‘ร้านไทยรักดี’ เมื่อการเมืองลงหม้อ แล้วกลายเป็นข้าวแกง 10 บาท

‘ร้านไทยรักดี’ เมื่อการเมืองลงหม้อ แล้วกลายเป็นข้าวแกง 10 บาท

ข้าวแกงไทยรักดี ร้านข้าว 10 บาท ริเริ่มโดย ‘หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม’ สะท้อนการเมืองใกล้ชิดประชาชน ช่วยคนหิว ลดค่าใช้จ่าย และสร้างความสุขให้ชุมชน

KEY

POINTS

“ปัญหาปากท้องประชาชนเป็นเรื่องสำคัญนะ ในเมื่อเราไม่มีอำนาจรัฐ เราก็ทำในศักยภาพที่เราทำได้”

‘หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม’ ประธานพรรคไทยภักดี พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง

ประโยคนี้สะท้อนให้เห็นความจริงที่เขามองอยู่ตรงหน้า ในวันที่เศรษฐกิจถดถอย ข้าวของแพง ค่าแรงไม่พอใช้ การเมืองในสภาไม่อาจตอบโจทย์ได้ทันที แต่ความหิวของคนรอไม่ได้ ทุกวันคือการต่อสู้ของครอบครัวเล็ก ๆ ที่ต้องประคองชีวิตให้อยู่รอด

ร้านข้าวแกง 10 บาท ‘ข้าวแกงไทยรักดี’ จึงเป็นคำตอบที่หมอวรงค์และพรรคไทยภักดีเลือกจะทำแทนการนั่งรอ “คือเรามีข้อจำกัด เราไม่ได้มีอำนาจรัฐ ไม่สามารถใช้งบประมาณไปช่วยคนได้เหมือนรัฐบาล แต่เรายังมีแรงกาย แรงใจ และพรรคพวกที่อยากทำดีร่วมกัน อย่างน้อยก็แบ่งเบาภาระให้คนที่เดือดร้อน”

เมื่อถามถึงที่มาของชื่อร้าน หมอวรงค์ ตอบว่า “เราใช้ชื่อไทยภักดีเป็นชื่อพรรคการเมือง แต่ด้วยความที่พรรคการเมืองห้ามทำกิจการที่มีการซื้อขาย เราเลยใช้ชื่อไทยรักดีทำร้านข้าวแกง ซึ่งชื่อนี้ก็เป็นชื่อที่ใช้มานานแล้ว กิจกรรมหลายอย่างก็ทำผ่านชื่อนี้มาตลอด” 

ส่วนแรงบันดาลใจที่ทำให้ร้านนี้เกิดขึ้น มาจากการลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย “ช่วงที่มีน้ำท่วม เราก็ไปช่วยน้ำท่วม ไปช่วยที่แม่สาย เชียงราย หนองคาย ปัตตานี กลับมาแล้วรู้สึกว่าสนุกกับการเอาอาหารไปช่วยคนที่ลำบาก เรารู้สึกมีความสุข” ประสบการณ์นั้นทำให้เขาเชื่อว่าการแก้ปัญหาสังคมไม่จำเป็นต้องเริ่มที่นโยบายใหญ่เสมอไป บางครั้งอาหารหนึ่งกล่องก็อาจสร้างความหวังให้คนได้ทั้งวัน

เมื่อข้าวของแพงขึ้นเรื่อย ๆ ร้านนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อรับมือกับสภาพเศรษฐกิจจริง ๆ “เรายืนยันเลยว่าเป็นกิจกรรมที่ไม่แสวงหากำไร เราอยากช่วยประชาชนจริง ๆ เรามีความสุข และคิดว่าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งก็น่าจะมีอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น ผมดูแล้ว พรรคอื่นก็ไม่มีใครทำ เราเลยรู้สึกว่า เอ๊ะ เราน่าจะทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ แล้วเราก็รักที่จะทำด้วย”

บรรยากาศของร้านเต็มไปด้วยความคึกคัก ลูกค้าหลากหลาย ทั้งคนหาเช้ากินค่ำ นักเรียน คนทำงาน ไปจนถึงผู้ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน ทุกคนเข้ามาได้โดยไม่มีเงื่อนไข เพราะข้าวแกง 10 บาทไม่ได้เลือกปฏิบัติ นอกจากเงื่อนไขเดียวคือ ‘ความหิว’

‘ร้านไทยรักดี’ เมื่อการเมืองลงหม้อ แล้วกลายเป็นข้าวแกง 10 บาท

ความตั้งใจของร้านนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ผู้บริโภค แต่ยังรวมถึงการกระจายรายได้ให้กับชาวบ้านในละแวกเดียวกัน หมอและทีมงานเลือกใช้วัตถุดิบและแรงงานจากชุมชน เพื่อให้ประโยชน์ของร้านไม่ได้ตกอยู่เพียงฝั่งเดียว แต่ไหลเวียนกลับไปหาคนรอบข้างด้วย นอกเหนือจากนั้นเป็นของที่ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศส่งมาบริจาค 

กลุ่มเป้าหมายของร้านคือประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่เดือดร้อนกับภาวะเศรษฐกิจที่บีบคั้น “คือเราไม่ได้ทำร้านหรู ไม่ได้ทำเพื่อตอบสนองคนมีกำลังซื้อสูงอยู่แล้ว แต่เราทำเพื่อตอบโจทย์คนที่อยากอิ่มในราคาที่เขาเอื้อมถึง”

‘ร้านไทยรักดี’ เมื่อการเมืองลงหม้อ แล้วกลายเป็นข้าวแกง 10 บาท

เมนูอาหารของร้านมีไม่ต่ำกว่า 17–18 อย่างต่อวัน แต่ละเมนูถูกออกแบบให้ขายหมด “สำหรับผมนะ ไข่พะโล้สุดยอดเลย อร่อยจริง ๆ คนชมเยอะ แต่จริง ๆ อร่อยหลายอย่างครับ เมนูแต่ละวันมีไม่ต่ำกว่า 17–18 อย่าง ผมเองก็อยากลองไปหมด แต่ก็ทานไม่หมด (หัวเราะ) แต่ทุกมื้อผมจะต้องมีไข่พะโล้ครับ”

‘ร้านไทยรักดี’ เมื่อการเมืองลงหม้อ แล้วกลายเป็นข้าวแกง 10 บาท

เสียงตอบรับจากลูกค้ากลายเป็นกำลังใจสำคัญ หลายคนบอกว่าการได้กินข้าวแกง 10 บาทช่วยให้พวกเขาอุ่นใจ แม้จะเป็นมื้อเล็ก ๆ แต่ก็ทำให้มีแรงสู้ต่อในแต่ละวัน บางคนซื้อกลับไปฝากครอบครัว บางคนซื้อหลายถุงเพราะรู้สึกว่าคุ้มค่า และเชื่อมั่นในความจริงใจของร้าน

‘ร้านไทยรักดี’ เมื่อการเมืองลงหม้อ แล้วกลายเป็นข้าวแกง 10 บาท

‘ร้านไทยรักดี’ เมื่อการเมืองลงหม้อ แล้วกลายเป็นข้าวแกง 10 บาท

เบื้องหลังทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อว่า การเมืองไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในสภา แต่ควรปรากฏอยู่ในชีวิตจริงของประชาชนทุกวัน “เราทำไปเพราะอยากช่วยประชาชนจริง ๆ” หมอวรงค์ย้ำ

สำหรับเขา การเมืองจึงอาจไม่ใช่แค่การถกเถียงนโยบาย แต่คือการตักแกงร้อน ๆ ลงจาน และยื่นให้ใครสักคนที่หิวโหยได้อิ่มท้อง

และนั่นคือการเมืองที่จับต้องได้จริง การเมืองที่เรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยความหมาย

 

สัมภาษณ์: พาฝัน ศรีเริงหล้า

ถ่ายภาพ: ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม