02 ส.ค. 2568 | 19:00 น.
KEY
POINTS
"What you say?!"
เสียงตะโกนแหลมสูงที่เต็มไปด้วยความฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดดังสวนกลับมาทันควัน ก่อนที่ไลน์เบสอันหนักแน่นจะเริ่มเดินวนอย่างยียวน พร้อมกับภาคฮอร์นเซคชั่นที่สาดประสานราวกับจะตอกย้ำคำประกาศนั้น นี่คือส่วนหนึ่งของบทสนทนาเปิดเพลงที่คนทั้งโลกรู้จัก การปะทะคารมของคู่รักที่กลายเป็นอมตะ ในฉากแรกของ "Hit the Road Jack" เพลงฮิตแห่งปี 1961 ที่ได้กลายสภาพเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป๊อป เป็นสำนวนติดปากที่ผู้คนทั่วโลกหยิบยืมมาใช้ และที่สำคัญที่สุด คือเป็นหนึ่งในหลักฐานชิ้นเอกที่พิสูจน์ความอัจฉริยะของชายผู้พิการทางสายตา นามว่า เรย์ ชาร์ลส์ (Ray Charles 1930-2004)
เบื้องหลังท่วงทำนองที่ชวนขยับเท้า และเนื้อหาที่ดูเหมือนละครน้ำเน่าในทีวีช่องยอดนิยม เพลงนี้ซ่อนไว้ซึ่งเรื่องราวการเดินทางอันน่าทึ่ง จาก “เดโม” เพลงบลูส์ของศิลปินผู้ถูกลืม สู่การปรุงแต่งใหม่ด้วยลายเซ็น "The Genius" จนกลายเป็นฉากละครที่สะท้อนทั้งชีวิตรักอันซับซ้อน และมาสอดผสานกับจุดยืนทางสังคมในบริบทของชีวิตช่วงนั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์
ก่อนที่ "Hit the Road Jack" จะปรากฏในนาม เรย์ ชาร์ลส์ เพลงนี้มาจากชีวิตจริงของชายอีกคน นามว่า เพอร์ซี เมย์ฟิลด์ (Percy Mayfield 1920-1984) ผู้ได้รับสมญานามว่า "กวีแห่งดนตรีบลูส์" (Poet Laureate of the Blues) เมย์ฟิลด์ ไม่ใช่นักแต่งเพลงนิรนาม เขาคือนักร้องและนักดนตรีอาร์แอนด์บีผู้มีชื่อเสียง เจ้าของเพลงฮิต "Please Send Me Someone to Love" ในช่วงต้นทศวรรษ 1950s
ทว่า ชะตาชีวิตของ เมย์ฟิลด์ ในฐานะศิลปินเบื้องหน้าต้องพลิกผันอย่างน่าเศร้าในปี 1952 เมื่อเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ แม้จะรอดชีวิตมาได้ แต่ใบหน้าเสียโฉมอย่างหนัก ทำให้ต้องยุติบทบาทการเป็นศิลปินบนเวทีไปโดยปริยาย ท่ามกลางความมืดมิด เมย์ฟิลด์ ได้ผันตัวเองมาเป็นนักแต่งเพลงอย่างเต็มตัว
"Hit the Road Jack" ถือกำเนิดขึ้นในปี 1960 จากบทสนทนาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ภายในบ้านของเขาเอง เพลงนี้กลั่นกรองจากประสบการณ์ตรงของการโต้เถียงกับภรรยา ในวันที่เขากลับบ้านโดยไม่มีเงินติดกระเป๋า เมย์ฟิลด์ บันทึกเพลงนี้เป็นในรูปแบบเดโมอะแคปเปลลา (a cappella demo) ที่ไม่มีดนตรีประกอบ แล้วส่งให้ อาร์ต รูพ (Art Rupe) แห่งค่าย Specialty Records เสียงร้องในเดโมนั้นเต็มไปด้วยความดิบและจริงใจ คือสุ้มเสียงของผู้ชายที่กำลังถูกไล่ออกจากบ้านจริงๆ
ในที่สุด เดโมชิ้นนี้เดินทางไปถึงหูของ เรย์ ชาร์ลส์ ซึ่งในขณะนั้นกำลังมองหาเพลงใหม่ เรย์ มองเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในทำนองที่ติดหู และเนื้อหาที่สมจริง เขาจึงตัดสินใจนำเพลงนี้มาสร้างสรรค์และต่อยอด โดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่า บทเพลงที่เกิดจากปัญหาครอบครัวของชายคนหนึ่งจะกลายเป็นเพลงฮิตที่ก้องกังวานไปทั่วโลกในไม่ช้า
หาก เดโม ของ เพอร์ซี เมย์ฟิลด์ คือดินเหนียวชั้นดี ดินนั้น ต้องการช่างปั้นฝีมือเอกเพื่อขึ้นรูปให้เป็นผลงานมาสเตอร์พีซ ประติมากรคนนั้น คือ เรย์ ชาร์ลส์ เมื่อได้ฟังเพลงนี้ เรย์ จินตภาพเห็นฉากละคร การปะทะคารม และศักยภาพที่จะเปลี่ยนเป็นเพลงฮิตที่คนทั้งโลกต้องฟัง
ความอัจฉริยะของ เรย์ ในเพลงนี้ ปรากฏชัดตั้งแต่การ "คัดเลือกนักร้อง" เขารู้ดีว่าเพลงนี้ต้องการเสียงตอบโต้ที่ทรงพลังและสมน้ำสมเนื้อ ซึ่งไม่มีใครเหมาะกับบทนี้เท่ากับ มาร์จี เฮนดริกซ์ (Margie Hendrix) นักร้องนำแห่งวง เดอะ เรย์เล็ตส์ (The Raelettes) ด้วยน้ำเสียงที่แหลมสูง ดุดัน และเต็มไปด้วยพลังของเธอ เฮนดริกซ์ ได้เปลี่ยนบทบาทของผู้หญิงในเพลง จากคนบ่นพึมพำให้กลายเป็นเจ้าของบ้านผู้กุมอำนาจโดยสมบูรณ์
การตอบโต้กันระหว่างเสียงร้องของ เรย์ ที่ฟังดูอ้อนวอน และเสียงของ เฮนดริกซ์ ที่เกรี้ยวกราดนั้นสมจริงจนน่าทึ่ง ยังสะท้อนถึงเคมี และความสัมพันธ์อันซับซ้อนนอกเวทีในชีวิตจริงของทั้งคู่ได้อย่างยอดเยี่ยม
ในเชิงดนตรี เรย์ ได้ถอดโครงสร้างเพลงของ เมย์ฟิลด์ แล้วประกอบขึ้นใหม่ ใส่ลายเซ็นอย่างครบถ้วน เปลี่ยนเพลงร้องเปล่าๆ ให้กลายเป็นการบรรเลงด้วยวงขนาดใหญ่ที่อัดแน่นด้วยสไตล์เฉพาะตัว เริ่มจาก โครงสร้างแบบ Call-and-Response เรย์ ดึงเอาขนบของดนตรีกอสเปล (Gospel) มาใช้ในบทสนทนาระหว่างเขากับเฮนดริกซ์ และคณะประสานเสียง The Raelettes ทำให้เพลงมีมิติของการโต้ตอบที่สนุกและน่าติดตาม
เรย์ เลือกใช้พลังของโมทิฟผ่าน ฮอร์นเซคชั่นที่ติดหู เขาสร้างท่อนริฟฟ์เครื่องลมทองเหลือง (Brass Section) ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทำหน้าที่เหมือนเครื่องหมายวรรคตอน ที่ตอกย้ำอารมณ์ในแต่ละท่อน ตามด้วย จังหวะที่ลงตัว ไลน์ของเบสที่เดินวนไปมาอย่างโดดเด่น กลายเป็นแกนหลักที่ขับเคลื่อนเพลงไปข้างหน้า และสร้างกรูฟ (Groove) ที่ชวนให้ทุกคนขยับตาม
ผลลัพธ์คือ บทเพลงที่สมบูรณ์ในทุกมิติ "Hit the Road Jack" ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 เป็นเวลาสองสัปดาห์ในเดือนตุลาคม ปี 1961 และยังคว้ารางวัลแกรมมี่สาขา Best Rhythm and Blues Recording มาครองในปีเดียวกัน ความสำเร็จนี้ คือเครื่องยืนยันถึงอัจฉริยภาพในการเรียบเรียงดนตรีของ เรย์ ชาร์ลส์ ผู้สามารถเปลี่ยนเรื่องเล่าส่วนตัวของชายคนหนึ่ง ให้กลายเป็นบทเพลงสากลที่ทุกคนเข้าถึงได้
ในขณะที่ "Hit the Road Jack" กำลังครองคลื่นวิทยุและตู้เพลงทั่วอเมริกาด้วยเรื่องราวดรามาแบบ “โซป โอเปรา” ในโลกแห่งความเป็นจริง ดราม่าที่ใหญ่กว่านั้นกำลังเกิดขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา นั่นคือ การต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมือง (Civil Rights Movement) แม้บทเพลงของเขาจะไม่ได้มีเนื้อหาทางการเมืองโดยตรง แต่ตัวตนและการกระทำของ เรย์ ชาร์ลส์ กลับสร้างแรงกระเพื่อมที่ทรงพลังยิ่งกว่า
ปี 1961 ที่เป็นปีแห่งความสำเร็จของ "Hit the Road Jack" ยังเป็นปีเดียวกันกับที่ เรย์ ชาร์ลส์ ได้ตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ในการแสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างชัดเจน ในเดือนมีนาคมปีนั้น เขามีกำหนดการแสดงคอนเสิร์ตที่ เบลล์ ออดิทอเรียม (Bell Auditorium) ในเมืองออกัสตา รัฐจอร์เจีย แต่เมื่อได้ทราบว่าผู้จัดงานได้ “แบ่งแยกที่นั่ง” ของผู้ชมอย่างชัดเจน โดยให้คนผิวขาวอยู่บนฟลอร์เต้นรำชั้นล่าง และบังคับให้คนผิวดำต้องขึ้นไปชมอยู่บนระเบียงชั้นบนเท่านั้น เรย์ ชาร์ลส์ จึงปฏิเสธที่จะทำการแสดง
เขาและวงดนตรีเดินทางออกจากเมืองในคืนนั้นทันที แม้จะรู้ดีว่าผลของการกระทำดังกล่าว จะเป็นการละเมิดสัญญา และต้องเผชิญกับผลกระทบทางกฎหมายและการเงิน แน่นอนว่าผู้จัดงานได้ฟ้องร้องเขา และที่หนักหนาสาหัสกว่านั้น รัฐจอร์เจีย บ้านเกิดของเขา ได้สั่งแบนไม่ให้เขาทำการแสดงในอาณาเขตของรัฐเป็นเวลาถึงสองปี (หลายปีต่อมา รัฐจอร์เจียได้ออกมาขอโทษอย่างเป็นทางการ และแต่งตั้งให้เพลง “Georgia On My Mind” ของ เรย์ ชาร์ลส์ เป็นเพลงประจำรัฐในปี 1979)
การกระทำของ เรย์ ชาร์ลส์ ในวันนั้น เป็นเสมือนการประกาศสงครามกับกฎหมายจิม โครว์ (Jim Crow laws) ที่กดขี่คนผิวดำมายาวนาน ในยุคสมัยที่ศิลปินผิวดำจำนวนมากถูกกดดันให้ก้มหัวยอมรับความอยุติธรรมเพื่อความอยู่รอดในวงการ เรย์ ชาร์ลส์ ได้ใช้ชื่อเสียงและอำนาจทางเศรษฐกิจของเขาเป็นอาวุธในการต่อสู้ เขาเลือกที่จะสูญเสียรายได้ และเผชิญหน้ากับการต่อต้าน ดีกว่าที่จะยอมจำนนต่อระบบการแบ่งแยกสีผิวที่เขาเกลียดชัง
บทเพลงที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้จบลงเมื่อเสียงดนตรีสิ้นสุด แต่จะเดินทางต่อไปในรูปแบบใหม่ๆ ในปีเดียวกันนั้นเอง วงดนตรีหญิงล้วน เดอะ แชนเทลส์ (The Chantels) ได้ออก "เพลงโต้ตอบ" (Answer Song) ในชื่อ "Well, I Told You" ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องจากมุมมองของผู้หญิงแบบเต็มๆ ตอกย้ำการตัดสินใจของเธอ และให้เหตุผลว่าทำไม "แจ็ค" ถึงสมควรถูกไล่ออกจากบ้าน
จากนั้น "Hit the Road Jack" ถูกนำไปตีความใหม่โดยศิลปินนับไม่ถ้วนในหลากหลายแนวเพลง ตัวอย่างที่โดดเด่น คือเวอร์ชันของวงร็อกสัญชาติแคนาดา เดอะ สแตมปีเดอร์ส์ (The Stampeders) ในปี 1976 ที่เปลี่ยนเพลงบลูส์จังหวะสนุกให้กลายเป็นเพลงฮาร์ดร็อกหนักแน่น ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงในแคนาดาและยุโรป แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างของเพลงนี้แข็งแรงพอที่จะรองรับการตีความในสไตล์ที่แตกต่างกันได้อย่างไร้ข้อจำกัด
นอกเหนือจากโลกของดนตรี บทเพลงนี้ยังแทรกซึมเข้าไปในวัฒนธรรมป๊อปอย่างแนบเนียน กลายเป็นเพลงประกอบฉากไล่คนที่ขาดไม่ได้ในภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือการเป็นเพลงประจำสนามแข่งขันกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง เพลงนี้จะถูกเปิดกระหึ่มสนามทุกครั้ง ที่ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามถูกทำโทษให้ออกจากลานแข่งขัน ไปนั่งใน "penalty box"
วลีเชิงคำสั่ง "Hit the road, Jack" ได้หลุดออกจากกรอบของเพลง กลายเป็นสำนวนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในภาษาอังกฤษ เพื่อสื่อความหมายถึงการไล่ใครสักคนให้ไปพ้นๆ เพลงของ เรย์ ชาร์ลส์ ได้มอบบทสนทนาที่เป็นอมตะให้กับโลก และทำให้ชื่อของ "แจ็ค" กลายเป็นสัญลักษณ์สากลของผู้ชายที่ไม่มีใครต้องการไปโดยปริยาย
สมญานาม "The Genius" (อัจฉริยะ) ไม่ใช่คำที่ใช้อย่างพร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะในโลกดนตรี สำหรับ เรย์ ชาร์ลส์ นี่ไม่ใช่แค่ฉายาที่ค่ายเพลงตั้งให้เพื่อการตลาด แต่คือคำนิยามที่ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ อย่าง แฟรงก์ ซินาตรา (Frank Sinatra) ก็เคยกล่าวถึงเขาว่า เรย์ เป็น "อัจฉริยะตัวจริงเพียงคนเดียวในวงการ"
เรื่องราวทั้งหมดของ "Hit the Road Jack" ที่เราได้เดินทางผ่านมานั้น คือกรณีศึกษาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการตอบคำถามว่า ทำไมสมญานามนี้จึงคู่ควรกับเขาอย่างไม่มีข้อกังขา
อัจฉริยภาพของ เรย์ ชาร์ลส์ ที่ฉายชัดผ่านบทเพลงนี้ มีตั้งแต่การมองเห็นศักยภาพของเพลง (Vision) จาก “เดโม” เพลงแบบดิบๆ เรย์ มองข้ามช็อตไปถึงภาพของเพลงฮิตระดับโลก มองทะลุแก่นของเรื่องราวที่คนอื่นมองข้าม ในด้านดนตรี เขาดำเนินการสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นสถาปนิกผู้บุกเบิกดนตรีโซล (Soul Music) ทลายกำแพงดนตรีที่ขีดคั่น ระหว่างแนวทางโลกียะ (Blues) และแนวทางทางโลกุตระ (Gospel) "Hit the Road Jack" หลอมรวมแนวดนตรีที่แตกต่างให้เป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร้ที่ติ
"Hit the Road Jack" เป็นเพียงผลงานชิ้นหนึ่งจากมรดกทางดนตรีอันยิ่งใหญ่ของเขา แต่คือภาพย่อส่วนที่ชัดเจนที่สุดของชายผู้พิการทางสายตา แต่กลับมองเห็นโลกดนตรีได้กว้างไกลและลึกซึ้ง เขาคือ เรย์ ชาร์ลส์ และความเป็น "อัจฉริยะ" ของเขา คือความจริงที่ปรากฏอยู่ในทุกโน้ตดนตรีที่เขาสรรค์สร้างไว้ให้แก่โลกใบนี้.
ที่มา:
- "Hit the Road Jack by Ray Charles". (n.d.). Songfacts. from https://www.songfacts.com/facts/ray-charles/hit-the-road-jack
- “Behind The Song Lyrics: “Hit the Road, Jack” Ray Charles” Americansongwriter. From https://americansongwriter.com/hit-the-road-jack-ray-charles-behind-song-lyrics/
- “Ray Charles Refused to Play for a Segregated Audience in 1961” Biography. From https://www.biography.com/musicians/ray-charles