โสดอย่างสง่างาม ถอดรหัส ‘Singlism’ ในสังคมที่หลงใหลการแต่งงาน

โสดอย่างสง่างาม ถอดรหัส ‘Singlism’ ในสังคมที่หลงใหลการแต่งงาน

เลือกเป็นโสดก็มีคุณค่า แม้สังคมจะกดดันและเลือกปฏิบัติ การใช้ชีวิตตามที่ใจต้องการคือความงดงามที่แท้จริง

KEY

POINTS

  • Singlism: การเลือกปฏิบัติต่อคนโสดซ่อนอยู่ทั้งในระดับทัศนคติและโครงสร้างสังคม
  • Single at Heart: การเป็นโสดไม่ใช่สถานะชั่วคราว แต่เป็นการเลือกวิถีชีวิตที่เติมเต็มตัวตน
  • คุณภาพความสัมพันธ์สำคัญกว่าประเภทความสัมพันธ์ คนโสดมักมีเครือข่ายสังคมกว้างขวางกว่า

“แล้วเมื่อไหร่จะแต่งงาน?” คำถามที่หลายคนได้ยินจนชิน แต่ก็อดสะเทือนใจไม่ได้สักครั้ง 

คุณเคยรู้สึกหรือไม่ว่าการเป็น ‘โสด’ เหมือนกำลังแบกรับคำพิพากษาที่มองไม่เห็น?
เหมือนกับว่าคุณกำลัง ‘รอ’ ให้ชีวิตเริ่มต้น ทั้งที่จริงแล้วชีวิตคุณก็ดำเนินไปตามเส้นทางปกติ 

ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ‘Singlism’ หมายถึง การเลือกปฏิบัติต่อคนโสดที่ซ่อนอยู่ในทุกอณูของสังคม ตั้งแต่คำถามน่ารำคาญในวงครอบครัว ไปจนถึงกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้คนแต่งงานอย่างไม่เป็นธรรม 

การแต่งงานเป็นบรรทัดฐานที่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติตาม เป็นทั้งพิธีกรรมทางสังคมและเครื่องมือในการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจและการสืบทอดวงศ์ตระกูล แม้ในสังคมไทยสมัยใหม่ที่ให้คุณค่ากับความรักและการเลือกคู่ครองด้วยตนเอง การแต่งงานยังคงถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ ‘ควรทำ’ 

อย่างไรก็ตาม สถิติล่าสุดจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของไทยชี้ให้เห็นว่า จำนวนคนโสดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียลและเจนเนอเรชัน Z ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในไทย แต่เป็นแนวโน้มทั่วโลก 
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการศึกษาของผู้หญิงที่สูงขึ้น การขยายตัวของโอกาสทางอาชีพ การเปลี่ยนแปลงค่านิยมทางสังคม และการตั้งคำถามกับสถาบันการแต่งงานแบบดั้งเดิม 
 

หลายคนไม่ได้มองว่าการไม่แต่งงานคือ ‘ความล้มเหลว’ หากแต่เป็นทางเลือกที่สมบูรณ์ในตัวเองที่ตอบโจทย์ชีวิตพวกเขา 

แนวคิด Singlism มีความคล้ายคลึงกับ ‘isms’ อื่น ๆ เช่น เพศนิยม (sexism) หรือเชื้อชาตินิยม (racism) แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญคือ Singlism มักไม่ถูกรับรู้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการเลือกปฏิบัติ แม้แต่โดยผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเอง 

มีการศึกษาพบว่า เมื่อนำเสนอสถานการณ์จำลองเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มต่าง ๆ ผู้เข้าร่วมการทดลองสามารถระบุได้ทันทีว่า มีการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้นในกรณีของเพศและเชื้อชาติ แต่ไม่สามารถระบุได้ในกรณีของสถานะการสมรส 

ขณะที่ภาพเหมารวมเชิงลบต่อคนโสดปรากฏในหลายรูปแบบ ทั้งมุมมองที่ว่าคนโสดเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีความสุข หรือขาดทักษะทางสังคม ในการศึกษาเมื่อปี 2008 โดยมอร์ริส (Morris), เดอเปาโล (DePaulo), เฮอร์เทล (Hertel) และ เทย์เลอร์ (Taylor) ได้สำรวจนักศึกษามหาวิทยาลัยกว่า 1,000 คน พบว่าคนโสดมักถูกอธิบายด้วยคุณลักษณะเชิงลบมากกว่าคนแต่งงาน เช่น ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มั่นคง เห็นแก่ตัว ไม่มีความสุข เหงา และแม้กระทั่ง ‘น่าเกลียด’ โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น

การเลือกปฏิบัติเชิงสถาบัน 

Singlism ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงทัศนคติและความเชื่อส่วนบุคคล แต่ยังฝังรากลึกในโครงสร้างสถาบันต่าง ๆ ในสังคม ในระบบกฎหมายและภาษีของหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งคู่สมรสได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่คนโสดไม่ได้รับ นอกจากนี้ ในสถานที่ทำงาน คนโสดมักพบกับความคาดหวังที่ไม่เป็นธรรม เช่น ถูกคาดหวังให้ทำงานล่วงเวลาหรือในวันหยุดมากกว่า เนื่องจากมีสมมติฐานว่าพวกเขามีความรับผิดชอบทางครอบครัวน้อยกว่า แม้ว่าในความเป็นจริง พวกเขาอาจมีภาระในการดูแลพ่อแม่หรือสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ 
 

ปรากฏการณ์ Matrimania และผลกระทบทางจิตวิทยา 

ควบคู่ไปกับ Singlism คือปรากฏการณ์ที่เดอเปาโลเรียกว่า ‘Matrimania’ หรือ ‘การหลงใหลในการแต่งงาน’ ซึ่งหมายถึงการเชิดชูการแต่งงานและความสัมพันธ์แบบคู่อย่างเกินจริง 

สังเกตได้จากละคร ภาพยนตร์ เพลงป๊อป และแม้แต่โฆษณา ที่มักนำเสนอความรักแบบคู่และการแต่งงานเป็นจุดสูงสุดของชีวิต เป็นเป้าหมายที่ทุกคน ‘ควร’ มี 

ดร.เดอเปาโลมองว่า matrimania อาจสะท้อนความไม่มั่นใจของสังคมต่อสถาบันการแต่งงาน เธอกล่าวว่า “หากประโยชน์ของการแต่งงานชัดเจนและเห็นได้ชัดจริง ๆ เราคงไม่ต้องการการยกย่องและสนับสนุนมากมายขนาดนี้” 

ในสังคมไทย matrimania ปรากฏชัดในช่วงฤดูกาลแต่งงาน ที่มีการจัดงานแฟร์แต่งงาน สื่อต่าง ๆ นำเสนอข่าวงานแต่งดารา และสื่อสังคมออนไลน์เต็มไปด้วยภาพพิธีแต่งงานสุดอลังการ สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างแรงกดดันทางสังคมและจิตวิทยาให้กับผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงาน หรือเลือกที่จะไม่แต่งงาน การที่สังคมซึมซับความเชื่อเหล่านี้ อาจส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อคนโสด 

ดร.เดอเปาโลอธิบายว่า เมื่อบุคคลต้องเผชิญกับข้อความทางสังคมที่ขัดแย้งกับประสบการณ์ส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น การได้ยินว่าคนโสดต้องเหงาหรือไม่มีความสุข ในขณะที่พวกเขารู้สึกพึงพอใจกับชีวิต อาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า ‘ความไม่ลงรอยทางความคิด’ (cognitive dissonance) ซึ่งสร้างความตึงเครียดทางจิตใจและอาจส่งผลกระทบถึงสุขภาพจิตในระยะยาว 

มายาคติเกี่ยวกับความสุขและความเหงา 

“คนโสดต้องเหงาแน่ ๆ” 

หนึ่งในภาพเหมารวมที่ฝังรากลึกที่สุดเกี่ยวกับคนโสดคือความเชื่อว่าพวกเขาจะต้องเหงาและมีความสุขน้อยกว่าคนแต่งงาน แต่ในทางวิชาการแล้ว มีหลักฐานมากมายที่ชี้ว่านี่เป็นเพียง ‘มายาคติ’ 

การศึกษาระยะยาวโดยนักวิจัยชื่อ ลูคัส (Lucas), คลาร์ก (Clark), จอร์เจลลิส (Georgellis) และ ดีเนอร์ (Diener) พบว่า การแต่งงานอาจทำให้มีความสุขในช่วงแรก แต่ระดับความสุขมักกลับสู่ระดับพื้นฐานเดิมภายในเวลาไม่กี่ปี 

ในหนังสือ ‘Singled Out’ ดร.เดอเปาโลวิเคราะห์ข้อมูลและชี้ให้เห็นว่าไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นว่าคนแต่งงานมีความสุขมากกว่าคนโสดอย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยชิ้นหนึ่งของ ดร.เดอเปาโลและคณะพบว่า คนโสดมักมีเครือข่ายทางสังคมที่กว้างขวางและแข็งแกร่งกว่า พวกเขามีความสัมพันธ์ที่หลากหลายและลึกซึ้งกับเพื่อน ญาติพี่น้อง และชุมชน ในขณะที่คนแต่งงานมักจำกัดความสัมพันธ์สำคัญไว้กับคู่สมรสและครอบครัว 

งานวิจัยยังพบอีกว่า ‘คุณภาพ’ ของความสัมพันธ์สำคัญกว่า ‘ประเภท’ ของความสัมพันธ์ คนโสดที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นมีแนวโน้มที่จะรู้สึกเหงาน้อยกว่าคนแต่งงานที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่มีความสุขหรือแยกตัวจากสังคม 

Single at Heart: จิตวิทยาของการเลือกเป็นโสด 

หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญที่ ดร.เดอเปาโลนำเสนอในงานวิจัยของเธอคือ ‘Single at Heart’ ซึ่งใช้อธิบายบุคคลที่รู้สึกว่าการเป็นโสดเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตที่แท้จริงและเป็นธรรมชาติสำหรับพวกเขา ไม่ใช่สถานะชั่วคราวหรือการประนีประนอม 

“ฉันไม่ได้โสดเพราะยังหาคนที่ใช่ไม่เจอ แต่เพราะฉันเลือกที่จะเป็นแบบนี้ และมีความสุขกับมัน” นี่คือคำอธิบายที่มักพบในคนประเภท Single at Heart 

จิตวิทยาของผู้ที่เป็น Single at Heart มีลักษณะเฉพาะหลายประการ โดยมากแล้วพวกเขามักจะรู้สึกเติมเต็มและสมบูรณ์ในตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาความสัมพันธ์แบบคู่ เติบโตและพัฒนาตัวเองได้ดีเมื่อมีพื้นที่ส่วนตัวและอิสระ ชื่นชอบการตัดสินใจด้วยตนเองโดยไม่ต้องประนีประนอม มีความสุขกับความเป็นส่วนตัวและเวลาอยู่คนเดียว สร้างชีวิตที่มีความหมายผ่านความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบและความหลงใหลในงานหรืองานอดิเรก 

นักจิตวิเคราะห์สมัยใหม่มองว่า ความสามารถในการอยู่อย่างสงบและมีความสุขในสภาวะโสดอาจเป็นเครื่องหมายของพัฒนาการทางจิตใจที่สมบูรณ์ ซึ่งสะท้อนถึงการมีอัตลักษณ์ที่มั่นคงและรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาการยืนยันจากผู้อื่นหรือสถานะทางสังคม 

ในบริบททางศาสนาและปรัชญาตะวันออก การใช้ชีวิตอย่างสันโดษและอิสระมักได้รับการยกย่องว่าเป็นหนทางสู่ปัญญาและความสงบภายใน ในขณะที่สังคมสมัยใหม่มักมองว่าการอยู่คนเดียวเป็นความล้มเหลวหรือขาดตกบกพร่อง มุมมองทางปรัชญากลับเห็นคุณค่าในการรู้จักและเข้าใจตัวเอง การพึ่งพาตนเอง และความสามารถในการอยู่กับตัวเองได้อย่างมีความสุข

ท้ายที่สุด ชีวิตไม่ใช่การแข่งขันระหว่างคนโสดกับคนแต่งงานว่าใครจะมีความสุขมากกว่ากัน แต่เป็นการเดินทางร่วมกันในฐานะมนุษย์ที่กำลังค้นหาความหมายและความสุขในรูปแบบที่หลากหลาย การที่เราสามารถมองเห็นความงดงามในวิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากของเราเอง คือความงดงามที่แท้จริงของสังคมที่เราควรสร้างร่วมกัน เพื่อให้ทุกคนได้เติบโตอย่างอิสระและงดงามในแบบของตัวเอง โดยปราศจากเงื่อนไขและการตัดสินจากผู้อื่น

 

เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า

ภาพ: Pexels

อ้างอิง:

"Embracing Single Life: Love, Intimacy and Family Beyond the Couple." The Current, UC Santa Barbara, 13 Feb. 2024, news.ucsb.edu/2024/021352/embracing-single-life-love-intimacy-and-family-beyond-couple. Accessed 7 May 2025.

DePaulo, Bella. "The Stunning Dismissiveness of the Systematic Disadvantaging of Single People." Unmarried Equality, 17 Feb. 2022, www.unmarried.org/featured/the-stunning-dismissiveness-of-the-systematic-disadvantaging-of-single-people. Accessed 7 May 2025.

Grundy, Emily, et al. “Singlehood in Context: Perspectives from Population-Based Studies.” Journal of Population Ageing, vol. 15, no. 3, 2022, pp. 283–298. PMC, www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8892065. Accessed 7 May 2025.

“Singlism and the Pressure of Being Single.” MyDonna, www.mydonna.com/DE/en/singlism-and-the-pressure-of-being-single. Accessed 7 May 2025.

“Rising Trend: Why More Thais Are Choosing Single Life over Marriage in 2025.” Thai News, www.thai.news/news/thailand/rising-trend-why-more-thais-are-choosing-single-life-over-marriage-in-2025. Accessed 7 May 2025.