23 ก.ย. 2568 | 07:00 น.
“ความฝันที่บ้าคลั่งที่สุด
เป็นความฝันที่มีความหมายลึกซึ้งที่สุด”
เป็นเวลากว่า 86 ปีนับตั้งแต่การจากไปของบิดาผู้เป็นต้นธารของโลกจิตวิเคราะห์ ‘ซิกมุนด์ ฟรอยด์’ (Sigmund Freud) ในวันที่ 23 กันยายน 1939 ทว่ามาจนถึงปัจจุบันนี้แนวคิดของฟรอยด์ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นรากฐานสำคัญต่อโลกของจิตวิเคราะห์ แม้จะมีบางทฤษฎีที่ตั้งคำถามหรือปรับแก้ไปตามเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของยุคสมัย แต่ในขณะเดียวกันมันก็ได้ตอกย้ำคุณูปการทางความคิดและมโนทัศน์อันล้ำยุคของฟรอยด์ที่ยังคงทำหน้าที่เป็นกระดูกสันหลังที่สำคัญของการเข้าใจจิตใจมนุษย์ทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ลึกลงไปในความเป็นนักคิดที่ถวิลหาความลับของจิตใจมนุษย์ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ก็ได้ก้าวเดินผ่านชีวิตไม่ต่างกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ได้เผชิญหน้ากับความรัก ปัญหา ความผิดพลาด หรือแม้แต่ความเกลียดชัง ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้โลกจะจดจำเขาในฐานะนักคิดคนสำคัญผู้มอบมรดกทางความคิดที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์บ้างเพียงใด แต่ในห้วงเวลาของฟรอยด์นั้น เขาก็ต้องเผชิญหน้าคำวิพากษ์วิจารณ์หรือแม้แต่กาถูกตีตราว่าเป็น ‘จิตประสาท’ หรือนำเสนอแนวคิดที่น่ารังเกียจ (อาทิเช่นความรู้สึกทางเพศที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่ยังทารกหรือยังเด็ก)
ใครจะคิดว่าเพียงความคาดหวังที่อยากจะเฟ้นหาวิธีการรักษาผู้ป่วยของเขาที่ดีกว่าเดิม จะนำไปสู่สายธารความคิดแขนงใหม่ที่ยังคงเป็นประโยชน์และถูกกล่าวถึงมาจนปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีทางจิตวิเคราะห์ที่ให้ผู้ป่วยเอนหลังลงบนโซฟาและบรรยายความรู้สึกออกมา การพลั้งปากพูดบางคำที่เก็บซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ การเข้าใจอารมร์ความรู้สึกที่ถูกกดเอาไว้ หรือแม้การบรรยายว่าใครสักคนนั้น ‘อีโก้สูง’
เนื่องในโอกาสครบรอบการจากไปของเขา The People ขอหยิบยกแนวคิดจากงานเขียนที่น่าสนใจของเขามานำเสนออีกครั้ง เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าบางสำนึก ห้วงความคิด หรือความคิดบางประการที่ยังถูกหยิบมาใช้สอยโดยสาธารณชน อาจจะเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่มาจากชายคนหนึ่งนามว่า ‘ซิกมุนด์ ฟรอยด์’
หากย้อนไปที่การถือกำเนิดของจิตวิเคราะห์นั้น มันเริ่มต้นขึ้นจากความไม่พอใจของ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ต่อวิธีการรักษาทางจิตที่มีอยู่ในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นการสะกดจิตตามแบบของ ‘ฌ็อง-มาร์ติน ชาร์โกต์’ (Jean-Martin Charcot) ที่ปารีส หรือการใช้พลังการแนะนำตามแนวคิดของ ‘เบิร์นไฮม์’ (Bernheim) ที่น็องซี ทั้งสองวิธีสามารถช่วยผู้ป่วยฮิสทีเรียได้บ้าง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยข้อจำกัด บางคนไม่สามารถถูกสะกดจิตได้ ขณะที่ผลการรักษาก็มักคงอยู่ได้เพียงชั่วคราว ฟรอยด์จึงเริ่มสงสัยว่า มีหนทางอื่นอีกหรือไม่ที่อาจได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการสะกดจิตเพื่อเข้าถึงสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจมนุษย์
แรงบันดาลใจสำคัญมาจากการร่วมงานกับ ‘โจเซฟ บรอยเออร์’ (Josef Breuer) และกรณีศึกษาของ ‘แอนนา โอ.’ (Anna O.) ผู้ป่วยที่ตั้งชื่อการรักษาของตนว่า ‘การบำบัดด้วยการพูด’ การได้เล่าและถ่ายทอดความทรงจำที่เจ็บปวดออกมา กลายเป็นวิธีการที่ช่วยบรรเทาอาการได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคำสั่งหรือการสะกดจิต นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ฟรอยด์ได้เห็นพลังของ ‘การพูด’ ในการรักษา และทำให้เขาตั้งคำถามว่า ถ้าคนไข้สามารถเล่าได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องถูกชี้นำ จะเกิดอะไรขึ้น
คำตอบเริ่มชัดเจนขึ้นในกรณีของผู้ป่วย ‘เอลิซาเบธ ฟอน อาร์.’ (Elisabeth von R.) ในปี 1892 ที่ไม่สามารถถูกสะกดจิตได้ ฟรอยด์ตัดสินใจให้เธอเอนตัวลงและพูดทุกสิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจ โดยไม่ต้องคัดกรองหรือกลัวว่าจะฟังดูไร้สาระ เขาค้นพบว่าความคิดที่ดูเล็กน้อยที่สุดก็สามารถเชื่อมโยงไปสู่แกนกลางของปัญหาที่ถูกกดทับอยู่ในจิตใจได้อย่างน่าทึ่ง วิธีการนี้ทำให้ฟรอยด์เห็นว่าการเปิดเสรีทางความคิดโดยไม่สะกดจิตคือกุญแจสำคัญในการเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘จิตไร้สำนึก’ (Unconcious Mind)
เมื่อก้าวเข้าสู่ต้นศตวรรษที่ 20 ฟรอยด์ได้ทำให้การรักษาแบบ ‘Free Association’ หรือวิธีการเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้พูดและระบายออกอย่างเสรี กลายเป็นวิธีพื้นฐานของจิตวิเคราะห์ เขาเปรียบเทียบให้ผู้ป่วยทำเหมือนนักเดินทางที่นั่งริมหน้าต่างรถไฟและบรรยายทุกสิ่งที่ผ่านสายตาออกมาอย่างไม่เลือกเฟ้น ขณะที่หน้าที่ของนักวิเคราะห์คือการฟังอย่างเสรี และจับเส้นทางของความคิดที่เล็ดรอดจากการกดทับ นี่คือการพลิกบทบาทครั้งใหญ่จากแพทย์ผู้สั่งการไปสู่ผู้ฟัง ที่ทำหน้าที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ป่วยเผชิญหน้ากับสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวของเขาเอง
ในที่สุด การให้ผู้ป่วยพูดอย่างอิสระโดยไม่ตัดสิน ไม่เพียงเปลี่ยนวิธีการบำบัด แต่ยังสถาปนา ‘จิตวิเคราะห์’ ขึ้นมาในฐานะศาสตร์ใหม่ ฟรอยด์เชื่อว่าอาการผิดปกติ ความฝัน หรือแม้แต่คำพูดที่พลั้งปาก ล้วนสามารถถอดรหัสได้ผ่านเส้นทางแห่งการเชื่อมโยงของความคิด เพื่อเปิดพื้นที่ให้กระบวนการนี้เกิดขึ้น เขาจึงจัดวางเก้าอี้ของตัวเองไว้ด้านหลัง และให้ผู้ป่วยเอนกายบนโซฟาที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์อมตะของจิตวิเคราะห์หรือการบำบัดปัญหาทางจิตมาจนถึงทุกวันนี้
หากวิธีแบบ Free Association คือกุญแจที่ฟรอยด์ใช้ไขประตูสู่ความคิดอิสระของผู้ป่วย หนังสือ ‘The Interpretation of Dreams’ (1900) ก็เปรียบเสมือนแผนที่ฉบับใหญ่ที่เขาใช้เดินทางไปสำรวจพื้นที่ที่อยู่เบื้องหลังประตูดังกล่าว ฟรอยด์เชื่อว่าความฝันไม่ใช่ภาพลวงตาที่ไร้สาระอย่างที่นักวิทยาศาสตร์และแพทย์หลายคนในศตวรรษที่ 19 คิดกัน แต่คือร่องรอยของความปรารถนาและความขัดแย้งที่ถูกกดทับเอาไว้มหาสมุทรที่ซ่อนอยู่ในตัวของเราทุกคนอย่าง ‘จิตไร้สำนึก’
ในงานเขียนชิ้นนี้ ฟรอยด์นำเสนอแนวคิดสำคัญเรื่อง ‘เนื้อหาปรากฏ’ (Manifest Content) และ ‘เนื้อหาแฝง’ (Latent Content) ของความฝัน เนื้อหาปรากฏคือเรื่องราวแปลกประหลาดที่เราจำได้หลังตื่นนอน ขณะที่เนื้อหาแฝงคือความหมายที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ฟรอยด์อธิบายว่ากลไกของความฝันจาก ‘ตัวแต่งฝัน’ (Dream Work) ประกอบไปด้วย การย่นย่อ (Condensation) การแทนที่ (displacement) และการสร้างภาพเป็นเรื่องราวเกินจริง (Dramatisation) ทำหน้าที่บิดเบือนความปรารถนาลึก ๆ ให้ปรากฏออกมาในรูปแบบที่ยอมรับได้สำหรับจิตสำนึก (ซึ่งฟรอยด์มองว่ากลไกเหล่านี้ทำหน้าที่และมีกลไกคล้ายคลึงกับมุกตลก)
สิ่งที่ทำให้การวิเคราะห์ความฝันของฟรอยด์แตกต่างจาก ‘ตำราทำนายฝัน’ ดั้งเดิมก็คือ เขาไม่เชื่อในรหัสตายตัว แต่ใช้วิธี Free Association ของผู้ฝันเองเป็นเข็มทิศ เขาจะให้คนไข้เล่าออกมาโดยไม่เลือกเฟ้นว่าความฝันนั้นทำให้นึกถึงสิ่งใด ภาพที่ไร้เหตุผลในฝันจึงค่อย ๆ เชื่อมโยงไปยังประสบการณ์ ความทรงจำ หรือความรู้สึกที่ถูกกดทับไว้ การวิเคราะห์ความฝันจึงกลายเป็นการสืบสาวร่องรอยจากจิตสำนึกไปสู่จิตไร้สำนึกทีละขั้น
ใน The Interpretation of Dreams ฟรอยด์ยังกล้าใช้ตัวเองเป็นกรณีศึกษา เขานำความฝันของตนเอง ที่ภายหลังเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘การฉีดยาให้เอียร์มา’ (Irma’s Injection) เพื่อแสดงให้เห็นว่า แม้แต่ความฝันของเขาก็สะท้อนความรู้สึกผิดและความกังวลในการรักษาคนไข้ ซึ่งสะท้อนผ่านรายละเอียดที่ฟรอยด์เห็นในความฝัน จากการที่เอียร์มาติดเชื้อจากการที่หมออีกคนฉีดกรดไพรพิโอนิกด้วยหลอดฉีดยาที่ไม่สะอาด โดยสามารถตีความได้ว่าเป็นความรู้สึกของฟรอยด์ลึก ๆ ที่ปราถนาในฝันที่ไม่ต้องการมีความรับผิดชอบต่อการที่คนไข้ของเขาติดเชื้อ
การตีพิมพ์ The Interpretation of Dreams ไม่ได้สร้างเสียงฮือฮาในทันที หนังสือเล่มนี้ขายได้เพียงไม่กี่ร้อยเล่มในช่วงแรก แต่ในเวลาต่อมาก็ถูกยกย่องว่าเป็นผลงานเล่มสำคัญของฟรอยด์และโลกจิตวิเคราะห์ เพราะมันเปลี่ยนสถานะของความฝันจากการเป็นเพียงเรื่องเล่าก่อนนอนหรือพยากรณ์อนาคต ไปสู่การเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะพามนุษย์เข้าไปสำรวจเบื้องลึกในจิตใจของตัวเอง ดังที่ฟรอยด์เรียกความฝันว่า ‘ทางหลวงสู่จิตไร้สำนึก’ (The royal road to the unconscious)
ถัดจากการเปิดประตูด้วย Free Association และการใช้ความฝันเป็นทางหลวงสู่จิตไร้สำนึก ฟรอยด์ได้พัฒนาโมเดลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในการอธิบายโครงสร้างจิตใจมนุษย์ ซึ่งเป็นแนวคิดนี้ซึ่งถูกสรุปไว้อย่างชัดเจนในงาน ‘The Ego and the Id’ (1923) ได้ทำให้โลกเข้าใจว่าจิตใจไม่ได้เป็นเอกภาพที่ราบเรียบ หากแต่คือสนามประลองและการการถ่วงดุลอำนาจของ ‘อิด’ (Id), ‘อีโก้’ (Ego) และ ‘ซุปเปอร์อีโก้’ (Superego)
‘อิด’ (Id) คือแหล่งพลังงานดิบของจิตใจ เปรียบเหมือนโกดังเก็บสัญชาตญาณ ความต้องการ และแรงขับทางเพศที่ขับเคลื่อนมนุษย์ตั้งแต่เกิด มันทำงานตามหลักความพึงพอใจ (Pleasure Principle) ต้องการตอบสนองทันทีโดยไม่สนใจเหตุผลหรือความเหมาะสม ขณะที่ ‘อีโก้’ (Ego) คือส่วนที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างความปรารถนาดิบของอิดกับความจริงหรือกรอบเกณฑ์ภายนอก อีโก้ใช้หลักความเป็นจริง (Reality Principle) พยายามหาวิธีตอบสนองความต้องการโดยไม่ทำลายตัวเองหรือขัดต่อกฎเกณฑ์ของสังคม
เหนือขึ้นไปอีกชั้นคือ ‘ซุปเปอร์อีโก้’ (Superego) ตัวแทนของศีลธรรม กฎเกณฑ์ ที่ถูกหล่อหลอมจากครอบครัวหรือสังคมที่จะคอยบอกว่า อะไรผิด อะไรถูก อะไรควร หรือไม่ควร เมื่อใดที่อีโก้ตัดสินใจขัดต่อเสียงนี้ ซุปเปอร์อีโก้จะก่อให้เกิดความรู้สึกผิดและความละอาย ขณะเดียวกัน เมื่อมันทำงานร่วมกับอีโก้ เป็นแรงผลักดันให้นำพฤติกรรมไปในทิศทางที่สังคมยอมรับ
แต่แรงขับของอิดไม่ได้หายไปไหน หากถูกกดทับโดยอีโก้หรือซุปเปอร์อีโก้ มันจะซ่อนอยู่ใน ‘ความเก็บกด’ (Repression) กลไกที่ฟรอยด์ถือว่าสำคัญที่สุดในชีวิตจิตใจ การเก็บกดทำให้ความปรารถนาที่ไม่อาจยอมรับได้หายไปจากจิตสำนึก แต่ไม่ได้หายไปจริง ๆ มันยังคงมีพลัง ทำให้เกิดฝัน การพลั้งปาก (Freudian Slip) หรือแม้แต่ความผิดปกติทางจิตใจ การเก็บกดจึงเป็นเหมือนแรงดันใต้ดินที่ปะทุออกมาในรูปแบบต่าง ๆ และเป็นเหตุผลว่าทำไมการบำบัดแบบ Free Association และการวิเคราะห์ความฝันจึงจำเป็น เพราะมันคือช่องทางที่ปล่อยให้สิ่งที่ถูกกดทับเผยตัวออกมา
โมเดล อิด–อีโก้–ซุปเปอร์อีโก้ และแนวคิดเรื่องความเก็บกด ไม่เพียงอธิบายความผิดปกติทางจิต แต่ยังทำให้มนุษย์ในศตวรรษที่ 20 เริ่มหันกลับมามองตนเองในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยแรงขับที่ขัดแย้งกันตลอดเวลา ตั้งแต่ความต้องการดิบที่สุด ไปจนถึงความดีงามสูงสุดที่สังคมบังคับ ด้วยเหตุนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำว่า ‘อีโก้สูง’ หรือ ‘เป็นคนเก็บกด’ ก็ล้วนสืบรากมาจากแนวคิดของฟรอยด์
เมื่อมองย้อนกลับไป เราจะเห็นว่าสิ่งที่ฟรอยด์ได้มอบไว้ ไม่ว่าจะเป็นการให้ผู้ป่วยพูดอย่างอิสระผ่าน Free Association, งานเขียนว่าด้วยความฝันอย่าง The Interpretation of Dreams หรือโครงสร้าง อิด–อีโก้–ซุปเปอร์อีโก้ พร้อมกลไกความเก็บกด ก็ล้วนเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้โลกเริ่มมองจิตใจมนุษย์อย่างซับซ้อนและลึกซึ้งกว่าที่เคยเป็นมา
แม้จะมีทฤษฎีหลายข้อที่ถูกท้าทายหรือปรับแก้ตามกาลเวลา แต่มรดกทางความคิดของฟรอยด์ยังคงส่งผลต่อทั้งวงการจิตวิทยา วัฒนธรรม และภาษาที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการมองความฝันเป็นข้อความที่รอการตีความ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เราเข้าใจตัวเองและผู้อื่นในมิติที่ลึกขึ้น
เพราะเหตุนี้ ฟรอยด์จึงไม่ใช่เพียงนักจิตแพทย์หรือนักทฤษฎี หากแต่คือผู้ที่กล้าขุดค้นความมืดมิดในใจมนุษย์ และสร้างเครื่องมือเพื่ออธิบายมัน การครบรอบ 86 ปีแห่งการจากไปของเขาจึงไม่ใช่เพียงการระลึกถึงนักคิดคนหนึ่ง แต่คือการตอกย้ำว่าภาษาที่เรายังใช้ และคำถามที่เรายังตั้งเกี่ยวกับตัวเองทุกวันนี้ ล้วนมีรากมาจากชายที่ชื่อว่า ซิกมุนด์ ฟรอยด์
ภาพ : Paul De La Roussert
อ้างอิง
Freud, S. (1900). The interpretation of dreams. Macmillan.
Sheppard, R. (2021). Sigmund Freud: The man, the scientist, and the birth of psychoanalysis. Reaktion Books.