ‘ถ้าคุณอยากเรียนรู้เกี่ยวกับความล้มเหลว จงอ่านหนังสือพิมพ์หน้าแรก แต่ถ้าอยากเรียนรู้เกี่ยวกับความสำเร็จ จงอ่านหน้าสุดท้าย’”เขาบอกว่า ถ้าลองสังเกตดี ๆ ข่าวร้าย ข่าวน่าใจหาย เรื่องราวความผิดพลาดของคนอื่น มักจะถูกตีพิมพ์ในหน้าแรก แต่ข่าวที่พูดถึงเรื่องราวดี ๆ ความสำเร็จ รวมถึงหมวดข่าวมรณกรรม มักจะอยู่หน้าหลัง ๆ “งานประจำของผมคือการบริหารบริษัทที่พยากรณ์อนาคต โดยใช้ข้อมูลจากอดีต เหมือนกับการมองกระจกหลัง ตอนนั้นผมก็เริ่มคิดว่า ถ้าเราลองมองกระจกหลังไปที่ข่าวมรณกรรมบ้างล่ะ มันจะมีวิธีที่ทำให้มีข่าวมรณกรรมของคุณบนหนังสือพิมพ์ แม้ว่าคุณจะไม่ได้อยู่อ่านมันหรือไม่” และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เช้าวันใหม่อันสดใสของ ลักซ์ นารายัน เริ่มต้นด้วยกาแฟ ไข่ข้น และคำถามที่ว่า “วันนี้มีใครตายบ้าง?” เขาเริ่มอ่านเรื่องราวสดุดีชีวิตของคนตาย ข่าวในหมวดมรณกรรม บนหน้าสุดท้ายของหนังสือพิมพ์ The New York Times ตลอดระยะเวลา 20 เดือน ตั้งแต่ปี 2015-2016 รวม ๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 2,000 ข่าว แล้วดูว่าเรื่องราวของพวกเขาสอนอะไรเราบ้าง
“อย่างแรก เราดูที่ถ้อยคำก่อน พาดหัวข่าวมรณกรรมส่วนใหญ่จะใช้คำฟุ่มเฟือยน้อยมาก นี่คือข่าวของ ลี กวน ยู ผู้ยิ่งใหญ่ หากคุณเอาส่วนต้นที่เป็นชื่อ และส่วนท้ายที่เป็นอายุออกไป ก็จะเหลือให้เห็นเพียง ‘บิดาแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์’ เพียงแค่นี้ก็น่าทึ่งแล้ว พาดหัวข่าวมรณกรรมส่วนใหญ่ จะใช้คำบรรยายไม่กี่คำนี่ล่ะ บอกเล่าความสำเร็จในชีวิตของคนคนหนึ่ง”ต่อไปมาดูเรื่อง อาชีพ นารายันนำเนื้อหาในข่าวมรณกรรมกว่า 2,000 ชิ้น มาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม โดยให้มันตัดคำฟุ่มเฟือยอย่าง "the" "and” หรือคำที่ไม่ได้ส่งผลต่อความหมายออก และเหลือไว้เพียงแค่คำที่สำคัญ ผลลัพธ์ที่ได้คือ 40% ของคำที่พบเป็นคำศัพท์เชิงศิลปะ อย่างละคร ภาพยนตร์ การเต้น หรือดนตรี ซึ่งก็หมายความว่าอาชีพที่ได้รับการสดุดีลงหนังสือพิมพ์ มักเป็นคนจากสายงานศิลปินมากกว่าอาชีพอื่น ส่วนอายุ เขาพบว่าค่าเฉลี่ยของอายุที่คนมักประสบความสำเร็จ สามารถคิดค้น สร้างสรรค์ หรือทำอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอันได้ มักเป็นวัย 37 ปี นั่นหมายความว่าเด็ก ๆ ที่กำลังเร่งรีบอยู่ในตอนนี้ อาจต้องอดใจรอกันเสียหน่อย เพราะความสำเร็จนั้นต้องใช้เวลา แต่แน่นอนว่าในประเด็นเกี่ยวกับอายุ ยังต้องพิจารณาอิงกับสายอาชีพด้วย หากคุณเป็นนักกีฬาชื่อดัง คุณก็อาจขึ้นถึงจุดสูงสุดในอาชีพในช่วงอายุ 20 ปี แต่หากคุณอยู่ในสายอาชีพนักการเมืองในตอนนี้ กว่าจะสร้างผลงานดี ๆ หรือผลักดันกฎหมายที่น่ายกย่องออกมาได้ ค่าเฉลี่ยบอกว่าคุณอาจต้องรอถึงอายุกลาง 40 และหากคุณกำลังสงสัยว่า แล้วคนอื่นล่ะ? คนธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้มีชื่อเสียง ไม่ได้ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ จะไม่มีโอกาสได้รับการสดุดีจากหนังสือพิมพ์ชื่อดังเลยหรือ? ข้อนี้นารายันเองก็ตั้งข้อสงสัยรวมถึงหาคำตอบมาให้เราแล้ว นารายันนำข้อมูลในย่อหน้าแรกของข่าวมรณกรรม 2,000 ชิ้นมาแยกวิเคราะห์ โดยแบ่งข้อมูลเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มคนดัง เช่น ซาลา ฮาดิด, มูฮัมหมัด อาลี หรือนักร้องอย่าง ปริ๊นซ์ เหล่านี้ก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่โด่งดังและประสบความสำเร็จ แต่อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นคนไม่ดัง อย่างเช่น จอยซ์ลิน คูเปอร์, บาทหลวงริค เคอร์รี หรือ ลอร์น่า เคลลี น้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อเหล่านี้ แต่พวกเขาเองก็เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จเพราะทำเรื่องยิ่งใหญ่ "ข้อมูลที่ได้จะบอกอะไรกับเรา คำแรกที่สะดุดตาผมเลยนะ ‘จอห์น’ (John) สำหรับคนชื่อนี้ ขอบคุณพ่อแม่คุณเสียนะครับคุณคงได้เห็นชื่อตัวเองบ่อยเลย และคำที่สอง ‘ช่วยเหลือ’ (help)”
“เราค้นพบว่า บทเรียนจากเหล่าบุคคลที่ใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่าจนน่าสรรเสริญ คนที่ต่อให้ตัวพวกเขาตาย แต่ก็ยังทิ้งมรดกที่ไม่มีวันตายไว้แก่เรา ไม่ว่าจะโด่งดังมีชื่อเสียงหรือไม่ พวกเขาได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และทิ้งร่องรอยเชิงบวกไว้ในช่วงชีวิต พวกเขาช่วยเหลือคนอื่น”ดังรายชื่อที่เขายกมา จอยซ์ลิน คูเปอร์ คือนักการเมืองหญิงผิวดำคนแรก ที่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสภาคองเกรส ซึ่งนับเป็นอีกก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ในเวทีการเมืองของเหล่าคนดำ บาทหลวงริค เคอร์รี่ ผู้เกิดมาพิการไร้แขนข้างขวา แต่ก็ยังมอบโอกาสให้เหล่าทหารผ่านศึกและคนพิการได้มีอาชีพทำในโรงละครที่เขาก่อตั้งขึ้น ด้านลอร์นา เคลลี นักจัดประมูลหญิงคนแรก ที่หันหลังให้กับ Sotheby's บริษัทจัดการประมูลที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษ เธอหันมาใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองจัดงานประมูลการกุศลเพื่อช่วยเหลือคนยากจนกระทั่งเสียชีวิต บุคคลเหล่านี้หากไม่ได้อยู่ในแวดวงสังคมเดียวกัน ย่อมไม่มีใครรู้จักหน้าตาของพวกเขาเลย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการกระทำของพวกเขาไม่สมควรได้รับการสรรเสริญ และนั่นก็คือสิ่งที่หนังสือพิมพ์ The New York Times มองเห็นตลอดมา นารายันฝากคำถามไปถึงทุกคนว่า “คุณเคยได้ใช้ความสามารถของตัวเองช่วยเหลือคนอื่นบ้างหรือเปล่า" เพราะบทเรียนที่เขาได้รับจากการอ่านเรื่องราวชีวิตคนกว่า 2,000 คนตลอดมานี้ คือ ถ้าเราช่วยเหลือผู้อื่น เราก็อาจได้เป็นคนมีชื่อเสียงก่อนตาย และถ้าโลกนี้มีแต่คนที่อยากมีชื่อเสียงก่อนตาย มันก็คงหมายถึงโลกที่น่าอยู่กว่านี้ไม่น้อยเลย เรื่อง พาขวัญ ศักดิ์ขจรยศ ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=JlbwchclCBo https://www.funeralguide.co.uk/blog/life-lesson-obituaries https://myzenpath.com/work.../learning-from-2000-obituaries/ https://www.frazerconsultants.com/.../what-are.../