28 ธ.ค. 2561 | 17:26 น.
ด้วยบุคลิกที่โดดเด่น และโปรไฟล์ดีเยี่ยมในหลายด้าน ทำให้หลายคนรู้จัก “เฟื่องลดา สรานี สงวนเรือง” จากฉายา “นางฟ้าไอที” แต่ความจริงยังมีอะไรหลายอย่างที่สาวสวยคนนี้แอบซ่อนไว้ภายใต้ฉายา ไม่ว่าจะเป็นความสามารถด้านการร้องเพลงระดับ CU Band ความสามารถในการวางแผนธุรกิจ และการย่อยประเด็นเพื่อสื่อสารเรื่องยากๆ ให้คนทั่วไปเข้าใจง่าย ทำให้เธอเป็นมากกว่าแค่สาวสวยดอกไม้ประดับวงการไอที พื้นที่ที่เต็มไปด้วยผู้ชายแมนๆ สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยันก็คือ เสียงตอบรับจากผู้ชมที่ติดตามงานของเธอ ที่หลายคนเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาลจากมนต์ไอทีที่นางฟ้าคนนี้ได้ร่ายผ่านอินเทอร์เน็ต จะเป็นอะไรติดตามได้ในบทสนทนาที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของผู้หญิงที่ชื่อ “เฟื่องลดา สรานี สงวนเรือง” เฟื่องลดา: ตอนนี้เฟื่องเปิดบริษัทตัวเอง ชื่อ Flourish Digital หลักๆ เราก็ทำสื่อออนไลน์ จริงๆ เป้าก็อยากจะทำเป็นแบบครบวงจร แต่ว่าตอนนี้จะเน้นหนักไปที่วิดีโอเป็นส่วนใหญ่ค่ะ เน้นหนัก 2 แพลตฟอร์ม ตอนนี้ก็คือ Youtube กับ Facebook แล้วก็จริงๆ ก็มีเว็บไซต์ แล้วก็พยายามที่จะไปขยายไปหลายแพลตฟอร์มมากขึ้นค่ะ The People: ปรับตัวยากไหมในการทำสื่อออนไลน์ เฟื่องลดา: จริงๆ เฟื่องว่าเฟื่องโชคดีที่อาจจะขยับตัวเร็วกว่าคนอื่นสักเล็กน้อย เราอาจจะเป็น Wave 2 จริงๆ Background เฟื่องมาจากออฟไลน์ทั้งหมด เคยเป็นผู้ประกาศข่าว อยู่พิธีกรช่อง เป็นดีเจคลื่นวิทยุอะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วก็เริ่มมาเห็นโอกาสของออนไลน์ คือเริ่มทำจากขำๆ ก่อน แต่เริ่มเห็นว่าเทรนด์มันน่าจะเปลี่ยน ก็เลยตัดสินใจ ตุลาคม 2016 ก็คือออกมา ตุลาคมยังไม่ออกมาเต็มตัว ก็คือเริ่มทำ แล้วก็ออกมาจริงๆ คือ 2017 มีนาคมค่ะ ก็คือลาออกจากออฟไลน์ทั้งหมด แล้วก็มาลุยกับบริษัทตัวเองค่ะ ทุกวันเป็นเรื่องของการเรียนรู้แล้วกันค่ะ คือมันยังมีบางอย่างที่เราใช้ Skill จากออฟไลน์มาได้บ้างเล็กน้อย แต่ว่าหลักๆ วิธีคิด ตั้งแต่เริ่มต้นเหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกต้องคิดใหม่กลับหัวกลับหางเลย แล้วก็ค่อยๆ อัปเดตเทรนด์ที่มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ด้วย เพราะว่ามันเปลี่ยนตลอดเวลา อันเดิมที่เคยใช้ได้มาสักประมาณเดือนที่แล้วอาจจะไม่ Work อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนอัตราเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ The People: ที่มาของฉายาน้องฟ้าไอที เฟื่องลดา: นางฟ้าไอที (หัวเราะ) ก็ยังมีคนเรียกอยู่ค่ะ มีคนเรียกว่านางฟ้าไอที จริงๆ เริ่มมาเข้าสู่วงการไอทีกับรายการแบไต๋ไฮเทคของพี่หนุ่ย-พงศ์สุขค่ะ ตั้งแต่ช่วงที่เขาหาพิธีกรหญิงมาสักพักหนึ่ง แล้วก็พอมาบังเอิญเจอเฟื่อง แล้วเฟื่องก็ได้โอกาสเข้าไปทำงานใช่ไหมคะ แล้วก็แป๊บเดียวก็ได้เลยค่ะ (หัวเราะ) สำหรับเฟื่องว่ามันอาจจะเร็วไปด้วยซ้ำ ก็คือพูดเสมอว่าจริงๆ เรายังรู้สึกว่าเราไม่ได้เหมาะสม ณ จังหวะนั้น ก็คือแบบเข้ามาปึ๊บ ได้ปั๊บ ยังไม่ถึง 3 เดือนเลยมั้ง ก็ตอนนั้นมีหนังสือพิมพ์เขามาสัมภาษณ์ แล้วเขาก็เลยอ๋อ นางฟ้าแห่งวงการไอที The People: ผลตอบรับเป็นยังไงบ้าง เฟื่องลดา: Feedback เหรอคะ (หัวเราะ) ก็...ไม่มีอะไรค่ะ คนก็ชอบ อาจจะดูเข้าใจง่ายดีในสิ่งที่วงการไอทีส่วนใหญ่มันอาจจะดูเป็นเรื่องของผู้ชาย แต่ว่าพอบังเอิญมีเพศอื่นเข้ามาในนี้ มันก็เลยอาจจะว่าเอ้ย แปลกไป ก็เลยอาจจะได้ฉายานี้มาค่ะ The People: โดนเพื่อนเรียกให้ไปช่วยซ่อมคอมไหม เฟื่องลดา: ซ่อมคอมยังมีน้อยอยู่ ส่วนมากจะเป็นให้แนะนำมากกว่าค่ะ คือเพื่อนก็มีบ้าง แต่ว่าหลักๆ คือสมมติพอเราทำไอที อย่างลูกเพจพอเขาเห็นว่าเราเป็นเรื่องไอทีปึ๊บ เขาก็จะถามตั้งแต่แบบ...สักกะเบือยันเรือรบ (หัวเราะ) ถามทุกอย่างว่าคอมตัวไหนดี สเป็กรุ่นนี้ หรืออะไรยังงี้ค่ะ The People: ส่วนใหญ่คนมองว่าวงการไอทีเป็นพื้นที่ของผู้ชาย คิดว่าผู้หญิงแบบเราเป็นไม้ประดับวงการหรือเปล่า เฟื่องลดา: ไม่ใช่ค่ะ เมื่อก่อนเรื่องไอทีมันอาจจะเป็นเรื่องของ Niche ใช่ไหมคะ แต่ว่าเฟื่องมองว่าจริงๆ ตั้งแต่เฟื่องเริ่มเข้ามาเลย จริงๆ เฟื่องเรียนจบมาปึ๊บ เฟื่องเข้ามาทำงานด้านไอทีเลย จบพอดีได้มาเป็นพิธีกรแบไต๋ฯ พอดีเลย มันก็เลยทำให้รู้สึกว่าตั้งแต่ยุคนั้นเลย ไอทีมันเริ่มเป็นเรื่องของแมสมากขึ้น ปีแรกอาจจะยังไม่ใช่ แต่ว่ายิ่งมา ยิ่งปีนี้มันคือเรื่องของทุกคน อันนี้เป็นเรื่องที่เฟื่องเชื่อมากๆ แล้วก็จริงๆ ก็เป็น Passion หนึ่งด้วยที่ทำให้ออกมาจากสื่อออฟไลน์แล้วเราตั้งใจ เพราะว่า Vision ที่เฟื่องสร้างบริษัทนี้ขึ้นมาค่ะ เฟื่องเชื่อมากๆ ว่าการรู้เรื่องราวไอทีจะทำให้ให้โอกาสกับคนที่อาจจะมีต้นทุนชีวิตไม่เท่ากับคนอื่น สามารถเติบโตแล้วก็มีศักยภาพได้เท่าเทียมกับคนที่เขามีพื้นฐานหรืออะไรมาก่อน ดังนั้น การติดอาวุธความรู้ด้านไอทีสำคัญมากๆ ค่ะ The People: การเป็นผู้หญิงหรือความเป็นเฟื่องเองเป็นจุดเด่นจุดแข็งในวงการไอทียังไง เฟื่องลดา: คือจริงๆ เฟื่องมองว่า อันนี้เป็นความเชื่อเหมือนกัน แต่ละคนมีสไตล์เป็นของตัวเอง แล้วแต่ละคนมี จุดแข็งของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน อย่างของเฟื่องๆ ว่าจริงๆ เฟื่องอาจจะจากจบอักษร จุฬาฯ คือคนละเรื่องกับไอทีใช่ไหมคะ แต่ว่าภายใต้ความคนละเรื่องนี้ จริงๆ เฟื่องว่ามันมีประโยชน์มากกับการที่เฟื่องเป็นคนสรุปเรื่องที่มันอาจจะดูซับซ้อนและยากให้มันเป็นประเด็น แล้วพูดในภาษาคนที่ไม่รู้เรื่องให้ทุกคนรู้เรื่องได้ ดังนั้น คือเฟื่องมองว่าเรื่องยากๆ แต่ว่าเอาคนที่ไม่ได้รู้เรื่องมาก่อนมาย่อยแล้วสื่อสารออกไป เหมือนเราเป็นเชฟในการปรุงพวกข้อมูลที่เป็นวัตถุดิบเยอะแยะ แล้วเราก็เสิร์ฟให้มันย่อยง่ายที่สุดสำหรับผู้บริโภคของเราค่ะ The People: ตัวอย่างอาหารจานเด็ดที่เคยปรุงให้คนได้เสพมั้ย เฟื่องลดา: จริงๆ ก็มีเยอะนะคะ (หัวเราะ) ก็เยอะอยู่ จริงๆ ที่เป็น Phenomenon เลย แล้วเป็นโปรเจกต์ที่เฟื่องทำเอง เป็นความตั้งใจ Passion เลยเรื่องนี้ฉันจะบุกบั่นให้คนรู้ให้ได้ ก็ถ้าปีนี้เราก็มี 2 ซีรีส์ค่ะ เรื่องหนึ่งเป็น Blockchain the Series ก็คืออธิบายเกี่ยวกับ Blockchain เลยก็คือเฟื่องก็ตั้งใจจะย่อยเรื่องพวกนี้ที่มันดูไกลตัว ดูยาก ก็คือทำออกมาตอนนี้มี 5 Episodes ประกอบกับทีม ก็ได้ทีมที่เชื่อในแบบเดียวกันด้วย แล้วเขาก็มีความสามารถในเชิงโปรดักชัน ในการที่จะสามารถย่อยข้อมูลที่มันซับซ้อนอยู่ให้ Visualize ออกมาได้ภาพที่เข้าใจง่าย อันนั้นก็ค่อนข้างเป็น Phenomenon เหมือนกันค่ะ แล้วก็อีกอันหนึ่งจะเป็น China the Series ค่ะ เจาะเทคโนโลยีเมืองจีน คือเราอ่านมาตั้งแต่ต้นปีแล้วว่าต่อไปนี้เมืองจีนคือเป็น New Silicon Valley เราไม่ต้องไปอเมริกาแล้ว แต่ว่าเทคโนโลยีที่ใกล้มากๆ แล้วดูเหมือนใกล้กับคนไทยมากกว่าอีกก็คือเมืองจีน เราก็ทำมาแล้วก็ จริงๆ Success Factor มันก็วัดยากนะคะ จริงๆ ก็ยังมีพวกอย่างอื่นอีก เช่น สำหรับเฟื่องมันเป็นเทคโนโลยีในยุคเก่าแล้วกัน คืออย่างเฟื่องว่าเดี๋ยวนี้ Gadget มันยังมีกลุ่มคนที่สนใจอยู่ แต่เฟื่องว่ามันเริ่มวนๆ ซ้ำๆ และมันก็ยังมีอันที่เป็น Viral ไปไกลหรืออะไรยังงี้ เซเว่นฯ 4.0 หรือจอดรถไม่ใช้มือ แต่เฟื่องว่ามันเฉยๆ แต่พวกนี้มันคืออันใหม่ที่เราคิดว่าเราทำแล้วเรามองว่านี่คือ Future แล้วเราให้คนรู้สึกตื่นตัวกับเราได้จริงๆ ค่ะ อย่างเมืองจีนงี้ก็จะมีผู้ใหญ่ไปแชร์กันในไลน์อะไรยังงี้เยอะมากเลย จนวนกลับมาหาเฟื่องเองประมาณเกือบ 10 คน เราก็เอ้อ...การที่มันวนกลับมานี่มันอะไร Something อะไรยังงี้ค่ะ รู้สึกว่าคืออันนี้ถือว่า Success แล้วกันในมุมเฟื่องค่ะ The People: คิดว่า Blockchain จะเปลี่ยนโลกได้ขนาดไหน เฟื่องลดา: เยอะมากๆ เลยค่ะ เฟื่องว่าจริงๆ มันมี Wave ในการเปลี่ยนโลกอยู่ประมาณหนึ่ง สมมติเมื่อก่อนใช่ไหมคะ สมมติเอามาตรฐานความรวยเป็นการวัดแล้วกัน การที่คนๆ หนึ่งจะรวยขึ้นมาได้ เมื่อก่อนมันคืออสังหาริมทรัพย์ มันคือที่ดิน ใครมีที่ดินเยอะ ขุนนางศักดินา ถ้าคุณขาย คุณยึดพื้นที่ได้เยอะคุณรวย พื้นที่หมดแล้ว เด็กยุคใหม่ทำยังไงดี มันมียุคของดอทคอม อินเทอร์เน็ต ที่เคยเปลี่ยนโลกไปแบบนั้นใช่ไหมคะ ในการสร้างพื้นที่ใหม่ๆ ในการทำให้ทุกคนเชื่อมต่อกันได้ พฤติกรรมเราเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว อินเทอร์เน็ตเหมือนเป็นสาธารณูปโภคที่สำคัญมากๆ สำหรับเฟื่อง Blockchain is a New Internet มันคืออะไรที่จะมา Disrupt ทุกๆ วงการ คือมันมีเทคโนโลยีอยู่แล้ว ขึ้นกับว่าเขาจะเอาไป Plugin ไปห่อหุ้มด้วยอะไร ใช้อะไรได้บ้าง เพราะว่าสุดท้ายมันจะเป็นการ Decentralized ทำลายอะไรก็ตามที่เคยต้องมีคนๆ เดียวในการกุมอำนาจไว้ค่ะ Blockchain แล้วมันจะทำให้รวดเร็ว สะดวก ปลอดภัย แล้วก็ไม่มีใครมีอำนาจเดี่ยวๆ อะไรประมาณนี้ค่ะ The People: ไม่ให้น้ำหนักเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin เฟื่องลดา: ไม่ค่ะ เฟื่องไม่สนับสนุนเลย เฟื่องก็ไม่เล่น เพราะว่าคือเอาเป็นว่าเรื่องนี้มันคือเรื่องของการเอาเทคโนโลยีเพื่อไปมุ่งหวังให้เกิดความรวย ซึ่งมันเป็นเรื่องของส่วนบุคคล ถ้าใครตั้งใจจะเสี่ยงพร้อมลุยเหมือนเล่นหุ้นงี้ เอาเลย แต่เฟื่องจะไม่ยุ่ง เฟื่องโฟกัสไปที่ตัวเทคโนโลยีที่มันเป็นแนวคิด เป็นไอเดีย ที่มันจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น แบบไปทำอย่างอื่นมากกว่าค่ะ The People: ก้าวต่อไปของเฟื่องลดาจะไปถึงจุดไหน เฟื่องลดา: จริงๆ เฟื่องไม่คิดว่าเฟื่องจะอยู่ตรงนี้ตลอดไปนะคะ คือเฟื่องเชื่อใน Vision ของบริษัทเฟื่อง คือ Everyone Can Be The Best Version Of Themselves คือ ทุกคนสามารถปลดปล่อยศักยภาพสูงสุดของตัวเองออกมาได้ในแบบของตัวเองนะคะ ไม่จำเป็นว่าเป็นผู้หญิงคุณจะต้องสวยที่สุด คุณจะต้องขาว คุณต้องอึ๋มอะไรก็แล้วแต่ (หัวเราะ) เฟื่องมองว่าแต่ละคนมีศักยภาพด้านอื่นที่มันเหมาะให้กับปลดล็อก ซึ่งเฟื่องเชื่อว่าเฟื่องก็เป็นแค่เหมือนหนูทดลองตัวหนึ่งในการที่เรามาลองทำตรงนี้ แล้วเรารู้สึกว่าบางทีเราเริ่มจากที่เราไม่ได้รู้อะไรเลย แต่ว่าเราแค่มีความเชื่อในเรื่องนี้อย่างแรงกล้า แล้วก็พยายาม เฟื่องก็ว่าจริงๆ มันก็สามารถกระจายสิ่งที่เราทำอย่างนี้ค่ะ ไปสู่คนอื่นๆ ที่อาจจะมีศักยภาพที่ซ่อนอยู่เหมือนกัน มีความมุ่งมั่นพยายามเหมือนกัน แล้วก็สิ่งที่บริษัทเฟื่องทั้งหมดทำก็คือ การมุ่งเพื่อจะให้คนที่มีศักยภาพเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงที่จะนำความรู้ ซึ่งพอเราเป็นออนไลน์ อย่างหนึ่งที่มันเจ๋งมากๆ เลยคือเราสามารถเข้าถึงกลุ่มคนเยอะมากๆ ได้ อย่างเคสมีสายหนึ่งโทรมาแบบ ขอโทษนะครับ ช่วยเลือกมือถือที่แบตอึดให้หน่อยได้ไหม ช่วงนี้มีอะไรดี เฟื่องก็แนะนำปกติไป แล้วเขาบอกว่าผมอ่ะเป็นทหารผ่านศึกที่ขาขาด แล้วตาบอด แล้วก็ได้ดูได้ฟังคลิปของเรา แล้วมันช่วยชีวิตเขาจริงๆ เขาติดตามตลอดทำต่อไปนะ คือแบบ...ว้าว มันมากกว่าที่เฟื่องคิดไว้ด้วยว่าเรามีประโยชน์ สิ่งที่เราทำอยู่มันส่งไปถึงคนจริงๆ เฟื่องก็เลยรู้สึกว่ามันต้องไปต่ออีก มันแค่นี้ไม่ได้ แล้วก็รู้สึกว่าพลังอำนาจของอินเทอร์เน็ตเนี่ย ถ้าเราทำสื่อดีๆ อินเทอร์เน็ตที่จะส่งคอนเทนต์ดีๆ ของเราไปยังกลุ่มคนที่ใช่ กลุ่มคนที่เขามีศักยภาพ กลุ่มคนที่เขาต้องการความช่วยเหลือ มันสามารถที่จะสร้างอะไรที่มันยิ่งใหญ่กว่านี้ได้ค่ะ นอกจากนี้ในเชิงเรื่องอื่นๆ เช่น คนมาดู Blockchain แล้วเข้าใจจากที่เขาไม่เคยเข้าใจได้ง่ายขนาดนี้มาก่อนเลย แต่ว่าเฟื่องอาจจะไม่ได้ไป Follow Up ต่อว่าแล้วคนที่เขามาพูดอย่างนั้น สุดท้ายแล้วเขาเอาอันนี้ไปสร้างอะไรหรือยัง หรืออะไรยังงี้ แต่เฟื่องว่ามันเป็นการกลัดกระดุมเม็ดแรกที่มันน่าจะอะไรบางอย่าง เฟื่องเชื่อว่าในการ Connecting the dots เราให้อะไรบางอย่างไป แล้วสุดท้ายเขายังไม่รู้จะเอาไปทำอะไร แต่วันหนึ่งอาจจะเป็นการจุดประกายให้เขาไปต่อได้ก็ได้ The People: วันหนึ่งทำอะไรบ้าง เฟื่องลดา: Routine คร่าวๆ เหรอคะ อืม...แล้วแต่ จริงๆ ก็ถ้าสมมติวันไหนไม่ได้มีอีเว้นต์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีอีเว้นต์ (หัวเราะ) สัปดาห์ละอย่างน้อยๆ ก็ 3-4 วัน ก็คือเข้าออฟฟิศก็ต้องถือ 2 หมวก หมวกหน้ากล้องกับหมวกบริหารน้องๆ ใช้ Vision proof งานอะไรยังงี้ค่ะ วางแผน Strategy บลาๆๆ แล้วก็มันก็ยังมีพวกกิจกรรมอื่นอีก ที่ผ่านมาเพิ่งไปเรียนหลักสูตรหนึ่งมา มันก็เหมือนกินไปเวลาไปเยอะด้วยเหมือนกัน ก็จะเป็นวนเวียนประมาณนี้ ซึ่งมันก็แค่นี้มันก็เต็มแล้วเพราะว่าตอนนี้เรามีพนักงานต้องดูแล 13 คน แล้วเราเป็น Asset เดียวของบริษัทตอนนี้ด้วย ก็เลยแปลว่าทำยังไงดีล่ะ เราคือ Cash Cow นะ จะทำยังไง ตอนนี้เป็น Asset แต่ว่าก็เลยคิดว่าเป็นหนูทดลองแล้วกัน เพราะว่าเฟื่องเอาตัวเองไป Asset เพื่อจะให้เราได้ฟอร์มบางอย่างให้ทีมได้ลับมีด เพื่อที่ปีหน้าน่าจะเห็นอะไรเปลี่ยนแปลงค่ะ ที่ไป Planning กันมาก็ตั้งใจประมาณหนึ่ง ไม่รู้ไปถึงหรือเปล่า ก็ฝากลองติดตามด้วย (หัวเราะ) The People: ตอนนี้ยังเล่นเกมอยู่ไหม เฟื่องลดา: เฮ้อ เลิกเล่นแล้วค่ะ (หัวเราะ) เคยกลับมาเล่นค่ะ แต่ก็รู้สึกว่าชีวิตพังค่ะ เพราะว่าจริงๆ เฟื่องเป็นคนทำอะไรแล้วเฟื่องสุด แล้วก็เคยกลับมาเล่น จริงๆ เกมที่เคยติดคือ Ragnarok เคยเล่นวันละ 10 ชั่วโมงจริงๆ สมัยเด็ก แล้วก็พอมันเป็น Ragnarok Mobile กลับมา ตอนแรกก็ตายแล้ว...เวอร์ชันนี้มันเปิดบอทได้ เล่นค่ะเล่น แต่ก็มันมีช่วงหนึ่งโชคดีพอดีคือจังหวะที่กำลังดำดิ่งไปแล้ว เราก็ไปต่างประเทศพอดีแล้วก็ไปยาวด้วย ไปสองประเทศติดกัน ก็เลยเน็ตหมด โอเค เป็นการ Cut Off ไป แต่ก็ยังรู้สึกว่าการเล่นเกมก็สนุกดีค่ะ (หัวเราะ) The People: คิดยังไงกับอนาคตวงการ E-sport เฟื่องลดา: โห วงการ E-sport เหรอคะ มีโอกาสมากนะคะ เพราะว่าจริงๆ แล้ว As a คนที่เคยเล่นเกมมาเอง จริงๆ เฟื่องก็มองว่ามันมีประโยชน์สำหรับการเล่นเกม ง่ายๆ เลยสมมติตั้งแต่ Ragnarok เฟื่องว่าเฟื่องฝึกภาษาอังกฤษจาก Ragnarok เหมือนเฟื่องจะรู้คำศัพท์อะไรที่เยอะแยะมากๆ แบบ Thief Jellopy อะไรแบบนี้ (หัวเราะ) แบบเยอะจากเกม อันนี้เป็นพาร์ทหนึ่ง แล้วมันก็ยังได้แบบสมมติคนที่เล่นเก่งๆ ซึ่งเฟื่องเป็นคนที่เล่นเกมไม่เก่ง แค่ชอบเล่น แต่ว่ามันจะมีการฝึกวางแผนใช่ไหมคะ ฝึก Strategy ฝึกการคิดกระบวนระบบในหัว หลายๆ คนที่เฟื่องรู้จัก ยิ่งเฉพาะสาย Development สายเทคโนโลยี ผู้บริหาร Startup หรืออะไรหลายๆ อย่างคือติดเกมเยอะมาก เฟื่องก็มองว่าการเล่นเกมมันคือการลับสมองบางอย่าง มันคือการที่ได้ฝึกปรือบางอย่างแล้วสนุกไปด้วย มันได้ไปควบคู่กัน โอเค คือมันมีข้อเสีย ถ้าสมมติคุณคุมเวลาตัวเองไม่ได้ คุณนอนดึก คุณอะไรแล้วชีวิตเละเทะ อันนี้คือเป็นเรื่องที่ต้องไปแก้ไขกันเอง แต่ว่ามันมีประโยชน์ในเชิงที่มันมากกว่าสิ่งที่คนยุคก่อนๆ มอง ซึ่งตอนนี้คนเริ่มยอมรับกันมากขึ้นว่าเฮ้ย คนเล่นเกมไปต่อได้ แล้วยิ่งตอนนี้ก็มีการแข่งขันแบบจริงจัง ออกมาประกาศใช่ไหมคะ เฟื่องว่ามันก็น่าจะไปต่อได้ ใช่ วงการเกมเงินเยอะมากค่ะ The People: ส่วนตัวคิดยังไงกับผู้ชายที่ไม่มีเก่งไอที เฟื่องลดา: ส่วนตัวเหรอคะ (หัวเราะ) จริงๆ เฟื่องว่ามันไม่เกี่ยวกับผู้ชายหรอกนะ จริงๆ มันก็คือเดี๋ยวนี้เฟื่องว่าใครก็ตามที่รู้เรื่องไอทีมันมีเสน่ห์นะ เพราะว่ามันคือเรื่องของอนาคต เวลาคุยกันแล้วมันจะมันดีค่ะ มันก็จะแบบว่าเฮ้ย แล้วอันนี้มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ อันนี้จะไปอันนี้ต่อเหรอ อะไรยังงี้ค่ะ มันจะรู้สึก สปาร์กกันขึ้นอะไรยังงี้ (หัวเราะ) หมายถึงว่ามันจะรู้สึกตื่นเต้นในการได้คุยกัน อะไรยังงี้ ช่วงหลังๆ พอเราเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ก็จะมีคนเข้ามาทักทายแบบ...คุณเฟื่องครับ รู้จักเราแล้วอะไรยังงี้ ก็ดีใจที่ได้เจอคนที่ชอบในสิ่งที่เรามีประโยชน์กับสังคมมากกว่าชอบในการที่จะจีบเรา As a ผู้หญิงคนหนึ่ง The People: ถ้าวันนั้นพี่หนุ่ยไม่ได้ชวนเข้าวงการ คิดว่าเฟื่องกำลังทำอะไรอยู่ เฟื่องลดา: พี่หนุ่ยไม่ชวนเข้าวงการเหรอคะ โห...ไม่รู้เลย คือจริงๆ ยอมรับเลยค่ะ คือเฟื่องเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตที่ผ่านมานะคะ ก่อนมาเริ่มเจอ Vision ที่จะทำบริษัทเนี่ย คือเฟื่องเป็นคนทำวันนี้ให้ดีที่สุด แบบ Clichés มากเลยนะคำพูดนี้ แต่ว่าเป็นคนที่มีโอกาสอะไรเข้ามาก็คือลองไว้ก่อน เพราะว่าค้นหาตัวเอง แล้วก็เชื่อว่าทุกๆ อย่างมันจะนำพาไปสู่สิ่งข้างหน้า ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร คือคิดไม่ออกจริงๆ เพราะว่าเราเป็นคนที่สมมติทุกคนถามว่ามีความฝันอะไร ไม่มีอ่ะ (หัวเราะ) เราไม่รู้เราอยากได้อะไร เราอยากเป็นอะไร เราอะไรกันแน่ยังงี้ แต่ว่าจริงๆ ชอบร้องเพลง เคยอยากเป็นนักร้อง Broadway ชอบ Disney อะไรยังงี้ค่ะ ก็เป็นอีกแนวหนึ่งเลย ไม่ได้คิดว่าจะเป็นอาชีพจริงจังอะไร แต่ว่าหลักๆ ก็คือคงอยากมีประโยชน์กับสังคมค่ะ แล้วก็ตอนนี้ก็เจอแล้ว