การสร้างตัวตน ‘ซานตา คลอส’ และซานตาในตำนานที่เป็นจริง ประวัติฉบับมหัศจรรย์ของคริสต์มาส

การสร้างตัวตน ‘ซานตา คลอส’ และซานตาในตำนานที่เป็นจริง ประวัติฉบับมหัศจรรย์ของคริสต์มาส

ภาพ ‘ซานตา คลอส’ (Santa Claus) แบบคุณลุงใจดี เคราครึ้ม ในชุดสีแดง มาพร้อมเทศกาล ‘คริสต์มาส’ เป็นภาพจำของคนทั่วโลกไปแล้ว ก่อนที่ ‘ซานตา’ ถูกสร้างตัวตนมาเป็นสภาพนี้ เรื่องราวผ่านพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจหลายแง่มุม

  • ‘ซานตา คลอส’ ในสภาพคุณลุงใจดี สวมชุดแดง และกวางเรนเดียร์ เป็นตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นผ่านเส้นทางทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน และมีปัจจัยเกี่ยวข้องหลากหลายมิติ
  • แม้ ซานตา คลอส จะไม่มีตัวตนจริงทางประวัติศาสตร์ แต่วีรบุรุษทางวัฒนธรรมที่มีรายละเอียดใกล้เคียงกัน และมีตัวตนจริงคือ เซนต์นิโคลัส
  • ส่วน ซานตา คลอส ในภาพลักษณ์แบบปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา

เทศกาลงานวันคริสต์มาส 25 ธันวาคมนั้นเป็นที่รับรู้กันว่าเป็นวันสำคัญเนื่องในวันประสูติของพระเยซู แต่ภาพจำของผู้คนเกี่ยวกับงานเทศกาลวันดังกล่าวนี้ กลับเป็นชายชราท่าทางใจดีในชุดแต่งกายสีแดง หนวดเคราขาว ผู้มาพร้อมกับกวางเรนเดียร์ และของขวัญที่จะมามอบให้แก่เด็ก ๆ เขาคือ ‘คุณลุงซานต้า’ (Uncle Santa) หรือ ‘ซานตา คลอส’ (Santa Claus)

คุณลุงซานต้าผู้เป็นขวัญใจของเหล่าเด็ก ๆ ทั่วโลก ผู้มีเรื่องเล่าขานว่า เขามีบ้านอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีภรรยาที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนเหรัญญิกคอยรับจดหมายจากเด็ก ๆ ทั่วโลก ข้างบ้านคุณลุงเป็นที่ตั้งของโรงงานใหญ่สำหรับผลิตของเล่นที่จะเอาไปแจกเด็ก ๆ โดยมีเอลฟ์เป็นทั้งเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงานที่จะเป็นช่างฝีมือคอยทำของเล่นให้ มีพาหนะที่จะเดินทางไปได้ทั่วโลกเป็นรถลากเทียมกวางเรนเดียร์ที่เหาะได้ เดิมมีกวางอยู่ 8 ตัว แต่เพิ่มมาอีก 1 ตัวชื่อ ‘รูดอล์ฟ’ (Rudolf)

รูดอล์ฟนั้นมีตำนานเล่าแยกออกมาต่างหากว่า เป็นกวางน้อยพิเศษ เกิดมามีจมูกสีแดงแถมยังส่องสว่าง จึงโดนเหล่ากวางด้วยกันบุลลี่ว่าเป็นตัวประหลาด กระทั่งถูกขับออกจากฝูง แต่เมื่อมาพบกับ ‘ซานตา คลอส’ เขากลับเห็นเป็นกวางพิเศษมีคุณสมบัติเลอเลิศที่เหมาะกับงานของเขา เพราะจมูกสีแดงส่องสว่างนั้นทำให้เป็นจุดสนใจเปรียบเหมือนไฟหน้า รูดอล์ฟจึงได้รับเกียรติให้เป็นกวางลากอยู่หน้าสุดของรถ

เมื่อไปถึงบ้านของเด็กที่เป็นเป้าหมาย ซานตา คลอส จะปีนเข้าไปในปล่องไฟแล้วหย่อนของขวัญให้เด็กไว้ในถุงที่แขวนอยู่ โดยมีการจำแนกประเภทเด็กออกเป็น ‘ดี’ กับ ‘ดื้อ’ เด็กดีจะได้รับของขวัญ ส่วนเด็กดื้อจะได้รับ ‘ถ่าน’ แน่นอนว่าเด็กย่อมอยากได้ของขวัญ ไม่อยากได้ถ่าน จึงเป็นที่มาของสำนวนภาษิตที่ว่า ‘เด็กไม่เอาถ่าน’ เมื่อมีเด็กตื่นมาพบ ลุงแกก็จะหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “โฮ้ะๆๆ” แล้วพูดว่า “เมอร์รี่คริสต์มาส” พร้อมกับยื่นของขวัญให้เด็กน้อยคนนั้น 

จากที่เป็นขวัญใจเด็ก ๆ ‘ซานตา คลอส’ ย่อมเป็นบุคคลสำคัญ ไม่ว่าเขาจะมีตัวตนจริงหรือไม่ ในหลายวัฒนธรรมทั่วโลกจะมี ‘วีรบุรุษทางวัฒนธรรม’ (Cultural hero) ที่ทำหน้าที่สร้างความทรงจำที่ดีในวัยเยาว์ให้แก่บุคคล เพราะไม่ใช่เพิ่งหลังจากมีวิชาจิตวิทยา ในหลายวัฒนธรรมก็มีปัญญาชนหรือผู้รู้ว่า ความทรงจำที่ดีในวัยเด็กนั้นส่งผลต่อการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์อย่างไร แต่ทั้งนี้วีรบุรุษทางวัฒนธรรมที่ว่านั้น โดยมากไม่มีเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ที่แสดงให้เห็นความสำคัญและบทบาทที่มากล้นไปกว่าองค์ประธานของพระศาสดา กรณีซานตา คลอส มิได้เป็นเช่นนั้น    

คำถามก็คือว่า คุณลุงท่านนี้คือใคร? ทำไมถึงมา ‘แย่งซีน’ พระศาสดาของชาวคริสต์ไปได้  โดยที่ชาวคริสต์ไม่เพียงไม่ต่อต้าน กลับยอมรับนับถือประหนึ่งเป็นเจ้าของวันเกิดของพระศาสดาตัวจริงไปซะอย่างนั้น? หรือนัยหนึ่งเพราะเหตุใด ทำไมชาวคริสต์จึงต้องสร้าง ‘ซานตา คลอส’ ขึ้นมาเพิ่ม ลำพังพระเยซูที่มีอยู่เดิมนั้นไม่เพียงพออย่างไร?

พระเยซูไม่ได้ประสูติวันคริสต์มาส 

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า มีงานประวัติศาสตร์ศาสนาคริสต์มากมายทั้งเขียนโดยบาทหลวงและคนธรรมดาสามัญชนที่เป็นนักประวัติศาสตร์ทั้งมือสมัครเล่นและมือโปร ต่างก็ทราบกันดีว่า พระเยซูไม่ได้เกิดวันที่ 25 ธันวาคม ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องเซนซิทีฟหรือลึกลับซับซ้อนอะไรเลย 

(คลิกอ่านเพิ่มเติมเรื่อง พระเยซูไม่ได้เกิดวันที่ 25 ธันวาคม)

พระเยซูเกิดวันไหน ณ ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้แน่ เพราะแม้แต่หลักฐานสำคัญอย่างคัมภีร์ไบเบิล ก็ไม่ได้ระบุเอาไว้ มีเพียงร่องรอยจากฉากบรรยายในพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงการที่คนเลี้ยงแกะ ได้ไล่ต้อนแกะออกไปจากคอก โจเซฟจึงพาภรรยาคือนางมารี ซึ่งเป็นพระมารดา ไปคลอดบุตรในที่แห่งนั้น

ตรงนี้ทำให้ทราบว่าเวลานั้นเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ อยู่ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ไม่ใช่ฤดูหนาวอย่างในเดือนธันวาคม เพราะไม่อย่างนั้นคนเลี้ยงแกะจะต้องให้แกะอยู่ในคอกเพื่อความอบอุ่น จะไม่ต้อนแกะออกไปภายนอกให้พวกมันเผชิญความหนาว 

สรุป พระคัมภีร์ไบเบิลนั่นแหละคือหลักฐานว่า พระเยซูไม่ได้เกิดวันที่ 25 ธันวาคม อันที่จริงก็เป็นเรื่องปกติ เมื่อพิจารณาว่า ศาสนาเกิดขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์แรกสุดอยู่ที่การจัดการความตายของมนุษย์ วันตายจึงเป็นวันสำคัญ ไม่ใช่วันเกิด ยิ่งกับศาสนาที่มีคำอธิบายว่าพระศาสดาเป็นบุตรของพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาด้วยแล้ว วันเกิดยิ่งไม่สำคัญให้ต้องจดจำอะไรมากมาย เรื่องที่มีเทวทูตหรือเทพพยากรณ์มาพบในวันประสูติก็เป็นเรื่องตำนานแต่งเสริมเติมความกันไปภายหลัง      

ทว่าวันที่ 25 ธันวาคม กลายมาเป็นวันเกิดของพระเยซูได้ไงนั้น ต้องเท้าความก่อนว่า อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่า ศาสนาคริสต์มีต้นกำเนิดอยู่ในดินแดนตะวันออกกลาง แต่แพร่เข้ามากลายเป็นศาสนาหลักของชาวยุโรป คริสตจักรที่มีศูนย์กลางอยู่ที่วาติกันเป็นองค์กรหลักอย่างเป็นทางการของชาวคริสต์และเป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดในวงการคริสต์ 

ยุโรปก่อนที่คริสตศาสนาจะแพร่เข้ามาครอบงำนั้น ในปลายฤดูหนาวอย่างเดือนธันวาคมมีงานเทศกาลฉลองวันสำคัญอยู่ก่อนแล้ว เป็นวันสำคัญเพื่อบูชาเทพเจ้าที่ชาวคริสต์เรียกว่า ‘พวกนอกศาสนา’ (Pagans) บริเวณแหลมอิตาลีอันเป็นที่ตั้งของกรุงโรมนั้นไม่เท่าไหร่ เพราะเป็นบริเวณที่อากาศอบอุ่น ไม่หนาวจัดเหมือนยุโรปตอนกลางและตอนเหนือ เดิมจึงไม่มีงานเทศกาลฉลองก่อนสิ้นฤดูหนาว ในช่วงระยะแรกเริ่มศาสนาคริสต์ในยุโรปมีเพียงวันอีสเตอร์เป็นวันหยุด ไม่มีการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู เพราะอย่างที่บอกข้างต้นคือ พระเยซูจะเกิดวันไหนไม่สำคัญเท่าวันเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์ของพระองค์   

แต่เมื่อคริสต์ศาสนาแพร่ขึ้นไปตอนเหนือตามการขยายอำนาจของจักรวรรดิโรมัน งานวันสำคัญของคนนอกศาสนาทางตอนเหนือก็เข้ามามีอิทธิพลต่อวงการคริสต์จักรมากขึ้น กองทัพโรมันได้จับเอาพวกนอกศาสนาทางเหนือมาเป็นเชลยศึกสำหรับเป็นแรงงานรับใช้พวกตนได้เป็นอันมาก ทาสเชลยเหล่านี้มีประเพณีวันหยุดเฉลิมฉลองในช่วงปลายฤดูหนาว จะไม่ให้พวกนี้ได้หยุดงานพักผ่อนบ้างตามประเพณีของพวกเขาก็ดูจะเป็นการโหดร้ายเกินไป คุมเข้มมากจนไม่มีเวลาได้หยุดพักก็รังแต่จะทำให้พวกทาสคิดหาทางหลบหนีกับไปบ้านเมืองของตนมากขึ้นเท่านั้น จึงเกิดแนวคิดที่จะอนุญาตให้มีวันหยุดเพิ่มขึ้น 

แต่ทั้งนี้ วันหยุดนั้นจะต้องไม่ใช่ด้วยเหตุผลดั้งเดิมของพวกนอกศาสนา เป็นเหตุผลเนื่องในศาสนาคริสต์ ไหน ๆ พระเยซูยังไม่มีวันเกิด คริสตจักรก็เลยจัดให้ ในศตวรรษที่ 4 พระสันตะปาปาจูเลียสที่ 1 ก็ได้ทรงประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็น ‘วันฉลองวันประสูติของพระเยซู’ (Feast of the Nativity)

ตรงนี้มีนัยสำคัญนะครับ คือแรกเริ่มเดิมทีพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 1 ได้ทรงประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันสำหรับฉลองให้กับอีกวันซึ่งคือวันไหนก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าเป็นวันในฤดูใบไม้ผลิ ยังไม่ถือเป็นเด็ดขาดว่าวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันประสูติของพระเยซู แต่เมื่อถือกันว่าเป็นวันฉลองการประสูติของพระเยซู ภายหลังผู้คนก็เข้าใจกันไปว่าเป็นวันประสูติของพระเยซู 

เหตุที่พระสันตะปาปาจูเลียสที่ 1 กับทีมงานคริสตจักรสมัยนั้นเลือกเอาวันสำคัญตามประเพณีของคนนอกศาสนามาเป็นวันสำคัญของชาวคริสต์ก็เพื่อให้คนนอกศาสนาที่มีเป็นจำนวนมากเวลานั้นได้เกิดความรู้สึกยอมรับนับถือพระเยซูประดุจดังที่เคยนับถือเทพเจ้าเก่าแก่ของพวกตน 

เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายขึ้น กุศโลบายนี้ของคริสตจักรเมื่อศตวรรษที่ 4 ก็เหมือนกุศโลบายของพุทธจักรในการประกาศให้มีวันสำคัญทางพุทธศาสนาอย่างวันมาฆบูชา เนื่องจากเดิมวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 3 นั้นเป็นวันศิวราตรีของศาสนาพราหมณ์มาแต่เก่าก่อน  พระภิกษุสงฆ์สาวกรุ่นแรกถ้าไม่เป็นคนวรรณะพราหมณ์ก็ล้วนคือคนนับถือศาสนาพราหมณ์มาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น 

เมื่อถึงวันที่เคยเป็นวันศิวราตรีที่เคยต้องไปชุมนุมกันเพื่อสวดอธิษฐานต่อองค์พระศิวะ ก็เกิดรู้สึกว้าเหว่กัน เลยพากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย สำหรับชาวพุทธถือเป็นวันน่าอัศจรรย์ แต่ในแง่ที่พุทธศาสนาเกิดขึ้นมาบนแผ่นดินพราหมณ์ เรื่องนี้ก็เข้าใจได้ ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์อันใด ก็เคยปฏิบัติกันมาอย่างนั้นก่อนที่จะนับถือพุทธ 

เมื่อเป็นดังนั้น แทนที่จะปล่อยให้ต้องว้าเหว่เอกากัน เผลอ ๆ ปล่อยไปประเดี๋ยวภิกษุเหล่านี้จะหวนกลับไปประพฤติปฏิบัติเหมือนอย่างที่เคยทำเมื่อครั้งยังนับถือพราหมณ์ ก็จะยุ่งยากลำบากเสียเปล่า ๆ พุทธจักรก็เลยประกาศให้วันนั้นเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนาไปด้วยเลยคือ ‘วันมาฆบูชา’ นั่นเอง   

ประเด็นสำคัญสำหรับในที่นี้ก็คือว่า ในเมื่อก็รู้ ๆ กันอยู่ว่า วันที่ฉลองการประสูติของพระเยซูนั้น ไม่ใช่วันประสูติที่แท้จริงของพระเยซู อีกทั้งวันที่ 25 ธันวาคม ที่ฉลองกันอยู่นั้นก็เคยเป็นวันเกิดของเทพเจ้าในศาสนาอื่นอยู่ก่อนแล้วด้วย จึงเกิดเป็นเงื่อนไขทำให้การจัดงานฉลองไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบที่ยึดโยงตายตัวในฐานะงานฉลองของชาวคริสต์ วันคริสต์มาสเลยเป็นวันที่จะสามารถแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้แก่ใครก็ได้ และบุคคลสำคัญระดับเทพเนื่องในวันสำคัญนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพระเยซู สิ่งนี้กลายเป็นเงื่อนไขให้แก่การสร้างวีรบุรุษทางวัฒนธรรมขึ้นมา

การสร้างตัวตน ‘ซานตา คลอส’ และซานตาในตำนานที่เป็นจริง ประวัติฉบับมหัศจรรย์ของคริสต์มาส   

เซนต์นิโคลัส แห่งไมรา ‘ซานตา คลอส’ ในตำนานที่เป็นจริง

เนื่องจากเป็นประเพณีเพื่อการสปอยล์ชนชั้นแรงงานตั้งแต่ต้น ขณะเดียวกันวีรบุรุษทางวัฒนธรรมที่เหล่าทาสในจักรวรรดิโรมันต่างสวดภาวนาขอให้ได้พบหรือขอให้ท่านผู้นั้นมาเยือนไม่ใช่พระบาทหลวงที่เป็นคนของส่วนกลาง นามของนักบุญคนยากอย่างเช่น ‘เซนต์นิโคลัส’ (St. Nocholas) ผู้ล่วงลับไปเมื่อศตวรรษก่อนหน้าที่จะประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นสำคัญของคริสตจักร ผงาดขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญของพิธีกรรมเกี่ยวกับคริสต์มาสตั้งแต่ในระยะแรกเริ่ม 

กล่าวกันว่าเซนต์นิโคลัส คือ ‘ซานตา คลอส’ ตัวจริงมีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์ เป็น ‘ซานตา คลอส’ ที่แม้ไม่มีเวทมนตร์วิเศษ ไม่มีกวางเหาะได้ ไม่มีเอลฟ์เป็นผู้ช่วยเนรมิตสิ่งของได้ ทว่าเรื่องราวของเขาในฐานะมนุษย์ธรรมดาที่เคยมีชีวิตอยู่ช่วงยุคสมัยหนึ่ง กลับเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาชนิดที่โลกต้องจดจำชื่อและเรื่องของเขามาเท่าทุกวันนี้   

เซนต์นิโคลัส เกิดที่เมืองไมรา เมื่อค.ศ. 280 ได้รับแต่งตั้งเป็นสังฆราชแห่งไมรา (Bishop of Myra) เอเชียไมเนอร์ (Asia Minor อยู่ในประเทศตุรกี หรือ ตุรเคีย ในปัจจุบัน) ซึ่งเวลานั้นอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน เมื่อศรัทธาต่อพระเจ้า นิโคลัสได้ออกบวชแล้วบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของตนเองที่ได้รับเป็นมรดกตกทอดมา ก่อนจะออกเดินทางไปทั่วชนบทเพื่อช่วยเหลือคนยากจนและรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย บาทหลวงนิโคลัสยังได้ขึ้นเรือพ่อค้าเดินทางไปทั่วทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  

มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งเมื่อเรือเจอคลื่นลมแรงจวนจะจม นิโคลัสช่วยให้คลื่นลมสงบด้วยการสวดมนต์ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า จนเกิดเสียงเล่าลือกันว่าเรือที่มีบาทหลวงท่านนี้ร่วมเดินทางไปด้วยจะไม่มีวันจม เกิดเป็นประเพณีที่เหล่าพ่อค้านักเดินเรืออนุญาตให้คณะบาทหลวงร่วมเดินทางไปในเรือด้วย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ชาวเรือ เมื่อไปถึงบ้านเมืองใดนิโคลัสมักจะทำบุญโดยการซื้อของไปแจกเด็ก ๆ จนได้รับสมญาว่า ‘ผู้พิทักษ์ของเหล่ากะลาสีเรือและเด็กน้อยทั้งหลาย’ 

จูลี่ สไตจีเมเยอร์ (Julie Stiegemeyer) และ คริส เอลิสัน (Chris Ellison) ในงานศึกษาประวัติศาสตร์และตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับเซนต์นิโคลัสเรื่อง ‘Saint Nicholas: The Real Story of the Christmas Legend’ ได้ระบุว่า ในบรรดาเรื่องเล่าที่มีอยู่มากมายเกี่ยวกับเซนต์นิโคลัส เรื่องที่โด่งดังและเป็นที่ประทับใจมากที่สุด ก็คือเรื่องที่เขาออกเดินทางตามหาพี่สาวและน้องสาวสามคนที่ถูกบิดาขายเป็นทาสและโสเภณี 

เนื่องจากไม่ทราบว่าพี่สาวและน้องสาวถูกขายไปที่ไหน เขาจึงได้เดินทางไปจนทั่วทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อหวังจะได้พบและช่วยเหลือให้พี่น้องเป็นอิสระและกลับคืนบ้านเกิด ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเขาได้พบพี่สาวและน้องสาวทั้งสามและได้ช่วยเหลือพวกเธอสำเร็จหรือไม่ บ้างก็ว่าไม่พบหรือพบแล้ว แต่นิโคลัสก็ยังคงเที่ยวปลดปล่อยทาสไปทั่ว เรื่องตรงนี้ภายหลังจะถูกรื้อฟื้นและผลิตซ้ำในสังคมอเมริกันช่วงต่อต้านการค้าทาสที่นำไปสู่งสงครามกลางเมืองปลดปล่อยทาสในยุคประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น

เมแกน ดี. โรบินสัน (Megan D. Robinson) เจ้าของบทความ ‘How Santa Claus Has Changed Throughout History’ ได้เสนอประเด็นว่ากระแสความนิยมต่อเซนต์นิโคลัสมาบรรจบกับคริสต์มาสได้อย่างไรนั้น เป็นเพราะในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่คริสตจักรในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ซึ่งเป็นศตวรรษที่เริ่มประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันสำคัญของคริสตจักรนั้น  ในหมู่คนยากชาวบ้านประชาชนได้มีการจัดงานรำลึกถึงการจากไปของเซนต์นิโคลัสอยู่ก่อนแล้วด้วย  โดยจะจัดกันในวันที่ 6 ธันวาคม

ต่อมา เมื่อมีการประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันสำคัญ ก็ได้มีการเขยิบจากวันที่ 6 มาฉลองในวันที่ 24-25 ในเดือนเดียวกันนั้น ต่อมาเซนต์นิโคลัสก็ได้รับสมญาว่า ‘พระบิดาแห่งคริสต์มาส’ (Father of Christmas)  

นอกจากนี้ ในงานของไบรอัน แฮนด์เวร์ค (Brian Handwerk) เรื่อง ‘From St. Nicholas to Santa Claus: the surprising origins of Kris Kringle’ ซึ่งสนใจประเด็นที่ว่า เพราะเหตุใด ทำไม เรื่องของนักบวชในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนท่านหนึ่งถึงได้กลายไปเป็นเรื่องฮอตฮิตในหมู่คนยุโรปเหนือ ซึ่งที่จริงเป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยาก ก็เพราะคนยุโรปเหนือถูกพวกโรมันล่าจับไปเป็นทาสในแหลมอิตาลีและทั่วทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พวกเขาไม่อาจใช้วีรบุรุษทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน ประกอบกับเรื่องของเซนต์นิโคลัสเกิดเป็นที่ ‘ป็อปปูลาร์’ ขึ้นมาในหมู่ชนชั้นผู้ใช้แรงงาน ทาสชาวยุโรปเหนือจึงได้ใช้เรื่องของเซนต์นิโคลัสมาบอกเล่าเรื่องราวของพวกตน 

แน่นอนว่าเรื่องของเซนต์นิโคลัสมีลักษณะเป็นตำนานค่อนข้างมาก หลักฐานที่บันทึกเกี่ยวกับเขานั้นมีไม่มาก อีกทั้งส่วนใหญ่ยังบันทึกหลังเหตุการณ์ผ่านพ้นไปนานแล้ว งานของไบรอัน แฮนด์เวร์ค มิได้หยุดอยู่เพียงคำถามดังกล่าวข้างต้น เขายังได้นำเอาหลักฐานจากรายงานทางโบราณคดีมายืนยันถึงการมีตัวตนของเซนต์นิโคลัส เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการบุกรุกสุสานที่ฝังศพของเซนต์นิโคลัส เป็นฝีมือของพวก ‘สายมูฝรั่ง’ ที่หลงใหลตำนานของเซนต์นิโคลัส ต้องการกระดูกโดยเฉพาะส่วนศีรษะไปทำพิธี

เมื่อเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัวผู้กระทำผิดมาได้สำเร็จ จึงได้มีเชิญนักโบราณคดีมาช่วยพิสูจน์ว่ากะโหลกศีรษะของกลางนั้นใช่ของเซนต์นิโคลัสจริงหรือไม่    

นักโบราณคดียืนยันว่าเป็นของเซนต์นิโคลัสจริง เพราะการตรวจอายุด้วยวิธีเรดิโอคาร์บอนพบว่าเป็นกะโหลกศีรษะที่มีอายุย้อนหลังกลับไปถึงคริสต์ศตวรรษที่ 3 และมีโครงสร้างรูปร่างที่คล้ายคลึงกับคนในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

อายุเมื่อเสียชีวิตราว 60 ปี  ซึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 3 นักบุญที่เป็นชาวเมดิเตอร์เรเนียนมีเพียงไม่กี่คน แต่มีคนเดียวที่เสียชีวิตเมื่ออายุ 60 ปี ตามบันทึกคือเซนต์นิโคลัส นอกจากนี้ การพิสูจน์หลักฐานยังช่วยให้ทราบว่ากะโหลกศีรษะดังกล่าวเป็นของคนพื้นเพเชื้อสายกรีก ตาสีน้ำตาล ผมสีเทา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะชาวกรีกเดินเรือไปมาและตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมากมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์แล้ว    

ลุงซานต้า เคยมาทางเรือ & คริสต์มาสในวัฒนธรรมชาวเรือดัตช์และอังกฤษ

ในงานของเมแกน ดี. โรบินสัน (Megan D. Robinson) ยังได้นำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจว่า หลังจากเกิดการปฏิรูปโปรแตสแตนท์ในเยอรมนีแล้วขยายไปทั่วยุโรปเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 เซนต์นิโคลัสเป็นข้อยกเว้นไม่ได้ถูกตัดทิ้งออกไปจากกระบวนการสร้างความบริสุทธิ์ให้กับศาสนจักร ความเป็นนักบุญเพื่อคนยากไร้ทำให้นิโคลัสยังคงได้รับการเคารพนับถืออยู่ต่อมา กระทั่งเมื่อลุถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 แนวคิดมนุษย์นิยมยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการก็ได้มีการยกย่องให้เป็น ‘นักบุญแห่งยุคฟื้นภูมิธรรม’ (Saint of Renaissance) แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตไปหลายร้อยปีแล้วก็ตาม    

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนเธอร์แลนด์ นามของเซนต์นิโคลัสเป็นที่รู้จักกันดี และนั่นก็เป็นอีกจุดเปลี่ยนหนึ่งของตำนานเซนต์นิโคลัสที่กลายมาเป็น ‘ซานตา คลอส’ เพราะคำว่า ‘Saint Nicholas’ (เซนต์นิโคลัส) ในภาษาอังกฤษ จะตรงกับภาษาดัตช์ว่า ‘Sint Nikolaas’ (ซินต์ นิเกาลาส) หรือย่อว่า ‘Sinter Klaas’ (ซินเตอร์ กลาส) และเมื่อเรียกเพี้ยนไปเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็นสู่ภาษาอังกฤษจะตรงกับ ‘Santa Claus’ (ซานตา คลอส)

ดังนั้น จึงเกิดความเชื่อเป็นที่ยอมรับกันว่า ‘ซานตา คลอส’ ก็คือเรื่องที่ขยายจนผิดเพี้ยนไปของ ‘เซนต์นิโคลัส’ นั่นเอง

ไม่เพียงแต่ในแง่ภาษา หากแต่วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของชาวดัตช์ก็มีส่วนในการรังสรรค์ให้เกิดซานตา คลอส ขึ้นมา เพราะในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17-18 เป็นยุครุ่งเรืองทางการค้าของบริษัทวีโอซีของดัตช์ (Vereenigde Oost-Indische Compagnie หรือชื่อย่อ VOC ในภาษาดัตช์ หรือ Dutch East India Company หรือ DEIC ในภาษาอังกฤษ)

พวกเขาเดินทางแล่นเรือไปค้าขายทั่วโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งกรุงศรีอยุธยาของสยาม พ่อค้าดัตช์บริษัทวีโอซีก็เป็นชาวยุโรปที่มีสายสัมพันธ์กับสยามยาวนานตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระนเรศวร จนถึงพระเจ้าเอกทัศน์ 

คนเรือดัตช์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จำนวนมากมีภรรยาและลูกอยู่ที่ประเทศแม่ ไม่มีสิ่งใดจะปลอบขวัญพวกเด็ก ๆ ที่ต้องห่างจากอ้อมกอดของบิดาได้ดีเท่ากับพวกเขาจะได้รับของขวัญในช่วงปลายฤดูหนาว หากมีความประพฤติดี ไม่ดื้อ 

ในขณะเดียวกัน เซนต์นิโคลัส หรือ ‘ซินเตอร์กลาส’ ในภาษาดัตช์ ก็ได้รับการเคารพนับถือในหมู่ชาวเรือดัตช์ประหนึ่งเทพผู้จะปกป้องคุ้มครองพวกเขาให้ได้มีชีวิตรอดกลับบ้านไปเจอหน้าลูกเมีย และนำของขวัญไปฝากพวกเด็ก ๆ   

ต่อมาชื่อ ‘ซินเตอร์กลาส’ ของดัตช์ ได้แพร่เข้าสู่วัฒนธรรมชาวเรืออังกฤษและอเมริกันในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะกลุ่มพ่อค้าและนักเดินเรือภายใต้บริษัทอีไอซีของบริเตน (British East India Company or EIC) ที่จะผงาดขึ้นแทนที่บริษัทวีโอซีของดัตช์ในเวลาต่อมา ครอบครัวชาวเรือจะนิยมมารวมตัวกันเนื่องในวันรำลึกถึงวันสิ้นพระชนม์ของ ‘เซนต์ นิโคลัส’ หรือ ‘ซินเตอร์กลาส’

เมื่อคำนี้แพร่มายังวัฒนธรรมอังกฤษและอเมริกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ‘ซินเตอร์กลาส’ ก็กลายเป็น ‘ซานตา คลอส’ พร้อมกับตำนานบทใหม่ ไม่ใช่นักบุญเพื่อคนยากชาวเมดิเตอร์เรเนียนอีกต่อไป หากแต่เป็นบุรุษชุดแดงเคราขาว มีถิ่นพำนักอยู่ในดินแดนลี้ลับที่ยังสำรวจไปไม่ถึงในสมัยนั้นอย่างขั้วโลกเหนือ แต่สิ่งหนึ่งซึ่งยังคงเดิมก็คือความเป็นผู้พิทักษ์เหล่าเด็กน้อย

การสร้างตัวตน ‘ซานตา คลอส’ และซานตาในตำนานที่เป็นจริง ประวัติฉบับมหัศจรรย์ของคริสต์มาส      

ซานตา คลอส และวันครอบครัว-รวมญาติ & คริสต์มาสในวัฒนธรรมอเมริกัน

งานประวัติศาสตร์คริสต์มาสชิ้นสำคัญต่อมาคือ งานของวิลเลียม เฟดเดอเรอร์ (William J. Federer) เล่มที่ชื่อ ‘There Really is a Santa Claus: History of Saint Nicholas & Christmas Holiday Traditions’ ได้เสนอว่า เมื่อเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวอเมริกันนิยมจัดงานเทศกาลคริสต์มาสกันมาก พวกเขาได้ประดิษฐ์สร้างคริสต์มาสขึ้นมาใหม่ เปลี่ยนจากการฉลองสไตล์งานคาร์นิวัล ให้กลายเป็นวันรวมตัวกันของครอบครัวและเครือญาติ ซึ่งผู้จุดประกายให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นคือนักเขียนชื่อดังนามว่า ‘วอชิงตัน เออร์วิง’ (Washington Irving)

วรรณกรรมบุกเบิกประเภทเรื่องสั้นจากปลายปากกาของเออร์วิงจำนวนมาก วาดภาพสังคมอเมริกันโดยเน้นฉากการพบปะสังสรรค์กันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เรื่องที่โด่งดังมีอิทธิพลมากคือเรื่องที่มีชื่อว่า ‘The Sketchbook of Geoffrey Crayon, gent.’ ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ.1819  

เนื้อเรื่องเป็นเรื่องของชนชั้นสูงผู้มีฐานะดีคนหนึ่งได้อนุญาตให้คนยากจนในละแวกเข้ามาร่วมฉลองวันหยุดในบ้านของเขา ซึ่งเป็นภาพตรงกันข้ามกับสถานการณ์ในสังคมอเมริกันตอนนั้น ซึ่งยังมีการใช้แรงงานทาส กว่าจะเกิดสงครามปลดปล่อยทาสก็ในอีก 42 ปีต่อมา (สงครามกลางเมืองสหรัฐอยู่ในช่วง ค.ศ.1861-1865)  

วอชิงตัน เออร์วิง เป็นนักเขียนคนหนึ่งที่ต่อต้านระบบทาส ในความคิดของเขา คริสต์มาสควรเป็นเทศกาลแห่งความสงบสุข เป็นวันหยุดอันอบอุ่นที่คนหลายกลุ่มชนชั้นได้มารวมตัวกัน โดยไม่ควรมีการแบ่งแยกชนชั้นหรือฐานะทางสังคม วิธีการเขียนของเขาก็มีส่วนโน้มน้าวคนอเมริกันที่กำลังแสวงหาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมใหม่หลังการปฏิวัติ ค.ศ.1776 เขามีงานเขียนมากมายเกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติเก่าแก่โบราณของชาวยุโรปและชนชาติต่าง ๆ ทั่วโลก 

ภายหลังนักประวัติศาสตร์สังคมอเมริกันหลายคนจึงได้ยกย่องให้เออร์วิงเป็น ‘ผู้สร้างประเพณีใหม่’ ในสังคมอเมริกัน เพราะภาพสังคมอเมริกันแบบที่เขาเสนอในงานวรรณกรรมของเขานั้นได้กลายเป็นภาพจริงที่ผู้คนปฏิบัติกันในเวลาต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสต์มาสในฐานะ ‘วันครอบครัว’ หรือ ‘วันรวมญาติ’ ก็เป็นภาพเสนอจากงานของเออร์วิง ประกาศเป็น ‘วัฒนธรรมชาติของสหรัฐอเมริกา’ (National culture of USA.) ในยุคหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน (Harry S. Truman) เมื่อ ค.ศ.1946 เป็นต้นมา

‘ซานตา คลอส’ และคริสต์มาสในครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 19-20 

นักประวัติศาสตร์สังคมหลายท่าน อาทิ ทอม เมอริอาร์ตี้ (Tom Moriarty) ในงานชื่อ ‘The History of Father Christmas: Festive folklore, winter traditions and very merry myths,  the making of a festive icon’, เจเน็ต จีโอวานเนลลี (Janet Giovanelli) ในเล่มชื่อ ‘The True Story of Santa Claus: History, Traditions, and Magic’, ไบรอัน เอิร์ล (Brian Earl) เล่มเรื่อง ‘Christmas Past: The Fascinating Stories Behind Our Favorite Holiday's Traditions’ เป็นต้น

ต่างมองว่า ‘ซานตา คลอส’ ในภาพลักษณ์ที่ถูกพรรณนาว่า เป็นคุณลุงท่าทางใจดีร่างท้วม สวมหมวกและเสื้อโค้ทหนาสีแดง คอเสื้อสีขาว กางเกงสีแดงขาวยาว เข็มขัดและรองเท้าหนังสีดำ มียานพาหนะเป็นกวางเรนเดียร์ลากรถ ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่รู้จักกันดีในปัจจุบันนี้ เริ่มได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพลักษณ์ที่ไม่ใช่นักบวช แต่เป็นผู้มีเวทมนตร์แบบพ่อมด และมีแหล่งผลิตของขวัญเป็น ‘โรงงาน’ นั้น ก็เป็นภาพลักษณ์และความรับรู้ที่สร้างขึ้นในยุคที่มีโรงงานอุตสาหกรรมเป็นผู้ผลิตสินค้าหลัก   

ทอม เมอริอาร์ตี้ (Tom Moriarty) ค่อนข้างเชื่อมั่นในหลักฐานข้อมูลที่เขานำเสนอว่า ‘ซานตา คลอส’ แบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นในแถบอเมริกาเหนือและตอนใต้ของแคนาดา ราวไม่เกินคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเป็นผลงานการ ‘เตรี๊ยม’ กันระหว่างโรงเรียนกับพ่อแม่ผู้ปกครองเด็ก ที่จะเตรียมของขวัญไปหย่อนไว้ในถุงข้างปล่องไฟให้แก่ลูกเมื่อถึงวันคริสต์มาส 

สำหรับนักประวัติศาสตร์ที่สนใจเรื่องราวลี้ลับอย่างเมอริอาร์ตี้ เขาได้ข้อสรุปว่า พ่อแม่ของเด็กนั่นแหล่ะคือ ‘ซานตา คลอส’ ที่แท้ทรู 

เจตนาก็เพื่อควบคุมพฤติกรรมเด็ก สร้างเด็กดีที่จะได้รับรางวัลตอบแทน เป็นการควบคุมโดยทางอ้อม ไม่บังคับเอาตามใจโดยตรงโดยผู้เป็นพ่อแม่ แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องปลูกฝังและส่งเสริมความคิดอ่านมีเหตุผล ยอมรับเสรีภาพที่มีมาแต่กำเนิดของเด็ก ในแง่นี้ ตำนานแฟนซีว่าด้วยซานตา คลอส ไม่ใช่เรื่องของเด็กล้วน ๆ หากแต่เกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่ด้วยว่าต้องการให้เด็กเติบโตขึ้นโดยมีภาพฝันเป็นอย่างไร     

นอกจากนี้ อิทธิพลอย่างสำคัญของกวี ‘การมาเยี่ยมจากนักบุญนิโคลัส’ ของคลีเมนต์ คลาร์ก มัวร์ (Clement Clark Moor) ตีพิมพ์ใน ค.ศ.1823 และของนักเขียนภาพล้อเลียนและนักวาดการ์ตูนการเมือง โทมัส แนสต์ (Thomas Nast) จนถึงบทเพลงที่เป็นที่นิยมอย่างเพลงที่มีชื่อว่า ‘ซานตาคลอสกำลังเข้าเมืองมา’ แต่งเมื่อ ค.ศ.1934 ซึ่งเป็นงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากงานของวอชิงตัน เออร์วิง อีกต่อหนึ่ง  

ภาพลักษณ์นี้ถูกปรุงแต่งและเสริมขยายผ่านสื่อสมัยใหม่อย่างบทเพลง, วิทยุ, โทรทัศน์, วรรณกรรมเยาวชนหรือหนังสือเด็ก และภาพยนตร์ การพรรณนาซานตา คลอส แบบที่เริ่มในอเมริกาเหนือพัฒนาขึ้นในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ต่อมา ได้มีอิทธิพลต่อความเข้าใจของคนในยุคหลังมานี้เป็นอันมาก ไม่ใช่เซนต์หรือนักบุญในวัฒนธรรมดั้งเดิมในวงการคริสตจักรยุโรปอีกต่อไป หากแต่เป็น ‘บิดาแห่งคริสต์มาสสมัยใหม่’ (Father of modern Christmas)

ความยืดหยุ่นและดัดแปลงวัฒนธรรมในหลายช่วงของยุคสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทำให้คริสต์มาสไม่เพียงไม่ดับสูญ ยังแพร่หลายมากขึ้นในระดับขอบเขตโลกสากล ตรงข้าม หากคริสต์มาสยังคงเป็นเพียงการฉลองวันเกิดของพระเยซู หรือแม้แต่ยังเป็นแค่เรื่องของ ‘เซนต์นิโคลัส’ ไม่มี ‘ซานตา คลอส’ ก็เชื่อแน่ว่าวัฒนธรรมประเพณีคงดับสูญไปจากโลกตั้งแต่เมื่อแรกที่คริสตจักรประกาศให้ 25 ธันวาคมเป็นวันสำคัญของชาวคริสต์ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ไม่ยืนยาวมาจนถึง ณ ปลายค.ศ. 2022 นี้อย่างแน่นอน   

นับว่าเป็นภูมิปัญญาอันชาญฉลาดอย่างหนึ่งของชาวตะวันตก ในการใช้วัฒนธรรมมาช่วยให้ผู้คนโดยเฉพาะเด็ก ๆ สามารถผ่านพ้นคืนวันอันหนาวเหน็บในช่วงฤดูหนาวไปด้วยความสนุกสนาน 

สังคมไทยและอุษาคเนย์ที่รักของเราทั้งหลายมีวัฒนธรรมประเพณีที่พอจะเปรียบเทียบกันนี้ได้บ้างไหม ลองไล่เรียงดูกันเอาเองนะขอรับ...   

   

อ้างอิง:

Charles, Rev. Wilguymps. December 25, the Date of Birth of Jesus: A Reality to Discover. Hardcover, 2018.

Earl, Brian. Christmas Past: The Fascinating Stories Behind Our Favorite Holiday's Traditions. Hardcover, 2022.

Federer, William J. There Really is a Santa Claus: History of Saint Nicholas & Christmas Holiday Traditions. Paperback, 2002.

Giovanelli, Janet. The True Story of Santa Claus: History, Traditions, and Magic. Hardcover, 2020.

Handwerk, Brian. “From St. Nicholas to Santa Claus: the surprising origins of Kris Kringle” in National Geographic [Published: December 25, 2018].

Irving, Washington. The World of Washington Irving: Stories and Sketches by America's First Great Writer. Ed. and introduced by John Francis McDermott. New York: Dell, 1965.

Moriarty, Tom. “The History of Father Christmas: Festive folklore, winter traditions and very merry myths,  the making of a festive icon” in english-heritage.org.uk [Serched: December 20, 2022].

Robinson, Megan D. “How Santa Claus Has Changed Throughout History” in Art and Object [Published: December 9, 2022].

Stiegemeyer, Julie and Ellison, Chris. Saint Nicholas: The Real Story of the Christmas Legend. Paperback, 2007.