30 พ.ค. 2568 | 17:00 น.
“ข้าพเจ้ากำลังละทิ้งโลกที่สุกสว่าง ที่ซึ่งเคยมีตำแหน่งอันรุ่งโรจน์ แต่บัดนี้ ข้าพเจ้าเลือกจะลงไปสู่โลกที่ยิ่งใหญ่กว่า โลกของผู้ยากไร้และผู้ทุกข์ทน พร้อมกับพวกคุณทุกคน”
แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ ฟิโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย (Grand Duchess Elizabeth Feodorovna of Russia) เจ้าหญิงผู้มีใบหน้างดงามแต่ภายใต้ความงามนั้นกลับเต็มไปด้วยความชอกช้ำ จนเธอตัดสินใจละทิ้งวังหลวง ปลดเปลื้องความทุกข์ทนในใจทุกอย่างทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง และสวมใส่ชุดนักบุญเยียวยาความเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์ผ่านความเมตตา
ในเมืองดาร์มชตัดต์แห่งเฮสส์ เยอรมนี เจ้าหญิงเอลิซาเบธได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นพระธิดาองค์ที่ 2 ของแกรนด์ดยุคหลุยส์ที่ 4 และเจ้าหญิงอลิซ แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นพระธิดาของราชินีวิกตอเรียผู้ยิ่งใหญ่แห่งอังกฤษ น้องสาวของเอลิซาเบธคือผู้ที่ต่อมาจะกลายเป็นซารีน่า ‘อเล็กซานดรา ฟิโอโดรอฟนา’ แห่งรัสเซีย (Alexandra Feodorovna, Tsarina of Russia (1872-1918)
พวกเธอถูกเลี้ยงดูด้วยจิตวิญญาณอันเคร่งครัดของอังกฤษยุคเก่า ชีวิตถูกจัดตารางอย่างเข้มงวดตามความต้องการของมารดา แม้จะเกิดมาในครอบครัวที่พรั่งพร้อม แต่อาหารการกิน และเครื่องแต่งกายกลับเรียบง่ายไม่ต่างจากคนธรรมดา ลูกสาวคนโตต้องทำงานบ้าน จัดเตียง จัดห้อง และก่อไฟในเตาผิง
ผู้เป็นแม่คอยดูแลลูก ๆ แต่ละคนอยู่ไม่ห่าง และพยายามเลี้ยงดูโดยยึดมั่นตามหลักคำสอนของคริสเตียนอย่างเคร่งครัด รวมถึงทำให้ลูก ๆ เข้าอกเข้าใจเพื่อนมนุษย์ มอบความรักให้ผู้คนรอบกายอย่าให้ขาดโดยเฉพาะผู้ยากไร้ จากการเลี้ยงดูเช่นนี้เอง ทำให้เอลิซาเบธมีหัวใจอันบริสุทธิ์ไม่เคยคิดร้ายต่อใคร จนได้รับการกล่าวขนานนามว่าเธอนั้น นอกจากใบหน้าอันงดงามแล้ว จิตวิญญาณของเธอก็เปล่งประกายราวกับได้รับพรจากพระเจ้า
ในปี 1873 น้องชายเฟรดเดอริกวัย 3 ขวบ จากโลกนี้ไปอย่างกระทันหัน สร้างความโศกเศร้าให้แก่ครอบครัวเป็นอย่างมาก ภายในเวลาเพียงหนึ่งปี เมืองดาร์มชตัดต์เกิดโรคระบาดคอตีบ เด็กทุกคนล้มป่วยยกเว้นเอลิซาเบธ มารดาอยู่เฝ้าลูกที่ป่วยทั้งวันทั้งคืน มาเรียวัย 4 ขวบเสียชีวิตก่อน ตามด้วยแกรนด์ดัชเชสอลิซผู้เป็นแม่ เธอด่วนจากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 35 ปี
กล่าวได้ว่า วัยเด็กของเอลิซาเบธแทบพังทลาย จากความทรงจำแสนสุข วันหยุดพักผ่อนพ่อแม่มักพาไปเยี่ยมผู้ยากไร้ตามโรงพยาบาล และเธอก็จะหอบหิ้วเอาช่อดอกไม้มาปักไว้ในแจกันเยี่ยมผู้ป่วย แต่บัดนี้ ภาพทุกอย่างถูกฉีกทึ้งไม่มีชิ้นดี เอลิซาเบธตกอยู่ในความโศกเศร้า เธอเริ่มอธิษฐานต่อพระเจ้า พร่ำเรียกหาแต่พระคริสต์บ่อยขึ้นทุกวัน เธอพยายามทำทุกสิ่งเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของผู้เป็นพ่อ คอยทำหน้าที่ลูกสาวและทดแทนพี่น้องที่จากไปเพราะโรคระบาดให้มาุกที่สุด นั่นคือภาระอันหนักอึ้งที่เธอต้องแบกรับมาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่นั่นไม่ได้ทำลายหัวใจที่อยากจะมอบความรักให้กับเพื่อนมนุษย์ลงแต่อย่างใด
การเดินทางสู่ดินแดนหลังม่านเหล็ก
เมื่ออายุ 20 ปี เจ้าหญิงเอลิซาเบธหมั้นหมายกับแกรนด์ดยุคเซอร์เกย์ อเล็กซานโดรวิช (Grand Duke Sergei Alexandrovich) พระโอรสองค์ที่ 5 ของพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 และเป็นพระอนุชาของพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3
ผู้คนในยุโรปเล่าขานว่า "มีความงามเพียงสององค์ในยุโรป ทั้งคู่ชื่อเอลิซาเบธ คือเอลิซาเบธแห่งออสเตรีย ภรรยาของจักรพรรดิฟรานซ์-โจเซฟ และเอลิซาเบธ ฟิโอโดรอฟนา"
ในปี 1884 แกรนด์ดยุคคอนสแตนติน คอนสแตนติโนวิช โรมานอฟ (Grand Duke Constantine Constantinovich Romanov) ได้เขียนบทกวีมอบให้กับความงดงามไร้ที่ติของเจ้าหญิงต่างชาติคนนี้ว่า
เมื่อมองเธอ… ใจพลันสุขเกินบรรยาย
ความงามของเธอ—เกินถ้อยคำใดจะเอื้อนเอ่ย!
โอ้… ข้าย่อมแน่ใจว่าเบื้องหลังความงามนั้น
ต้องมีจิตใจที่งดงามยิ่งไม่แพ้กัน
ในดวงตาอันแสนบริสุทธิ์ของเธอนั้น
สะท้อนลึกถึงความถ่อมตนและเศร้าสร้อยอย่างเงียบงัน
เธอสงบเสงี่ยมดุจนางฟ้าในแดนสวรรค์
สุภาพอ่อนโยน—ในแบบฉบับสตรีผู้สูงศักดิ์
แม้โลกจะเต็มไปด้วยบาปและสิ่งอัปมงคล
ขอให้สิ่งใดอย่าได้พร่ามัวดวงจิตอันบริสุทธิ์ของเธอเลย
และให้เราทั้งหลายร่วมกันสรรเสริญพระผู้สร้าง
ผู้ทรงประทานความงามนี้แก่ดวงจิตอันศักดิ์สิทธิ์!
และแล้วพิธีแต่งงานก็จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ที่พระราชวังฤดูหนาวในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ด้วยความที่เธอเป็นเจ้าหญิงต่างถิ่น ทำให้แกรนด์ดัชเชสต้องศึกษาภาษารัสเซียอย่างหนัก ความปรารถนาเพียงอย่างเดียว คือ เธออยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมรัสเซีย เพื่อที่จะมอบใจทั้งดวงให้กับบ้านหลังใหม่แห่งนี้ได้อย่างไม่เคอะเขิน
ชีวิตส่วนใหญ่แกรนด์ดัชเชสอาศัยอยู่กับสามีที่คฤหาสน์อิลินสกอย ห่างจากมอสโกว 60 กิโลเมตร บนฝั่งแม่น้ำมอสโก เธอหลงรักมอสโกที่รายล้อมไปด้วยวิหารโบราณ อารามและวิถีชีวิตของผู้คนที่พร้อมมอบความรักให้กับปิตุภูมิแห่งนี้ด้วยใจจริง
เซอร์เกย์ อเล็กซานโดรวิชเป็นบุรุษผู้เคร่งศาสนา ดำรงชีวิตตามกฎของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ ถือศีลอดอย่างเคร่งครัด ไปโบสถ์บ่อยครั้งและเยี่ยมชมอาราม โดยมีแกรนด์ดัชเชสติดตามสามีไปทุกหนทุกแห่ง
"ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนได้พบบ้านที่แท้จริงในรัสเซียนี้ ที่นี่จิตวิญญาณของข้าพเจ้าได้พักผ่อน"
ทั้งคู่ไม่มีพระโอรสหรือพระธิดา แต่ความรักของพวกเขาลึกซึ้งและแน่นแฟ้น เอลิซาเบธอุทิศตนเพื่อสามี เธอเรียนรู้ธรรมเนียมรัสเซีย ดื่มด่ำในวัฒนธรรมออร์โธดอกซ์ จนถึงขนาดเขียนจดหมายถึงบิดา ประกาศถึงการตัดสินพระทัยจะเปลี่ยนศาสนา และส่งไปในวันที่ 1 มกราคม 1891 โดยในจดหมายมีความตอนหนึ่งว่า
“...ท่านพ่อที่รักยิ่ง ลูกมีบางสิ่งที่ต้องแจ้ง และขอวิงวอนให้พ่อประทานพรแก่ลูก
"เมื่อคราวที่ท่านพ่อมาเยือนครั้งล่าสุด คงจะสังเกตเห็นถึงความเคารพอย่างลึกซึ้งที่ลูกมีต่อศาสนาออร์โธดอกซ์ของรัสเซีย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ลูกใคร่ครวญ อ่านหนังสือ และอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อขอให้ทรงชี้ทางที่ถูกต้อง และในที่สุด ลูกก็ได้ตระหนักว่า เฉพาะในศาสนานี้เท่านั้น ที่ลูกพบศรัทธาอันมั่นคงและแท้จริงในพระเจ้า—ซึ่งมนุษย์พึงมี หากปรารถนาจะเป็นคริสเตียนที่ดี
“จะให้ลูกอยู่ในสภาพอย่างที่เป็นอยู่—เพียงเป็นสมาชิกของศาสนจักรใดศาสนจักรหนึ่งเพราะโลกภายนอก ขณะที่ภายในใจ ลูกกลับสวดภาวนาและเชื่อแบบเดียวกับสามี นั่นย่อมเป็นบาป
“เจ้าชายเซอร์เกย์เคยเมตตาเสมอมา มิได้เคยบีบบังคับให้ลูกเปลี่ยนศาสนาเลย ทรงให้ลูกตัดสินใจด้วยมโนธรรมและจิตสำนึกของตนเอง ท่านทรงรู้ดีว่านี่คือก้าวย่างสำคัญ—ที่ลูกต้องแน่ใจในใจตนเองอย่างแท้จริงก่อนจะทำเช่นนี้ ลูกคิดจะเปลี่ยนศาสนาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ แต่ก็รีรอ เพราะกลัวจะทำให้ท่านพ่อเสียใจ
“แต่ท่านพ่อจะไม่เข้าใจลูกหรือ? ท่านพ่อรู้จักลูกดี ลูกอยากให้ท่านพ่อเห็นว่า ลูกทำสิ่งนี้ด้วยความศรัทธาอันลึกซึ้ง เพราะลูกต้องการยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าอย่างบริสุทธิ์ใจและเชื่ออย่างแท้จริง
“มันคงง่ายกว่ามาก ถ้าลูกจะคงสถานะเดิม แต่แล้วลูกก็จะกลายเป็นคนหลอกลวง ปลอมแปลงตนเอง เป็นโปรเตสแตนต์แค่ในนาม ขณะที่จิตวิญญาณทั้งหมดอยู่กับออร์โธดอกซ์ ลูกคิดใคร่ครวญมานาน ตลอดหกปีที่พำนักในรัสเซีย และรู้ว่าลูกได้ 'พบศาสนา' ของลูกเองแล้ว
“และปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเสวยศีลศักดิ์สิทธิ์ในเทศกาลอีสเตอร์เคียงข้างสามี การตัดสินใจของลูกอาจดูเร่งรีบในสายตาผู้อื่น แต่แท้จริงแล้ว ลูกครุ่นคิดเรื่องนี้มานานจนไม่สามารถผลักวันต่อไปได้อีก มโนธรรมของลูกไม่อาจปล่อยให้รอช้า
“โปรดอภัยลูกเถิด หากคำตัดสินใจของลูกนี้ก่อให้ท่านพ่อเจ็บปวด แต่ศรัทธาในพระเจ้าและศาสนา ไม่ใช่หรือ ที่เป็นหนึ่งในสิ่งปลอบประโลมจิตใจมนุษย์ในโลกใบนี้?”
และในวันที่ 25 เมษายน 1888 เอลิซาเบธก็ได้เข้าพิธีเปลี่ยนศาสนาอย่างเป็นทางการ “บัดนี้ชนชาติของท่านคือชนชาติของข้าพเจ้า และพระเจ้าของท่านคือพระเจ้าของข้าพเจ้า!”
ในปี 1894 น้องสาวของเอลิซาเบธก้าวขึ้นมาเป็นซารีนาอเล็กซานดรา ฟิโอโดรอฟนา แน่นอนว่ารักครั้งนี้ทำให้หัวใจของพี่สาวพองโต ไม่ใช่แค่น้องสาวจะมาอยู่เคียงข้างในรัสเซียเท่านั้น แต่เธออยากให้น้องเห็นว่าประเทศแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่น่ารัก และบรรยากาศอันอบอุ่นไม่ต่างจากบ้านที่จากมา
"ข้าพเจ้าหวังว่าอาลิกซ์ (น้องสาว) จะเข้าใจและชื่นชมประชาชนรัสเซีย เรียนรู้ภาษารัสเซีย และเตรียมพร้อมสำหรับหน้าที่อันสูงส่งในการเป็นซารีนาแห่งรัสเซีย"
ในปี 1891 พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 แต่งตั้งแกรนด์ดยุคเซอร์เกย์ อเล็กซานโดรวิชเป็นผู้ว่าราชการเมืองมอสโก ภรรยาของผู้ว่าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่มากมาย ทั้งคอยต้อนรับ จัดงานเลี้ยงรื่นรมย์ เลี้ยงสังสรรค์กันไม่เว้นวัน หน้าที่ของเธอมีเพียงมอบรอยยิ้ม และทำให้บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความสนุก
หลังจากย้ายไปมอสโกเอลิซาเบธสูญเสียคนที่ใกล้ชิดหลายคน เจ้าหญิงอเล็กซานดรา (ภรรยาของปาเวล อเล็กซานโดรวิช) และบิดาของเธอ แม้จะทุกข์ใจเพียงใด แต่การอยู่ในรัสเซียทำให้ความเจ็บปวดของเธอค่อย ๆ บรรเทาลง
เอลิซาเบธทำลายความโศกเศร้าด้วยการออกไปเยี่ยมผู้คนตามโรงพยาบาลสำหรับคนยากจน สถาบันและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ทุกหนทุกแห่งเธอพยายามบรรเทาความทุกข์ของผู้คน นำอาหาร เสื้อผ้า เงิน พยายามปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของผู้ด้อยโอกาส
"ข้าพเจ้าเห็นความทุกข์ยากมากมาย แต่ข้าพเจ้าก็เห็นศรัทธาอันยิ่งใหญ่... พวกเขาอธิษฐานและร้องไห้ ขอบคุณพระเจ้า หลายคนได้รับการรักษาให้หาย"
เมื่อสงครามระหว่างรัสเซียและญี่ปุ่น (ค.ศ. 1904 1905) เริ่มขึ้น เอลิซาเบธเริ่มจัดตั้งความช่วยเหลือสำหรับแนวหน้าทันที ห้องโถงใหญ่และห้องเล็กห้องน้อยต่าง ๆ ของพระราชวังเครมลิน ยกเว้นห้องบัลลังก์ ถูกใช้เป็นที่ทำงานของผู้หญิงหลายพันคนที่เย็บเสื้อผ้าและทำของใช้อื่น ๆ สำหรับแนวหน้า
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1905 เซอร์เกย์ อเล็กซานโดรวิชถูกสังหารด้วยระเบิดโดยผู้ก่อการร้ายอีวาน คาลิอาเยฟ จากพรรคปฏิวัติสังคมนิยม (Socialist Revolutionary Party)
ก่อนจะเกิดเหตุการณ์โหดร้ายเช่นนี้ขึ้น เอลิซาเบธได้รับจดหมายนิรนามเตือนไม่ให้ติดตามสามี เว้นแต่เธอต้องการร่วมชะตากรรมกับเขา แต่เธอกลับพยายามไม่ทิ้งสามีให้อยู่คนเดียว และติดตามเขาไปทุกที่ที่เป็นไปได้
เมื่อเอลิซาเบธมาถึงสถานที่เกิดเหตุการระเบิด ผู้คนพาพยายามกันไม่ให้เธอเข้าใกล้ร่างของสามี แต่เธอกลับฝ่าฝูงชนเข้าไป และค่อย ๆ ใช้มือเก็บชิ้นส่วนร่างกายที่ถูกฉีกขาดจากการระเบิดและวางลงบนเปล
หลังจากพิธีศพที่อารามชูดอฟ เธอกลับไปที่พระราชวัง เปลี่ยนเป็นชุดไว้ทุกข์สีดำ และนั่งลงเขียนโทรเลขถึงอเล็กซานดราขอไม่ให้เข้าร่วมงานฝังศพ เพราะผู้ก่อการร้ายอาจใช้โอกาสนั้นลอบสังหารคู่จักรพรรดิ
ขณะเขียนโทรเลข เธอยังหาเวลาสอบถามเกี่ยวกับอาการของคนขับรถม้าของสามีที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักไม่ต่างกัน เมื่อทราบว่าไม่มีความหวังที่เขาจะรอด เธอเปลี่ยนจากชุดไว้ทุกข์เป็นชุดสีน้ำเงินที่เธอสวมในวันนั้นและออกไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมเขาทันที
ที่นั่น เธอโน้มตัวลงไปหาชายที่กำลังจะหมดลม พยายามฝืนยิ้ม และบอกกับเขาว่า "เขาส่งมาเยี่ยมท่าน" คนขับรถม้ารู้สึกโล่งใจ เพราะคิดว่าเซอร์เกย์ อเล็กซานโดรวิชยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้จากไปเพราะการขับรถม้าของเขา คืนนั้นเขาจึงจากไปอย่างสงบ
สามวันต่อมา เธอไปเยี่ยมคาลิอาเยฟ (Kaliaev) คนที่สังหารสามีซึ่งตอนนี้ถูกจับกุมตัวอยู่ในคุก เขาบอกว่าไม่ต้องการสังหารเธอ เอลิซาเบธได้แต่ถามกลับไปว่า "คุณไม่คิดหรือว่าคุณฆ่าเราทั้งคู่แล้ว?"
แต่สุดท้าย เธอก็ได้ให้อภัยคาลิอาเยฟและขอให้เขาสำนึกผิด หลังจากนั้นเธอได้ร้องขอต่อพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เพื่อให้อภัยแก่คาลิอาเยฟ แต่พระองค์ได้ปฏิเสธ
พระเจ้าทรงประทานความสามารถในการมีปัญญาทางจิตวิญญาณและการทำนายแก่เธอ บาทหลวงมิโทรฟาน เซเรเบรียนสกี (Father Mitrophan Serebrianski) เล่าว่า ไม่นานก่อนการปฏิวัติ เขาฝันชัดเจนและเห็นได้ชัดว่าเป็นการทำนาย แต่เขาไม่รู้จะตีความอย่างไร มีสี่ฉากปรากฏต่อหน้าเขาเป็นลำดับและมีสีสัน ฝันนั้นทำให้บาทหลวงมิโทรฟานวิตกกังวล และเขาเล่าให้แกรนด์ดัชเชสฟังในตอนเช้าก่อนพิธีมิสซาจะเริ่ม
เอลิซาเบธกล่าวว่าฝันนั้นชัดเจนสำหรับเธอ ฉากแรกหมายความว่าเร็ว ๆ นี้จะมีการปฏิวัติในรัสเซีย และคริสตจักรรัสเซียจะถูกลงโทษสำหรับบาปและความเสื่อมศรัทธา ฉากที่สองหมายความว่าน้องสาวของเธอและครอบครัวทั้งหมดจะจากไป
ในห้วงเวลาที่น่าเป็นห่วงเช่นนี้ น้องสาวของเธอ ซารีนาผู้ยิ่งใหญ่กลับตกอยู่ในภวังค์ เอลิซาเบธมองว่ารัสปูตินเป็นบาทหลวงที่ไม่น่าไว้วางใจ เธอวิงวอนน้องสาวไม่ให้ไว้วางใจเขาและไม่ให้พึ่งพาเขา เธอพูดเรื่องนี้กับพระเจ้าซาร์ด้วย แต่คำแนะนำของเธอกลับถูกเพิกเฉย
การสนทนาเกี่ยวกับรัสปูตินระหว่างซารีนาและแกรนด์ดัชเชสจบลงด้วยความเศร้า ซารีนาไม่ยอมฟัง เธอกล่าวว่า "เรารู้ว่านักบุญบางองค์ก็เคยถูกใส่ร้ายมาก่อนเหมือนกัน"
พวกเขาแยกจากกันอย่างเย็นชา นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้พบน้องสาวผู้เป็นซารีนา
ตั้งแต่การลอบสังหารสามี เอลิซาเบธมักสวมชุดไว้ทุกข์ ถืออดอย่างเข้มงวดและสวดอธิษฐานอยู่เสมอ เธอนำเครื่องเพชรพลอยทั้งหมดส่วนหนึ่งให้คลังของรัฐ บางส่วนให้ญาติ และส่วนที่เหลือใช้สร้างอาราม เธอซื้อที่ดินขนาดใหญ่บนถนนออร์ดินคาในมอสโก เพื่อสร้างอาราม
ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1909 เอลิซาเบธถอดชุดไว้ทุกข์ และสวมเสื้อคลุมแม่ชี ทำหน้าที่พยาบาล ดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลของคนยากไร้ หลังจากรวบรวมแม่ชีสิบเจ็ดคน พร้อมบอกถึงความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวว่าเธอกำลังจะละทิ้งโลกใบเก่า เพื่อก้าวสู่โลกแห่งศาสนาอย่างเต็มตัว
"ข้าพเจ้ากำลังละทิ้งโลกที่สุกสว่าง ที่ซึ่งเคยมีตำแหน่งอันรุ่งโรจน์ แต่บัดนี้ ข้าพเจ้าเลือกจะลงไปสู่โลกที่ยิ่งใหญ่กว่า โลกของผู้ยากไร้และผู้ทุกข์ทน พร้อมกับพวกคุณทุกคน"
ชาวมอสโกเรียกเธอว่า "มาตุชคาผู้ยิ่งใหญ่" (Great Matushka) พวกเขาเล่าว่าพลังการรักษาบางอย่างเล็ดลอดออกมาจากแกรนด์ดัชเชส ซึ่งช่วยให้พวกเขาเอาชนะความเจ็บปวดและยินยอมรับการผ่าตัดที่เสี่ยงอันตราย
"ข้าพเจ้าเรียนรู้ทุกสิ่งที่รู้จากบ้าน ขณะนี้ข้าพเจ้านำสิ่งเหล่านั้นมาใช้เพื่อรับใช้พระเจ้าและประชาชน"
เมื่อการปฏิวัติโหมกระหน่ำ แกรนด์ดัชเชสปฏิเสธที่จะหลบหนีจากรัสเซีย เมื่อรัฐมนตรีสวีเดนมาเสนอความช่วยเหลือจากไกเซอร์วิลเฮล์ม แต่เธอกลับปฏิเสธ เพราะหากต้องทิ้งบ้านหลังนี้ไปคงทำให้ใจของเธอรวดร้าวไม่น้อย
"ข้าพเจ้าตัดสินใจแล้วที่จะแบ่งปันชะตากรรมของประเทศที่กลายเป็นปิตุภูมิใหม่ของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าไม่สามารถทิ้งแม่ชีไว้ในยามยากลำบากเช่นนี้"
ในเดือนเมษายน 1918 ในวันที่สามหลังอีสเตอร์ เธอถูกจับกุม ก่อนขึ้นรถ เธอทำเครื่องหมายกางเขนเหนือทุกคน พร้อมเขียนจดหมายฉบับสุดท้าย ระบุว่า
"จงอย่าเศร้าใจและอย่าละทิ้งความตั้งใจดีของพวกเจ้า แล้วพระเจ้าผู้ทำให้เราต้องแยกจากกันชั่วขณะ จะทำให้จิตวิญญาณของพวกเจ้าเข้มแข็ง จงอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าผู้เป็นบาป เพื่อข้าพเจ้าจะได้กลับมาหาลูก ๆ ที่รักและปรับปรุงตนเองเพื่อพวกเจ้า"
ในช่วงดึกของวันที่ 5 กรกฎาคม (หรือวันที่ 18 กรกฎาคม นับตามปฏิทินรัสเซียภายหลังการปฏิวัติรัสเซีย 1917) ในวันที่พบอัฐิของเซนต์เซอร์เกย์ ราโดเนจสกี แกรนด์ดัชเชสและสมาชิกครอบครัวถูกโยนร่างลงในเหมืองแร่อัลาปาเยฟสค์ (Alapayevsk)
เมื่อผู้ประหารชีวิตผลักเอลิซาเบธลงไปในหลุมลึก เธออธิษฐานถึงคนที่กำลังจะปลิดชีวิตเธอว่า
"พระบิดา ขอทรงให้อภัยเขา เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร"
ชาวนาคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์กล่าวว่าได้ยินเสียงบทเพลงทูตสวรรค์เครูบิม (Cherubic Hymn) ดังขึ้นจากส่วนลึกของเหมือง ร้องโดยมรณสักขีก่อนจากไปสู่นิรันดร์
เธอไม่ได้ตกลงไปถึงก้นเหมือง แต่ตกค้างที่ขอบหินที่ความลึก 15 เมตร ข้างเธอคือศพของอิโออันน์ คอนสแตนตินโนวิช ที่มีผ้าพันแผลที่หัว แม้จะได้รับบาดเจ็บหลายจุด กระดูกหักหลายแห่ง เธอยังพยายามบรรเทาทุกข์ของพี่น้องในพระคริสต์แม้ในที่นั่น นิ้วมือขวาของเธอพับเป็นเครื่องหมายกางเขน
ว่ากันว่าเมื่อเปิดหีบศพของแกรนด์ดัชเชส ห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวาน อัครบิชอปแอนโธนี่กล่าวว่า "ดูเหมือนกลิ่นของน้ำผึ้งและดอกมะลิกระจายไปในอากาศ" อัฐิของมรณสักขีปรากฏเป็นสภาพที่ไม่ผุพัง
ในปี 1992 สภาเบื้องบของคริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซียได้สถาปนาเอลิซาเบธ ประกาศให้วันที่ 18 กรกฎาคม เป็นวันแห่งการเคารพบูชา
ปัจจุบัน อัฐิของเธอหลับใหลอยู่ในโบสถ์เซนต์แมรี แมกดาลีน บนยอดเขาแห่งกอซนส์ ที่ซึ่งพระเยซูผู้คืนพระชนม์ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์อย่างรุ่งโรจน์ เธอยังคงเป็นแสงสว่างแห่งความหวังสำหรับผู้ที่แสวงหาการให้อภัยและความเมตตา เป็นพยานถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขและการเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
อ้างอิง
Holy Martyr of Russia, Grand Princess Elizaveta Fyodorovna written by Liubov Miller in Australia. Translated from Russian by Irina Nabatova-Barrett
Cвятая преподобномученица Великая Княгиня Елисавета Феодоровн. https://ekaterinburg-eparhia.ru/saints/elisaveta-feodorovna/
2555 дней из жизни великой княгини Елизаветы Федоровны (1910-1917 гг.).
Яркая судьба и страшная смерть великой княгини Елизавет. https://ria.ru/20241101/knyaginya-1981128846.html