‘อองรี ทาจเฟล’ กับทฤษฎี ‘Social Identity Theory’ จิตวิทยาเบื้องหลังการเหยียด

‘อองรี ทาจเฟล’ กับทฤษฎี ‘Social Identity Theory’ จิตวิทยาเบื้องหลังการเหยียด

‘อองรี ทาจเฟล’ นักจิตวิทยาที่มีปูมหลังแสนเจ็บปวด กับการค้นพบทฤษฎี ‘Social Identity Theory’ จิตวิทยาเบื้องหลังการเหยียด

KEY

POINTS

เคยสงสัยไหมว่าทำไมมนุษย์ถึงมีความรู้สึก ‘เหยียด’ คนอื่นที่ต่างไปจากตัวเองได้ ทั้งที่ไม่เคยมีความขัดแย้งอะไรเป็นการส่วนตัว บ้างก็รู้สึกภูมิใจ เมื่อทีมที่เราเชียร์ชนะ หรือดีใจจนตัวลอยเมื่อเพื่อนประสบความสำเร็จ ทั้งที่เราไม่มีผลพลอยได้ใด ๆ จากความสำเร็จนั้น หรือแม้แต่ความรู้สึกอายแทนคนชาติเดียวกันที่ทำพฤติกรรมแย่ ๆ แม้ว่าเราไม่จะเคยพบเจอหรือรู้จักคนเหล่านั้นเลยก็ตาม

‘อองรี ทาจเฟล’ (Henri Tajfel) นักจิตวิทยาสังคมชาวโปแลนด์ ได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างลงลึก เพื่อหาคำตอบว่าอะไรเป็นเส้นแบ่งให้คนรู้สึกถึงความเป็นพวกเขา – พวกเรา ได้ขนาดนี้ ซึ่งแรงผลักดันในการศึกษาดังกล่าวมาจากเหตุการณ์ในชีวิตจริงของทาจเฟล นั่นคือความสูญเสียครั้งใหญ่ในช่วงสงครามโลก

สงคราม เชื้อชาติ และการอยู่รอด

ทาจเฟลเกิดในครอบครัวชาวยิวในโปแลนด์ แล้วไปร่ำเรียนด้านเคมีที่ฝรั่งเศสจนพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่อง เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนกระทั่งช่วงสงครามโลก ทาจเฟลเองก็ได้ร่วมรบกับกองทัพฝรั่งเศส ก่อนจะถูกจับเป็นเชลยศึกอย่างยาวนานจนสงครามจบลง 

แม้เขาจะรอดชีวิตมาได้ แต่ครอบครัวและคนใกล้ชิดของทาจเฟลที่โปแลนด์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะทั้งหมดถูกนาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างโหดเหี้ยม และหากย้อนเวลากลับไป ถ้าทาจเฟลไม่ได้ถูกมองเป็นชาวฝรั่งเศส หรือเปิดเผยตัวตนชัดเจนว่าเป็นชาวยิว เขาก็อาจจะไม่มีชีวิตรอดเช่นเดียวกัน

เหตุการณ์ดังกล่าวจึงฝังลึกอยู่ในใจเขาพร้อมกับคำถามที่ว่า ทำไมชีวิตของคนเราจึงแขวนบนเส้นด้ายแห่งความตาย เพียงเพราะการนิยามว่าตัวเองเป็นใคร นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาหันความสนใจมายังจิตวิทยาอย่างเต็มตัว 

ในปี 1951 ทาจเฟลย้ายไปที่อังกฤษ พร้อมคว้าทุนการวิจัยในหัวข้อเกี่ยวกับเรื่อง ‘อคติ’  (prejudice) แล้วค่อย ๆ ไต่เต้ามา จนได้เป็นอาจารย์ด้านจิตวิทยาสังคมที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และในปี 1967 เขาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานด้านจิตวิทยาสังคมที่มหาวิทยาลัยบริสตอล

พวกเขา - พวกเรา

ทาจเฟลคิดการทดลองหลากหลายรูปแบบ เพื่อหาคำตอบว่าอะไรเป็นเหตุผลให้คนตัดสินใจแบ่งกลุ่มพวกเขา - พวกเรา 

การทดลองของเขามีตั้งแต่ การขีดเส้น 8 บรรทัดที่มีความยาวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเขียนกำกับแต่ละบรรทัดเป็น A หรือ B เท่านั้น จากนั้นให้ผู้เข้าร่วมการทดลองจัดหมวดหมู่ของเส้น ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าความยาวของเส้นเป็นไปตามกลุ่ม A และ B ที่เขียนกำกับไว้ ซึ่งผลลัพธ์นี้สอดคล้องกับแนวคิด ‘การเหมารวมทางสังคม’ (social stereotype) ที่ผู้คนมักจะเหมารวมชาติพันธุ์หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งว่า ‘ผิด’ ไว้ก่อนจากภาพจำและแบบแผนที่สังคมรอบข้างกำหนดให้เป็นเช่นนั้น แม้ว่าลึกลงไปเราล้วนมีความแตกต่างกันในเชิงบุคคลก็ตาม

ส่วนอีก 2 การทดลองที่ใกล้เคียงกันและน่าสนใจไม่แพ้กัน ทาจเฟลให้ผู้เข้าร่วมการทดลองกะประมาณจำนวนจุดที่ปรากฏบนหน้าจอ แล้วหลอกว่าแบ่งกลุ่มตามระดับการตอบถูก - ผิด ส่วนอีกการทดลอง เขาให้เด็ก ๆ มาดูภาพแล้วตอบว่าชอบภาพไหนมากกว่า เพื่อวัด (หลอก ๆ) ว่าเด็กแต่ละคนมีรสนิยมตรงกับสไตล์ศิลปินคนไหนมากกว่า ทั้งที่จริงการแบ่งกลุ่มทั้งหมดนี้เกิดจากการสุ่มมั่ว ๆ โดยไม่ได้มีกฎเกณฑ์แต่อย่างใด

จากนั้นเขาสร้างสถานการณ์ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองช่วยเหลือ หรือให้รางวัลบางอย่างกับคนอื่น ๆ โดยไม่ได้ให้ทำกิจกรรมกลุ่ม และปราศจากการแข่งขันใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น พวกเขาจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการ ‘ให้’ คนอื่นในครั้งนี้ 

แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับพบว่า ผู้เข้าร่วมการทดลองมีแนวโน้มที่จะให้รางวัลกับ ‘คนกลุ่มเดียวกัน’ มากกว่าคนต่างกลุ่ม เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้คนพร้อมที่จะเอนเอียงไปหาคนที่ ‘คิดว่า’ เป็นพวกเดียวกัน แม้จะไม่ได้มีผลประโยชน์หรือมีเป้าหมายใด ๆ ร่วมกันเลยก็ตาม ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูกอธิบายด้วยทฤษฎี ‘อัตลักษณ์ทางสังคม’ หรือ ‘social identity theory’ ในเวลาต่อมา

Social Identity Theory

ทฤษฎีอัตลักษณ์ทางสังคม เสนอโดยทาจเฟล และ ‘จอห์น เทิร์นเนอร์’ (John Turner) ในช่วงทศวรรษ 1970 อธิบายว่า มนุษย์เรานิยามตัวเองจากกลุ่มที่เราเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นสมาชิกอยู่ด้วย เช่น เชื้อชาติ ชนชั้นทางสังคม เพศ ศาสนา โรงเรียน พรรคการเมือง ฯลฯ เพื่อให้เรารู้ว่าตัวเองเป็นใคร และควรปฏิบัติตัวอย่างไร 

โดยกระบวนการคิดของมนุษย์เราจะเริ่มมาตั้งแต่ ‘การแบ่งประเภทสังคม’ (Social categorization) ก่อน ว่ารอบ ๆ ตัวเรามีกลุ่มไหนบ้าง แต่ละกลุ่มมีลักษณะอย่างไร พฤติกรรมแบบไหน ใครเป็นสมาชิกในกลุ่มนั้นบ้าง ซึ่งการแบ่งกลุ่มที่ว่านี้ ช่วยลดความซับซ้อนของสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราได้  

ขั้นต่อมาคือ ‘การระบุตัวตนทางสังคม’ (Social Identification) คือการจัดหมวดหมู่ตัวเอง ว่าเราเป็นสมาชิกของกลุ่มไหน แล้วนำอัตลักษณ์ บรรทัดฐาน ค่านิยม และพฤติกรรมของคนกลุ่มนั้นมาใช้กับตัวเอง เช่น หากนิยามตัวเองว่าเป็นนักเรียนโรงเรียน A สิ่งที่ตามมาคือการสวมยูนิฟอร์ม ปักชื่อตามกฎของโรงเรียน แล้วมาเข้าแถวยามเช้า ทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามตารางของโรงเรียนนั้น ซึ่งนอกจากเรื่องพฤติกรรมแล้ว ยังส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึก ไปจนถึงความภูมิใจในตัวเองอีกด้วย 

และสุดท้าย คือ ‘การเปรียบเทียบทางสังคม’ (Social Comparison) คือการเปรียบเทียบกลุ่มตัวเองกับคนนอกกลุ่ม เพื่อให้รู้ว่าเราอยู่ตรงไหนในสังคม ซึ่งการเปรียบเทียบนี้มักมีแนวโน้มลำเอียงไปทางกลุ่มของตนเอง บางคนอาจถึงขั้นปิดตาข้างเดียว ละทิ้งเหตุผล แล้วการกดคนอื่นให้ต่ำลง เพราะถ้ารู้สึกว่า กลุ่มเราเจ๋งกว่า เหนือกว่า ก็ทำให้คน ๆ นั้นรู้สึกดีกับตัวเองตามไปด้วย 

อัตลักษณ์ทางสังคม จึงเป็นเหมือนเครื่องมือระบุตัวตนและช่วยให้มนุษย์เรารู้สึก ‘ปลอดภัย’ จากการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ทั้งยังช่วยให้เรารับรู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ใช้ชีวิตแบบไหน

แต่หากปล่อยให้ความรู้สึกนี้เข้มข้นมากเกินไป อย่างไม่เท่าทันตัวเอง เราจะเริ่มมองทุกอย่างเป็นภาพเบลอ ๆ ว่ากลุ่มเราดีไปหมด กลุ่มอื่นแย่ไปเสียหมด จึงเป็นที่มาของการแบ่งแยก ลำเอียง การเหยียดและเลือกปฏิบัติ เพราะละเลยมุมมองในเชิงตัวบุคคลและหลงลืมไปว่า เราอาจะมีบางอย่างที่ ‘คล้าย’ กับคนนอกกลุ่มของตัวเองได้เช่นกัน อย่างคนต่างเชื้อชาติ แต่จริง ๆ ในอีกมุมหนึ่ง เราก็เป็นมนุษย์โลกเหมือน ๆ กัน 

แม้ทั้งหมดนี้จะเป็นสัญชาติญาณการเอาตัวรอด แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เรา “ทำอะไรไม่ได้” อย่างสิ้นเชิง เพราะหากสังเกตวิธีการแบ่งกลุ่ม เราจะพบความยืดหยุ่นและจุดแบ่งที่ง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ เรียกง่าย ๆ ว่า “มิตรและศัตรูเราเปลี่ยนแปลงได้แทบจะตลอดเวลา” เราจึงมี ‘อิสระ’ ที่จะนิยามตัวเองใหม่อยู่เสมอ และหากเท่าทันตัวเองมากพอ เราคงฉุกคิดได้บ้างว่า มนุษย์ไม่ใช่สิ่งของที่ถูกผลิตมาจากโรงงานเดียวกัน คน ๆ หนึ่งมีหลากหลายมิติเกินกว่าจะเหมารวมและตัดสินจากภาพจำของตัวเองเพียงเท่านั้น  

แต่สุดท้ายแล้ว เราจะเป็นคนควบคุมสัญชาติญาณเหล่านี้ หรือเป็นผู้ถูกสัญชาติญาณเหล่านี้ควบคุม ก็คงขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกแบบไหน

 

เรื่อง: ธัญญารัตน์ โคตรวันทา
ภาพ: ภาพอองรี ทาจเฟล โดย Olivier Klein จากเว็บไซต์ homosociabilis.blogspot.com

อ้างอิง: 

Henri Tajfel Polish-born British social psychologist

Social Identity Theory—Are We the Company We Keep?

Social Identity Theory In Psychology (Tajfel & Turner, 1979)

Intergroup Discrimination